……….
ตอนที่ 18 : ทางแยก # 2
หลังจากรถพยาบาลที่มารับแคลลับสายตาไปพวกเราก็เดินเข้าสู่เขตเมือง ผมสังเกตว่ายิ่งเดินเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองก็ยิ่งพบว่าตนแทบจะถูกล้อมรอบไปด้วยป่าคอนกรีตผมไม่รู้ว่าเมืองนิวเคลโอแห่งนี้นั้นไปสุดที่ไหน เพราะเห็นอ๋องบอกว่าทางเมืองกำลังเร่งขยายอาณาเขตเพื่อให้พอต่อประชากรเห็นริกกล่าวเสริมว่าตอนนี้นิวเคลโอกำลังเร่งพัฒนาเหล่าผู้คนที่อาสาจะออกไปสำรวจสภาพพื้นที่รอบๆเพื่อหาสิ่งที่พอจะนำมาใช้หรือพื้นที่ที่สามารถเข้าไปอยู่ได้และฝึกฝนคนที่จะสามารถปกป้องเมืองให้คงอยู่ด้วย
พวกเราเดินออกมาจากทางเดินสวนสาธารณะรอบๆที่จอดรถ ออกมาสู่ถนนใหญ่ ผมแอบแปลกใจเล็กน้อยที่ผู้คนเมืองนี้ไม่ค่อยจะเอะใจเท่าไรนักเมื่อมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเป็นปื้นๆแถมแต่ละคนยังพกอาวุธอีก
“อาชีพทหารหรือพวกนักสำรวจเป็นอาชีพที่เป็นที่น่านับถือสำหรับคนนิวเคลโอน่ะ”นอร่าบอก เธอคงเห็นสีหน้าสงสัยของผมเข้า
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะตอนนี้พวกเคลโอเก่ามันมีอมนุษย์ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าซอมบี้แล้วน่ะสิและพวกมันก็ยังไม่หยุดพัฒนาด้วย” ริกหันกลับมาตอบ พวกเราหยุดยืนอยู่ริมทางเท้าเพียงก้าวออกไปก็จะเป็นถนนที่รถราต่างวิ่งกันไปมา
“เดี๋ยวคงมา” อ๋องพูด
“อะไร” ริกถาม
“คนที่จะมารับเราไง ทำยังกับไม่เคยมางั้นแหละ” อ๋องตอบหันหลังเดินไปนั่งม้านั่งริมถนน
“มาแล้ว” ริกหันไปบอกอ๋องที่ยังไม่ทันจะได้นั่ง
รถเอสยูวีสีดำมันวาวเด่นหรามาแต่ไกลขับเลี้ยวไปมาก่อนจะมาชะลอลงและจอดอยู่ข้างหน้าพวกเราริกเอื้อมมือเปิดประตูให้นอร่าเข้าไปเป็นคนแรกตามด้วยตน
“เดี๋ยวผมนั่งข้างหลังแล้วกัน” ผมเดินไปหลังรถ เปิดประตูหลังขึ้นขึ้นนั่งบนที่ว่างข้างหลัง อ๋องตามขึ้นมาก่อนปิดประตูลงดังปึง รถเคลื่อนออกทันที
ผมนั่งพิงตัวรถสายตามองออกไปนอกกระจก สภาพแวดล้อมของเมืองถือว่าสวยงามและไม่แออัดมากนักคงเป็นเพราะจำนวนประชากรยังไม่มากเท่าไร และผมก็เพิ่งจะสังเกตด้วยว่าพาหนะต่างๆ ที่วิ่งบนท้องถนนส่วนใหญ่จะเป็นขององค์กรร้านค้า บริษัทต่างๆ เท่านั้น ไม่มีรถยนต์ของคนธรรมดาขับซะเท่าไรนอกจากจะมีรถประจำทางสาธารณะสำหรับผู้คนไว้ให้ผมเดาว่าวัตถุดิบในการผลิตคงเป็นสิ่งที่หายากและสำคัญสำหรับการพัฒนาเมือง
“รู้มั้ย พวกคณะกรรมการพากันหัวเสียเรื่องเขตก่อสร้างที่เพิ่งโดนถล่มไปหมาดๆ”เจ้าหน้าที่ข้างคนขับพูดขึ้น
“ความผิดพวกเราว่างั้น” ริกถามกลับ
“ก็ไม่อยากจะบอกว่าพวกนั้นคิดกันอย่างนั้นหรอกนะ”
“ช่างเหอะ พวกนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้หรอกยังไงมันก็ต้องพึ่งพวกเราให้ฝึกคนให้อยู่ดี ” อ๋องตอบจากข้างหลังรถ
“นั่นสินะ ไงก็ระวังๆ ไว้หน่อยละกัน” เจ้าหน้าที่ว่า
“จะระวังไว้ละกัน” ริกรับคำ
ผมเริ่มรู้สึกว่าป่าคอนกรีตรอบๆตัวเริ่มเลือนรางหายไปช้าๆ รอบตัวเริ่มมีการตกแต่งที่แปลกตาสิ่งของที่ประดับประดาเริ่มดูทางการขึ้น ผมหันไปมองผ่านกระจกหน้ารถตอนนี้เราอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่อาคารวิจัยอะไรสักอย่าง
ตัวอาคารเป็นสีขาวสะอาดออกแบบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่อๆ กัน ตัวรถชะลอลงเมื่อถึงราวกั้นทางเข้าพนักงานเดินเข้ามาขอดูบัตรคนขับก่อนเดินกลับไปกดปุ่มยกราวกั้นขึ้น รถเร่งความเร็วขึ้นอีกครั้งมุ่งหน้าไปยังตัวอาคารก่อนหยุดจอดอยู่หน้าประตูเข้าอาคาร ทุกคนพากันเปิดประตูเพื่อก้าวลงริกกล่าวขอบคุณคนขับและเจ้าหน้าที่ข้างๆ ก่อนปิดประตูรถ ตัวรถถอยออกอีกครั้งก่อนแล่นจากไป
รอบนอกอาคารตกแต่งด้วยต้นไม้สูงใหญ่นานาชนิดมีที่สำหรับนั่งเล่น เป็นส่วนหย่อมเล็กๆ ใต้ร่มเงาไม้ เหมาะสำหรับออกมาสูดอากาศสดชื่นให้โล่งปอดก่อนเข้าไปลุยงานอันหนักหน่วงอีกครั้ง
พวกเราก้าวเข้ามาในตัวอาคารประตูกระจกใสสองข้างเลื่อนเปิดให้อัตโนมัติ มีพนักงานเดินไปมา บ้างก็ยืนคุยกันอ๋องเดินตรงไปยังลอบบี้
“บอกเจ้าหน้าที่เคิร์กด้วยว่าพวกเรามาถึงแล้ว” อ๋องบอก พนักงานหยิบโทรศัพท์ข้างๆตัวขึ้นกดเลขสามสี่หลักก่อนพูดกับคนทางปลายสาย
“เจ้าหน้าที่เคิร์กรอพวกคุณอยู่ชั้น 4” พนักงานตอบพลางวางหูโทรศัพท์อ๋องกล่าวขอบคุณ ก่อนพาพวกเราไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้น 4
“ไปกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนชุดก่อน ชุดนี้เน่าเต็มทีและ” อ๋องพูดเมื่อพวกเรามาถึงชั้นสี่แล้ว
“กูไปด้วย งั้นฝากนอร่าพาไปหาเคิร์กทีนะ เดี๋ยวพวกเราตามไป” ริกพูดก่อนเดินตามอ๋องไป
“งั้นเราก็ไปกันเหอะ” ผมเดินตามนอร่าไปตามทาง สองด้านเป็นผนังสีขาวอันที่จริงทั้งภายนอกและภายในอาคารแห่งนี้ล้วนแทบจะเป็นสีขาวเกือบทั้งสิ้นยกเว้นก็แต่เฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันโดดเด่นท่ามกลางพื้นหลังสีขาว
“เธอไม่คิดจะไปเปลี่ยนเสื้อกับเขามั่งรึไง” ผมถามนอร่า
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้หรือนายอยากให้ฉันเปลี่ยน” เธอถามกลับพลางก้มมองดูเสื้อตัวเอง
“ ก็แล้วแต่เธอสิ แค่ถามไปงั้นแหละ” ผมตอบ
“เฮ้ ! นอร่า ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีนะ” ชายวัยกลางคนในชุดกราวน์สีขาวโผล่มาตรงทางแยกข้างหน้าก่อนเข้ามาสวมกอดนอร่า เธอกอดตอบเป็นมารยาท
“ก็เรื่อยๆ แหละ แล้วลุงล่ะ”
“บอกว่าอย่าเรียกลุงไง ฉันเพิ่ง 40 ต้นๆ เองนา” เขาตอบ
“จะห้าสิบแล้วไม่ใช่รึไง?” นอร่าย้อน
“เอาเถอะ เรียกลุงก็ลุง ว่าแต่นี่รึคนที่เจ้าพวกนั้นมันต้องการตัวน่ะ”เคิร์กมองมาที่ผมด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ราวกับกำลังสแกนหาสิ่งผิดปกติในร่างกายผมอยู่
“สวัสดีครับผมเจค” ผมยื่นมือออกไป
“ฉันชื่อเคิร์กนะ” เคิร์กยื่นมือจับทักทาย “อย่ามัวเสียเวลาเลยฉันอยากรู้จะแย่แล้วว่าทำไมพวกนั้นมันถึงต้องการตัวเธอนัก” เคิร์กว่าก่อนหันหลังเดินนำไป ผมมองหน้านอร่าเธอทำสีหน้าประมาณว่าไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะเดินตามเคิร์กไป
เคิร์กทาบบัตรกับเครื่องข้างๆ ประตูก่อนที่บานประตูเหล็กจะเลื่อนเปิดออก
“ทำไมเป็นห้องนี้ล่ะ” นอร่าถาม ทำเอาผมสงสัยไปด้วย
“จะได้รู้ไงว่านายนี่สามารถทำไรได้บ้าง” เคิร์กตอบ เดินนำเข้าไป
ในห้องไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ใช่ ไม่มีแม้แต่เก้าอี้หรืออะไรก็ตามที่คุณคาดหวังจะได้เจอมันเป็นเพียงแค่พื้นปูนโล่งๆ ประมาณครึ่งสนามบาสได้ เคิร์กเดินไปเปิดระบบอะไรสักอย่างก่อนที่ประตูที่กลมกลืนกับผนังจะเปิดออก
“อันนี้เป็นห้องทดลองทางกายภาพมันเชื่อมกับห้องวิจัยด้วยน่ะ” เคิร์กพูดก่อนเดินเข้าไป
ครืด...เสียงประตูข้างหลังเราเลื่อนเปิดออกอีกครั้งก่อนจะเผยร่างของอ๋องและริกที่ทั้งคู่ไปเปลี่ยนจากชุดทหารมาเป็นชุดสูทสีดำเหมือนกับพวกเคลโอไม่มีผิด
“เสร็จแล้วรึ?” ริกพูดเหมือนเสียดายที่ตนพลาดไป
“ยังไม่เริ่มต่างหาก” นอร่าตอบ ทำเอาริกออกอาการดีใจ
“เอาล่ะ” เคิร์กเดินออกมาจากห้องวิจัยที่ติดกับห้องนี้ในมือถือแผ่นกระดานจดบันทึก
“รู้รึเปล่า สิ่งแรกที่ทำให้นายไม่เหมือนคนอื่นคืออะไร” เคิร์กมองมาที่ผม
“ฉันว่าทุกคนน่าจะรู้นะ นอร่า แผลที่ต้นแขนโดนมาเมื่อไร”
“สู้กับพวกมันข้างล่างนั่นแหละ” นอร่าตอบผมหันไปมองที่ต้นแขนเธอ เกิดรอยขาดจากใบมีดบนเสื้อหนังของเธอ
“หายสนิทรึยัง?” เคิร์กถามต่อ
“คงพรุ่งนี้แหละ” นอร่าตอบกลับ
“เอาล่ะเจค ทีนี้นายก็ถอดเสื้อออก”
“เออน่า ถอดๆ ไปเถอะ จะองจะอายอะไร” ริกพูดเมื่อเห็นผมยังเก้อๆกังๆ ผมถอดทั้งเสื้อหนังแขนยาวและเสื้อยืดวางไว้บนพื้น เอะใจขึ้นมาว่านอร่าก็แต่งตัวคล้ายๆผมนี่หว่า
“ทีนี้ก็เห็นกันแล้วสินะ ความแตกต่างของหมอนี่กับนอร่า” เคิร์กพูด
ตอนแรกผมก็งงๆ กับคำพูดเคิร์กก่อนจะรู้ว่ามันหมายถึงอะไรเมื่อทุกคนต่างพากันหันมามองที่ผมและผมก็ต้องประหลาดใจสุดๆ เมื่อร่างกายผมดันไม่มีบาดแผลอะไรเลยสักอย่างทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีทั้งลูกธนูและกระสุนที่ผ่านร่างผมไปแท้ๆ
“นายคงไม่ได้สังเกตสินะ แต่เรื่องพละกำลัง ความว่องไวต่างๆ ก็จะเหมือนๆ กับอีกหกคนที่เหลือแต่อาจเป็นไปได้ว่านายอาจจะเป็นรุ่นที่ดีที่สุดที่พวกนั้นทดลองมา” เคิร์กว่า
“งั้นมันก็ต้องการความพิเศษในตัวเจคเพื่อนำไปทดลองกับตัวอื่นๆ ให้มันเก่งกว่าเดิมสินะ”อ๋องถาม ผมก้มลงหยิบเสื้อขึ้นมาใส่
“ก็คงเป็นยังงั้นแหละ แต่ฉันคิดว่าความพิเศษมันยังไม่หมดแค่นี้น่ะสิ ตามฉันมา”เคิร์กมองมาที่ผมก่อนจะบอกให้ทุกคนตามตนไปยังห้องวิจัยข้างๆ
ผมเป็นคนสุดท้ายที่ก้าวเข้ามาภายในห้องนี้เต็มไปด้วยโต๊ะยาวติดผนัง บนโต๊ะเต็มไปด้วยเครื่องมือทดลองงานที่วางไว้เป็นระเบียบบนผนังเหนือโต๊ะมีตู้สำหรับเก็บของอีก ซึ่งน่าจะเป็นพวกหลอดทดลองไม่ก็อุปกรณ์อะไรสักอย่างมีตู้เหล็กสำหรับเก็บแฟ้มเอกสารอยู่ติดผนังตรงข้ามกับประตูห้องตรงกลางห้องเป็นก็เป็นโต๊ะยาวที่มีกล้องจุลทรรศน์สองสามตัวตั้งวางไว้และคอมพิวเตอร์ที่บนหน้าจอแสดงค่าอะไรสักอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมก็คือห้องที่อยู่ทางขวามือของทางเข้ามันมีกระจกกั้นระหว่างห้อง ในห้องเป็นเตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง ล้อมรอบไปด้วยเครื่องมือมากมาย
“เดี๋ยวนายต้องไปนอนตรงนั้นแหละ” เคิร์กพูดเมื่อเห็นผมมองมันอยู่
“น่ากลัวไงไม่รู้แฮะ” ริกพูด
“เอ่า เข้ามาสิ แล้วใส่เสื้อทำไมเนี่ย ถอดก่อนขึ้นไปนอนบนเตียงล่ะ” เคิร์กสั่ง
ผมเดินเข้ามาในห้องกระจกมองเห็นทุกคนอยู่อีกฟากนึงผ่านกระจกใส สายตาริกแลดูตื่นเต้นและหวาดเสียวไม่เหมือนกับอ๋องที่เอาแต่ยืนมองเงียบๆส่วนนอร่ากำลังเดินดูรอบๆ ห้อง
ผมถอดเสื้ออีกครั้งขึ้นไปนอนบนเตียง พอวางแขนเท่านั้นเสียง กริ๊ก ก็ดังขึ้น ก่อนจะเห็นว่าข้อมือสองข้างของผมโดนล็อคด้วยเหล็กเข้าซะแล้วร่วมทั้งข้อเท้าด้วย
“ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรต้องคิดมาก” เคิร์กว่าพลางเปิดสวิตซ์เครื่องนู่นนี่รอบๆ ตัว
เสียง ครึก ดังขึ้นเตียงที่ผมนอนค่อยๆ ยกสูงและเอียงมาข้างหน้าเรื่อยๆ จนตั้งฉากกับพื้นห้อง เสียงวี้ดๆ ของเครื่องรอบตัวส่งเสียงและขยับไปมา
“แค่ตรวจสอบร่างกายเท่านั้นแหละ” เคิร์กว่าก่อนที่จะมีเครื่องอะไรสักอย่าง รูปทรงสี่เหลี่ยม ค่อยๆ เคลื่อนลงมาจากหัวผมมันส่งเสียงร้องวี๊ดๆ ขณะเลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนสุดที่ปลายขา และเตียงก็ค่อยๆ คืนสู่สภาพเดิม ก่อนที่ตัวล็อคจะปลดออกผมบิดตัวนั่งกับเตียง เคิร์กเดินเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยา
“ฉันต้องขอตัวอย่างเลือดด้วยน่ะ” ผมยื่นแขนให้เคิร์กทำการแทงเข็มเข้าตรงข้อพับแขนแล้วค่อยๆ ดึงเอาเลือดผมออกไปช้าๆ
“แล้วเราจะรู้ผลได้เมื่อไรล่ะ?” อ๋องเดินเข้ามาถาม
“เดี๋ยวคงได้แล้วล่ะ รอมันประมวลผลแปปนึง” เคิร์กว่า
เมื่อเสร็จขั้นตอนหมดแล้วผมก็หยิบเสื้อขึ้นมาใส่อีกครั้งก่อนเดินออกจากห้องนี้ไปนั่งเก้าอี้เหล็กตัวเล็กหน้ากล้องจุลทรรศน์
“ใบนี้ใช่มั้ย?” ริกถามเสียงดังเมื่อกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความมากมายไหลออกมาจากเครื่องปริ้นท์ที่อยู่ข้างๆ ตน
“นั่นแหละๆ เอามานี่ๆ” เคิร์กเร่งฝีเท้ามารับจากมือริกไปอ่านดูอย่างรวดเร็ว
“ขอภาษาคนธรรมดาเขาฟังกันนะ” อ๋องที่นั่งอยู่ถัดไปจากผมพูดขึ้นซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย
“เป็นไปไม่ได้...ไม่สิ...มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ต่างหาก” เคิร์กพูดด้วยเสียงทึ่งปนตกใจ
“แล้วมันทำไมเล่า” ริกถาม น้ำเสียงอยากรู้เต็มที
“เอาภาษาบ้านๆ เลยใช่มะ” เคิร์กถามย้ำ ริกพยักหน้า
“จากผลที่ได้ก็คือ นายไม่มีวันแก่ตายรวมทั้งไม่มีวันเป็นโรคหรือป่วยตายด้วย” เคิร์กว่า
“มันหมายความว่าไง?” ผมเริ่มจะมึนๆ กับสิ่งที่ได้ฟัง
“ง่ายๆ เลยก็คือนายไม่มีวันตายไงเล่า นอกซะจากจะโดนฆ่าทิ้งน่ะ นายจะในร่างวัยหนุ่มของนายไปเป็นร้อยเป็นพันปีเลยถ้านายไม่โดนฆ่าหรือไม่เบื่อโลกจนฆ่าตัวตายไปก่อน”
“เครื่องอ่านผลผิดรึเปล่า?” อ๋องถาม
“ไม่ผิดหรอก เจ้าเครื่องนี้เป็นสุดยอดเทคโนโลยีที่เราลงทุนสร้างเลยนะ”เคิร์กว่า
“โอ้หม่ายก็อด เจค นายมันเป็นอมตะนี่หว่า” ริกหันมาพูดกับผมอย่างทึ่งๆ
“งั้นเราก็รู้เหตุผลที่พวกมันจะมาเอาตัวนายไปแล้ว” นอร่าว่า
“เดี๋ยวนะ ถ้างั้นถ้าพวกมันได้แค่เลือดเจ้านี่ไปก็พอแล้วนี่” อ๋องถาม
“ใช่ว่าพวกมันจะทดลองสำเร็จภายในเลือดไม่กี่หลอดนี่มันต้องใช้เวลาอีกนานและใช้เลือดจำนวนมากเลยล่ะ มันจึงต้องพาตัวหมอนี่ไปด้วยไง”เคิร์กอธิบาย
“งั้นนายยิ่งต้องไปฝึกให้เก่งกว่านี้ ไม่งั้นไม่รอดพวกมันแน่” อ๋องหันมาบอกกับผม
ตื้ดด ~ ตรื้ดด ...เสียงโทรศัพท์ของห้องวิจัยดังขึ้นเคิร์กเดินเข้าไปรับสาย พูดเพียงแค่ “เดี๋ยวบอกให้” ก่อนจะวางสายลงตามเดิม
“เฮลิคอปเตอร์พวกนายมารับแล้วแน่ะ”
“แล้วนายล่ะ” ริกถาม
“ฉันยังมีงานค้างอยู่น่ะ เดี๋ยวตามไปสักสองสามวันมั้ง” เคิร์กตอบ
“งั้นพวกเราก็ไปกันเหอะ” อ๋องว่าพลางลุกขึ้น
“เอ่อ...มันเรื่องจริงใช่มั้ยที่บอกมาน่ะ” ผมถามอีกครั้ง ยังไม่อยากจะเชื่อ
“ก็ใช่น่ะสิ งั้นฉันก็ต้องไปทำงานของฉันต่อแล้วล่ะ” เคิร์กว่าพลางปิดการทำงานของเครื่องมือและเดินนำพวกเราออกไปจากห้อง
“งั้นพวกเราแยกกันตรงนี้เลยล่ะกัน” นอร่าพูดขึ้นเมื่อเราออกมายืนกันบนทางเดินหน้าห้อง
“งั้นไว้เจอกันนะทุกคน” เคิร์กว่า โบกมือให้ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“สรุปฉันต้องไปกับพวกนายสินะ” ผมพูด
“ก็ใช่น่ะสิ ยินดีต้อนรับเข้าทีมนะจ้ะ พ่อหนุ่มอมตะ” นอร่าพูด ก่อนเอื้อมมือมากอดคอผม
“ก็ยังตายได้อยู่ดีไม่ใช่รึไง” ผมตอบ
………
“พวกมันจะพาเจ้าหนุ่มนั่นไปฝึก” เสียงเคิร์กพูดตอบคนทางปลายสาย
“แล้วผลเป็นไง” เสียงทางปลายสายถาม
“ตรงตามที่นายบอก”
“แล้วเราต้องรอนานเท่าไรพวกมันถึงจะออกจากฐานฝึก”
“ไม่ต้องรอหรอก ฉันมีเลือดมันแล้ว” เคิร์กตอบ
“แค่หลอดเดียวจะไปทำอะไรได้”
“อย่าลืมสิว่าลูกน้องนายทั้งหลายรวมทั้งเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบาดไปทั่วอยู่ตอนนี้ฉันเป็นคนทำให้นายนะแค่เลือดหลอดเดียวฉันก็ทำให้มันสำเร็จได้สบายๆ”
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ฉันก็ลืมไป ถ้างั้นก็ฝากด้วยล่ะกัน”
“แล้วฉันจะติดต่อกลับไป ตอนนี้ต้องวางแล้ว” เคิร์กว่า
“โอเค บาย” เคิร์กกดวางสายก่อนวางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน
“คราวนี้ล่ะ ผลงานของฉันจะต้องประจักษ์ไปเป็นพันๆ ปี” เคิร์กหัวเราะลั่นห้องทำงานของตนพลางมองหลอดเลือดที่ตนเพิ่งได้มาจากหมายเลข 7
..........
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in