เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Look a Breathe (Series 1 - 2)nimon
#304 Animal Farm


  •      ณ ที่แห่งหนึ่ง หลายต่อหลายตัวร้องเรียกอิสรภาพ ร้องเรียกเสรีภาพ ร้องเรียกความเท่าเทียมกัน แต่โลกเราดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ก็คงจะเห็นได้ว่า สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นเพียงแค่


    “อุดมคติที่เป็นฝัน”


    ย้อตตี้: ผมออกจากถ้ำครั้งนี้ออกมานานเลย เพราะตอนนี้ผมเป็นผู้นำหมี ผู้นำแห่งจิตวิญญาณสังเคราะห์

    เรา: ใครตั้งให้แกหว่า ย้อต

    ย้อตตี้: พวกมันทุกตัวแต่งตั้งให้ผมเอง เวลาพี่อยู่ต่อหน้าผม โปรดใช้คำสุภาพนะ เพราะตอนนี้ คนที่อยู่ตรงหน้าพี่ คือ ผู้นำจิตวิญญาณสังเคราะห์แห่งโลกหมีนะ จะหาว่า ผมไม่เตือน

    เรา: อะไรแกจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คนอย่างแกเป็นผู้นำโลกหมีล่มแน่นอน เพราะเผด็จการชัดๆ

    ย้อตตี้: ไม่เอานะๆ ผมเข้าใจพี่ดี คนอยากเป็นใหญ่แต่ไม่ได้เป็นใหญ่ สู้หมีแบบผมก็ไม่ได้ มีแต่คนอยากให้เป็นใหญ่ อย่าอิจฉาเขานะตัวเอง


         ดูสิค่ะ เพื่อนๆ เห็นไหม พวกหมีหลงตัวเอง หลงในอำนาจที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้สร้าง แต่เป็นผู้ได้มา โดยที่ไม่รู้เลยว่า สักวัน อำนาจที่ตัวเองหลงอยู่นั้น อาจจะนำพาความวิบัติมาให้ตัวเอง 


    “ไม่มีอำนาจใดที่แน่นอนเท่ากับ

    อำนาจที่เกิดจากการกระทำ

    ของเรากำหนดเอง”


         เมื่อมนุษย์เริ่มต้นโหดร้ายกับสัตว์ก่อน สัตว์ต้องตัดสินใจที่จะปฏิวัติตัวเองและมนุษย์ไม่ให้หันกลับมาทำร้ายสัตว์ได้ ดังนั้น การปฏิวัติครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้น 



         เมเจอร์ หมูป่าที่มีแต่สัตว์เคารพนับถือได้ฝัน และเริ่มต้นบอกว่า ให้สัตว์ทั้งหลายจงพร้อมเตรียมตัวที่จะปฏิวัติเถิด และเริ่มต้นร้องเพลงผองสัตว์แห่งอังกฤษ


    “สรรพสัตว์แห่งอังกฤษ

    สัตว์ทุกชีวิตแห่งไอร์แลนด์

    สัตว์ทั้งหลายทั่วดินแดน

    ไม่เว้นแม้นสภาพใด


    จงตั้งใจสดับฟังข่าวสารนี้

    เป็นข่าวดีชวนชื่นจิตพิศมัย

    ฟ้าจะผ่องเรืองรุ่งพุ่งอำไพ

    เมื่อฟ้าแห่งวันใหม่มาถึงเรา


    วันนั้นอีกไม่ช้าจะมาถึง

    ทรราชซึ่งล้วนแต่โฉดเขลา

    สิ้นอำนาจบาตรใหญ่จักซบเซา

    ด้วยพวกเขาต้องถูกจับโยนออกไป


    แล้วแผ่นดินอันอุดม

    จะเพิ่มผลทวีคูณให้

    สรรพสัตว์ปราศจากอาดูรเปล่าเปลี่ยวใจ

    รอยเท้าใหม่จะเกลื่อนกล่นในแผ่นดิน


    จะไม่มีห้วงเหล็กคล้องจมูก

    จะไม่ถูกกดด้วยแอกให้แบกหิน

    เหล็กคาดปาก-ปฏักจะพังภินทร์

    สนิมกรัดกร่อนกินคราบเกรอะกรัง


    ไม่มีเสียงแส้กระทบอากาศ

    ก่อนฟันฟาดลงบนแผ่นหลัง

    ความอุดมสมบูรณ์จะจีรัง

    เกินที่คาดหวังไว้ในความคิด


    ……………………………”


         เพลงนี้ยังไม่จบแต่ด้วยประการใด (หาอ่านต่อในหนังสือ) และเมื่อทุกคนได้สดับฟัง ก็รู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัว พร้อมฮึกเหิม (เราอ่านยังรู้สึกว่า เฮ้ยต้องสู้เพื่อแผ่นดินใหม่ของเรา) กับสิ่งใหม่ที่กำลังจะเข้ามา สิ่งใหม่ที่เรียกว่า เสรีภาพ อิสรภาพ ความหวังและความเท่าเทียมที่ทุกคนรอคอย



         วันหนึ่ง เจ้าเมเจอร์ก็ตายอย่างสงบ และมีหมูสามตัวที่น่าจะเป็นผู้นำได้ก็คือ สโนว์บอล นโปเลียนและสควีลเลอร์ แต่สควีลเลอร์ขอเอาดีทางปาก เพราะสามารถพูดจากดำกลายเป็นขาวเลยได้ทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กับรัฐบาล ส่วนสองตัวที่เป็นผู้นำก็ตัดสินใจเรียกร้อง ขับไล่มนุษย์ผุ้แสนโหดร้ายออกไปจากฟาร์ม และตั้งบัญญัติ 7 ประการขึ้นมา


    บัญญัติ 7 ประการ


       1. สิ่งใดที่เคลื่อนไหวด้วยสองขาคือศัตรู

       2. สิ่งใดที่เคลื่อนไหวด้วยสี่ขาหรือปีกถือว่าเป็นมิตร

       3. สัตว์จะต้องไม่สวมเสื้อผ้า

       4. สัตว์ต้องไปนอนในเตียง

       5. สัตว์ต้องไม่ดื่มเครื่องดองของเมา

       6. สัตว์ต้องไม่ฆ่าสัตว์ด้วยกัน

       7. สัตว์ทั้งหลายล้วนมีความเท่าเทียม



         หลังจากนั้น พวกหมูก็เป็นใหญ่ โดยมีผู้นำสองคนเป็นผู้นำ หมูทั้งหลายเหล่านั้นจะได้กินแต่อาหารที่ดี นอนในที่ๆดี แต่ยังไม่มีการนอนเตียง โดยที่สัตว์ในฟาร์มนั้นกลับต้องทำงานหนักมากขึ้นหลายเท่าตัว แต่พวกมันก็มีความสุข


         วันเวลาผ่านไป เจ้าสโนว์บอลพร้อมกับม้าได้ช่วยกำจัดมนุษย์อีกครั้งที่จะกลับมาเอาฟาร์มของตัวเอง จนมนุษย์นั้นพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง สโนว์บอลตัดสินใจให้ทำกังหันลม แต่นโปเลียนไม่เห็นด้วย จะพบว่า ทั้งสองผู้นำแตกคอกันมานานแล้ว 



         จนกระทั่งวันที่นโปเลียนตัดสินใจเลี้ยงหมาอันโหดร้ายมากำจัดสโนว์บอล และสโนว์บอลได้หนีหายไปในป่าและหายไปอย่างถาวรในวันนั้นเอง


    (หากเปรียบสโนว์บอลจะเป็นผู้นำที่ไม่เอารัดเอาเปรียบทั้งหมด 

    และยังมีความยุติธรรม 

    แต่ถ้าเปรียบกับนโปเลียนเป็นผู้นำที่เอาแต่ใจ 

    เอาแต่อำนาจและพวกพ้องของตัวเอง 

    และมีความโหดเหี้ยม ไม่ยุติธรรม)



         นโปเลียนขึ้นมาเป็นใหญ่ก็ได้ตัดสินใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สัตว์ด้วยกันที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเอง ทั้งฟาร์มเต็มไปด้วยเลือด และสัตว์ทั้งหลายก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสัตว์ต้องมาเข่นฆ่ากันเอง ในเมื่อบัญญัติข้อหนึ่งบอกว่า ห้ามสัตว์ฆ่ากันเอง และบัญญัติ 7 ประการเริ่มหายไปตามคำพูดของสควีลเลอร์ และนโปเลียนที่บังคับให้สัตว์ทำงานหนักขึ้น ค้าขายกับมนุษย์ บังคับให้สัตว์ทำกังหันลม 



         เมื่อวันเวลาผ่านไปนานแสนนาน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็พบว่า ไม่มีอะไรที่จะกลับมาเป็นแบบเดิมได้แล้ว และไม่รู้ว่าหมูหรือคนกันแน่ที่เป็นใคร เพราะทั้งสองนั้นดูไม่ต่างกันเลย แล้วเสรีภาพ อิสรภาพ ความเท่าเทียมกันนั้นก็ไม่มีอยู่จริง ตายไปพร้อมกับอุดมการณ์ในอุดมคติของหมูเหล่านั้น



         หนังสือเรื่อง Animal Farm เป็นหนังสือที่เราซื้อทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งคนต้องคิดว่า อะไรจะขนาดนั้น แต่เราขอบอกได้เลยว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือการเมืองที่ดี ทำให้เราเห็นภาพและตื่นตัวอยู่กับความเป็นจริงที่สุดเล่มหนึ่ง หลายคนบอกว่า เข้าใจยาก แต่เราว่า ไม่เข้าใจยากเลย


         ครั้งแรกก่อนนายกตู่ชวนอ่าน เราได้อ่านก่อนหน้านี้แล้วแต่อ่านเป็นภาษาอังกฤษ และเราวางหนังสือไว้ที่คาเฟ่เพื่อจองโต๊ะ แต่กลับโดนเด็กที่เรียนโรงเรียนที่ดีขโมยไป (หลังจากเปิดกล้องวงจรปิด) ซึ่งเราต้องให้อภัยเพราะไม่อยากทำร้ายอนาคตเด็ก 


         ครั้งที่สอง เราซื้อเป็นภาษาไทยและให้พี่ในบริษัทยืมไปให้ลูกอ่าน และใช่ มันก็หายไปอีก เพราะเด็กบอกว่า ทำหาย (ต้องทำใจอีกเช่นกัน)


         และสุดท้ายคือเล่มนี้ ที่อยู่ในมือ ที่เราไม่กล้าให้ใครยืมอีก โดยเราบอกคนขอยืมว่า ต้องมัดจำค่าหนังสือไว้ก่อน ถ้าเผื่อทำหายอีก ก็ถือว่า ได้ค่าหนังสือเรียบร้อยแล้ว



    ** เราได้หนังสือ Animal Farm จากท่านผู้ปรารถนาดีแก่เราอย่างมากท่านหนึ่ง ซึ่งหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือไทย-อังกฤษที่มีเนื้อหาที่ดีเหมือนกับเล่มสีเหลืองที่เราอ่าน แต่เราคิดว่า เล่มนี้เหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยที่พร้อมจะฝึกภาษาอังกฤษและภาษาไทยไปในตัว เพราะมีการแปลที่สละสลวยและพร้อมคำศัพท์ด้วย เราเลยอยากนำเล่มนี้มาแนะนำด้วยเช่นกันค่ะ


    “เนื้อหาในเล่มนี้มันโดนใจ

    ผมล่ะใช่เป็นผู้นำนโปเลียนนี้

    ใครไม่ฟังผมต้องโดนดี

    อย่าได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

    ทุกตัวต้องอยู่ในความหวาดกลัว

    จงเมามัวในสิ่งที่มอบให้

    จงรับฟังและทำงานหนักต่อไป

    อย่าลืมไว้ว่าเจ้ายอมเลือกข้าเอง”


    “พวกสูเจ้าทั้งหลาย อยากไม่ฉลาดเลือกข้ามาเอง 

    ก็จงยอมรับสิ่งที่เลือกเถิด 

    จะดีหรือร้าย อยู่ที่เจ้าเป็นคนเลือกเอง

    โทษใครก็ไม่ได้ ก็โทษความไม่รู้ของพวกเจ้าล่ะกัน

    ที่ทำให้ข้ามีอำนาจได้ขนาดนี้ ฮ่าๆๆ

    (หัวเราะแบบผู้นำบ้าอำนาจ)”

    หมีย้อตตี้


         ใครอย่ามาสั่งสอนผมนะ เพราะตอนนี้วิญญาณพวกเจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้ว ถ้าข้าจะบีบพวกเจ้าก็ตาย จะคลายพวกเจ้าก็รอด และข้าจะสังเคราะห์วิญญาณพวกเจ้าออกมาในรูปแบบใดก็ได้ แล้วพวกเจ้าคิดหรอว่า กลับไปให้พวกมนุษย์มันข่มเหงจะดีกว่าอยู่กับข้า



    “อำนาจที่น่ากลัว ชั่วร้ายและเลวร้าย

    ที่สุดในประวัติศาสตร์

    คืออำนาจที่อยู่ในมือของคน

    ที่ใช้อำนาจนั้นไปในทางที่ผิด

    แต่ถ้าใช้ในทางที่ถูก จะเกิดผลประโยชน์ที่ดีอันสูงสุด

    ทุกคนมีอำนาจได้ 

    แต่ต้องมีอำนาจอยู่กับสติและสัปปชัญญะ

    ที่มีหิริโอปตัปปะอยู่ด้วยปัญญาเช่นกัน จะเกิดผลที่ดี”

    Look a Breathe

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in