หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านค่อนข้างยากและตีความยาก ดังนั้น เราค่อยๆอ่าน ทำความเข้าใจ และพบว่า เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง ด้วยคำสอนที่ลึกซึ้ง และใจความที่ไพเราะของการดำเนินชีวิตอิงตามหลักธรรมชาติ และปรัชญาชีวิตของท่าน
รูปภาพนี้ ความรักอยู่ระหว่างตัวเองและผู้อื่น
แถมอิงตามหลักความจริงของชีวิต
ชีวิตของคนเราไม่ต่างจากแสงของหิ่งห้อย ยามตอนหิ่งห้อยเกิดมา มันไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่า มันมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 15 วันเท่านั้น แต่มันกลับเลือกที่จะมอบความรัก ความเมตตาให้กับผู้พบเห็น โดยการส่องแสงสว่างในยามค่ำคืน ทำตัวให้อยู่อย่างรู้คุณค่าในประโยชน์ของตัวเอง
“เมื่อไร คนเราเกิดมา เราควรทำประโยชน์
ให้แก่ตนเองและผู้อื่นด้วยความรักและเมตตา
และเมื่อไหร่ที่เราทำตัวให้ดี เป็นตัวอย่างที่ดี
เราสามารถเป็นแสงหิ่งห้อยที่ส่องสกาว
ไปกับชีวิตของคนได้อีกมากมาย”
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนเรายังเป็นเด็ก เราไปพักค่ายที่ต่างจังหวัด เราเดินไปเข้าห้องน้ำแล้วไฟฉายเสีย ตอนนั้น เรากลัวมาก ทำไงดีนะ ตอนนั้น ยังไม่มีมือถือ เราต้องค่อยๆเดิน งูก็กลัว เหวก็กลัวตก อยู่ดีๆ ก็มีแสงหิ่งห้อยขึ้นมา ทำให้เราเห็นทาง และเราสามารถที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ และเดินกลับมาได้อีกด้วย เรากับเพื่อนคุยกัน และเพื่อนเราพูดคำหนึ่งขึ้นมาว่า
“ชีวิตของเราอยู่อย่างมีคุณค่า
ในความทรงจำของคนดีกว่า”
เปรียบดั่ง
“แสงสว่างส่องสกาวกระทบนที
ปักษีบินวนตามท้องนภา
มัจฉาแหวกว่ายตามกาลเวลา
บุษบาบานเหนือปฐพี”
รูปภาพนี้ การพันผูกกับอิสรภาพ
“อิสรภาพคือสิ่งใดน่าค้นหา
ชีวิตลาเสรีภาพน่าซักถาม
ทุกๆวันเริ่มต้นใหม่แล้วก็ตาม
แต่ไม่ลามทุกข์มากกว่าสุขอยู่ร่ำไป
เพราะเพียงแค่ผูกมัดคนอื่นไว้
ให้ตามใจตามความคิดคะนึงได้
ต้องรับฟังและทำตามอยู่ร่ำไป
ไม่มีทางใดที่จะพบอิสรภาพเอย”
การที่คนเราพันผูกคนอื่นด้วยการกลืนอิสรภาพของคนอื่น ทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นทุกข์จากการที่เราผูกคนนั้น คนนี้ไว้ที หรือแม้กระทั่งตัวของเราเอง ด้วยคำพูด การกระทำ และจิตใจอันแข็งกร้าว ย่อมไม่นำพาซึ่งอิสรภาพมาให้แก่กายและใจ แต่เมื่อไหร่ที่เราให้อิสรภาพทางความคิด การกระทำและจิตใจกับคนอื่น โดยเรามองตัวเองและคนอื่นด้วยใจที่เป็นกลาง เราสามารถพ้นจากเครื่องรัดพันธนาการทุกอย่างเหล่านั้น และพบอิสรภาพที่แท้จริง
รูปภาพนี้ ดวงตะวันเดียวกัน
“ดวงอาทิตย์ส่องสว่างทุกมุมโลก
นกร้องโหวกเหวกทั่วเหนือใต้
ไม่มีที่ใดที่ไร้แสงสว่างใด
มีเพียงได้อาทิตย์ส่องสว่างพลัน
แต่ละที่แต่ละเวลาก็ไม่ต่างกัน
เพราะมีแสงนั้นทุกวันคะนึงหา
แสงสว่างส่องทั่วใจกายา
ส่องทั่วหล้าทั่วชีวิตลำเนาไพร”
ช่วงเวลาในแต่ละช่วงสถานที่จะมีดวงตะวันขึ้น เปรียบดั่ง ดวงตะวันส่องสว่างตลอดเวลาไม่มีวันตาย ซึ่งชีวิตของคนเราที่ส่องสกาวคุณงามความดี และคุณค่าในชีวิตตลอดไป เช่น เวลาที่เราทำความดี เราทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ความสว่างส่องสกาวไปในจิตใจของผู้อื่นตลอดเวลา
รูปภาพนี้ การทักทอความสัมพันธ์กับชีวิต
“ด้ายทักทอความสัมพันธ์อันดีงาม
ชีวิตทรามเพราะสัมพันธ์นั้นล้มเหลว
ทุกครั้งชีวิตเราได้ตกเหว
เพราะคว้าเหลวทำผิดในทุกที
หากชีวิตสัมพันธ์ที่ดีงามนั้น
ด้ายผูกพันทักทอด้วยเข้าใจดี
ความสัมพันธ์ทุกอย่างนั้นจงมี
ชีวิตดีพบกายใจสุขตลอดไป”
การใช้ชีวิตของเราในแต่ละวัน เปรียบดั่งการปักชีวิตตัวเองในม่าน และทักทอเส้นด้ายเพื่อบรรจบชีวิตของทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วยสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งด้ายที่ใช้ทักทอยังม่านไม่สามารถแยกกันได้ฉันใด ความสัมพันธ์กับผู้คนอื่นและชีวิตของเราไม่สามารถแยกจากกันได้ฉันนั้น
รูปภาพนี้ ผู้อ่อนแอผู้หลอกตัวเอง
“ผู้อ่อนแอนั้นมักบอกคนอื่นว่า
มีที่มาคือเก่งกล้าเหนือกว่าใคร
ไม่มีใครสู้แบบตัวเองได้
เพราะเหนือได้เหนือกว่าใครทั้งปวงไป
ผู้อวดเก่งอวดฉลาดตลอดนั้น
จริงแล้วพลันกลับอ่อนแอหารู้ไม่
ทำว่าเก่งกว่าใครๆอยู่ร่ำไป
แต่หาได้เก่งเหนือใจตัวเองไหม”
หลายครั้งที่เราเห็นคนอ่อนแอจำนวนมากพยายามทำตัวอวดรู้ อวดเก่ง อวดไปเสียทุกเรื่องว่า ตัวเองมีความสามารถ และทรงอำนาจเพียงใด แต่ในเมื่อความเป็นจริง คนพวกนี้กลับไม่มีอะไรเลยสักอย่าง เพียงแค่หลอกตัวเองไปวันๆ
รูปภาพนี้ เวลาพิสูจน์ศรัทธา
“ศรัทธาถูกเมื่อปฏิบัติถูก
ด้ายพันผูกเวลาแก่ศรัทธานั้น
ศรัทธาหลายเวลาสานความฝัน
ตื่นมาพลันพบความจริงอันนิรันดร์
ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และแน่นอน
มีสิ่งสอนคือศรัทธาตามมานั้น
ต้องเป็นสิ่งที่ดำเนินชีวิตถูกพลัน
ชีวิตดั้นร้นเดินทางตามไป”
การที่เราศรัทธาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องลงมือปฏิบัติถึงความศรัทธานั้นด้วยเหตุและผล และเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ศรัทธานั้นว่า ถูกหรือผิดด้วยใจที่มั่นคงในความจริง
วันนี้ เพื่อนๆลองเปิดใจอ่านดู ค่อยๆอ่านทีละบรรทัดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะพบว่า ปรัชญาของท่านลึกซึ้ง และคำสอนท่านนั้นใกล้ตัวมากกว่าที่คิดค่ะ
“เรียนรู้ที่จะให้ดีกว่าเรียนรู้ที่จะรับ
เพราะธรรมชาติของการให้นั้นบริสุทธิ์กว่าการรับ”
Look A Breathe
(LAB)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in