สวัสดีค่ะ ทุกท่านที่เป็นเสรีชนทั้งหลาย
วันนี้มีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมเยาวชนของรัสเซีย และเป็นโลกใบที่ 3 เป็นโลกแรกที่เพิ่งเข้าไป (เล่มนี้แตกต่างจากซันจิและเกาะมหาสมบัติ เพราะเป็นการผจญภัยในชีวิตจริง)
ซึ่งเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่ สุขนิยมเหมือนกับวรรณกรรมเยาวชนทั่วไป แต่มีทั้งสุขนิยม ทุกข์นิยม เปรียบเหมือน "ชีวิตที่เหมือนเหรียญสองด้าน"
จำได้ว่า สมัยเด็กๆ เคยไม่สบายใจเกี่ยวกับเพื่อนอยู่หลายเรื่อง ไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อให้เรายื่นมือออกมา พ่อถามว่า
พ่อ: "ลูกสามารถบังคับให้นิ้วมือเท่ากันไหม"
เรา: "ไม่ได้ค่ะ เพราะไม่มีใครเกิดมา นิ้วมือเท่ากันอยู่แล้วค่ะ"
พ่อ: "ใช่ ลูก คนเราทุกคนเหมือนนิ้วที่มีความหลากหลายทางความคิด แล้วความคิดของลูกเป็นเพียงส่วนนึง ในนิ้วใดนิ้วหนึ่งของลูกนั้นเอง"
เรา: "ทำไมเขาต้องยัดเยียดความคิดเขาให้เราด้วยค่ะ"
พ่อ: "เหมือนกับที่เรากำลังยัดเยียดความคิดตัวเองในคนอื่นตอนนี้ไงลูก"
พ่อพูดต่อ พร้อมหยิบเหรียญมาให้ดูว่า
พ่อ: "ลูกลองมองเหรียญดูนะ ว่า มันมีสองด้าน เหมือนคนที่มีทั้งด้านดี ด้านไม่ดี ถ้าเรารู้ว่า สิ่งที่เพื่อนทำคือ ด้านไม่ดีเราแค่พลิกอีกด้านนึงดูว่า เขามีดีไหม ถ้ามีดี ด้านไม่ดีก็พลิกเสีย ส่วนหากพลิกแล้วด้านดีหาไม่มี ก็รู้สึกสงสารและปล่อยวางนะ ลูก"
เรา: "หนูก็ไม่ชอบใจอยู่ดีค่ะ พ่อ"
พ่อ: "เราต้องไม่ชอบใจในความคิดนี้เราเหมือนกัน และเราต้องรู้ว่า จะไม่ทำให้คนอื่นไม่ชอบใจ เหมือนที่เรารู้สึก"
เราค่อยๆนึกอยู่นานจนเข้าใจ
เรา: "ขอบคุณค่ะ พ่อ"
ซึ่งคำพูดทั้งหมดที่คุยกับพ่อข้างต้น เป็นการอธิบายเรื่องราวของหนังสือ ที่กำลังจะนำมาแบ่งปันเล่าสู่กันฟังได้ดีที่สุด
เล่มที่พูดถึงนี้ คือ "เด็กหญิงน้ำตาล"
"ความเป็นทาสคือสภาวะของจิตวิญญาณ เสรีชนไม่สามารถเป็นทาสได้"แม่กล่าวกับลูกสาวในขณะที่ลูกสาวถามว่า"เราเป็นทาสหรอค่ะ"
ประโยคข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ คนเราเป็นทาสหลายอย่าง โดยเฉพาะทาสทางความคิดและทาสอารมณ์
เรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอิสระ เมื่อไม่ได้เป็นทาสทั้งความคิดและอารมณ์ โดยคิดให้เป็นระบบแบบอยู่กับเหตุกับผลในสถานการณ์นั้นๆ
หนังสือเล่มนี้เปิดมากับฉากอบอุ่นในครอบครัว มีพ่อ แม่ ลูกสาว และพี่เลี้ยง อยู่ในบ้านหลังนึงที่อบอุ่น แต่แล้วความสุขล้วนไม่เที่ยง เมื่อแปรผันเป็นความทุกข์
หลังจากพ่อถูกจับ แม่และลูกสาวถูกย้ายสถานที่ ไปอยู่ในที่ๆกักตัว แม่ต้องทนใช้แรงงาน ทั้งเหนื่อย ทั้งปวด ทั้งเจ็บระบม ทั้งเลือดไหล แต่ไม่เคยบ่นให้ลูกฟัง มีแต่พูดคุยกันแต่เรื่องที่ดี เรื่องในหนังสือ ร้องเพลง พูดถึงวีรบุรุษให้ลูกสาวฟัง และใช้มืออันปวดระบมลูบหัวเพื่อปลอบประโลม
ผู้หญิงคนนึงต้องเป็นทั้งพ่อทั้งแม่ และยังต้องเข้มแข็งในเวลาแบบนี้ เพื่อให้จิตใจลูกสาวมั่นคงในความดีงามนี้ มีเพียงผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ทำได้ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ คือ "แม่"
ถัดจากนั้น เมื่อแม่และทุกคนถูกใช้แรงงานกันทำอิฐจนเพียงพอแล้ว แม่และคนอื่นๆถูกปลดปล่อย ซึ่งแม่กับลูกสาวไม่ต้องย้ายไปไหน
แม่ได้ร้องเพลงให้ลูกฟังว่า
"เมื่อถึงคราวสิ้นเนื้อประดาตัว
อย่าได้กลัวหากเหลือเพียงเสื้อคลุม
ขอจงใช้ชีวิตมิกลัดกลุ้ม
เมื่อดับสูญจักได้สิ้นเสียดาย
เท้าก้าวเดินปากขับร้องท่วงทำนอง
สายลมร้องเพลงคลอมิเดียวดาย
พวกคนรวยจงหลบอย่ากล้ำกราย
คนจนหมายย่ำเดินตามครรลอง"
จนแม่แทบไม่เหลือเสียงแล้ว เพราะแม่ไม่สบายหนัก
"ตอนนี้เป็นครั้งแรก ที่เรารู้สึกตื่นเต้น ขอพรให้มีคนมาช่วยแม่กับลูกสาวในเรื่องนี้เถิด เรารู้สึกได้ว่า เด็กเป็นเด็กดี แม่ก็เป็นคนดีที่ทำทุกอย่างในช่วงนี้"
แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น
มีครอบครัวที่มีน้ำใจมาช่วยเหลือสองคนนี้
"เรารู้สึกตื้นตันในน้ำใจของคน ที่จะสามารถพบได้ทุกที่ ทุกเวลา และเมื่อใดที่เราพานพบ ความทุกข์ใจจะมลายสิ้น"
ครอบครัวนั้นได้ให้ความช่วยเหลืออย่างดี ทั้งที่อยู่อาศัย อาหาร และคำปรึกษา แต่แม่ก็กลัวว่า ทั้งสองคนจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวผู้มีน้ำใจนี้ จึงต้องตัดสินใจออกไป
"เราเริ่มคิด แล้วจะเกิดอะไรต่อไปกับครอบครัวนี้"
แม่กับลูกสาวก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม่ไปทำงานใหม่ ส่วนลูกสาวพยายามที่จะสะกดกลั้นความกลัวไว้
แม่มีพูดคำหนึ่งกับลูกสาวว่า
"ยังมีชีวิตอยู่ไหม"
และลูกตอบว่า
"ยังมีชีวิตอยู่"
"เราคิดว่า ใช่ ถ้าคนเรายังหายใจอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเจออะไรที่ทุกข์แค่ไหน เราต้องใช้ชีวิตให้สมกับมีคุณค่าเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่"
แม่ได้ปลูกฝังการอ่านให้กับลูก โดยเริ่มต้นเล่าหนังสือให้ฟัง เพื่อเพิ่มพลังการอ่าน พลังโลกในแง่ดีไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน
"ในโลกที่บิดเบี้ยวนี้ เราจะได้เห็นและพบเจอคนดีในสถานการณ์เลวร้ายดี"
แม่ได้ทำงานหนักมาก แต่ในระหว่างนั้นก็มีคนดีหลายคนมาให้ความช่วยเหลือทั้งแม่และลูกสาวให้ผ่านพ้นสถานการณ์ไม่ดีไปได้
ในช่วงนั้น สงครามยังดำเนินต่อไป และแม่กับลูกสาวก็ต้องย้ายถิ่นฐานกันอีก แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจและรู้แล้วว่าไม่มีสิ่งใดในโลกล้วนอนิจจัง เมื่อจำเป็นต้องย้ายก็ย้าย และเมื่อนั้น ลูกสาวเริ่มต้นเรียนหนังสือ
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบว่า สตาลินตายแล้ว ส่วนลูกสาวเป็นนักเคมี และจบด้วยคำพูดว่า
"อย่าปล่อยให้ตัวเองกลัวนะ"
แท้จริงคืออะไรกันแน่
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลูกสาวเล่าให้อีกคนฟัง
คนๆนั้นถามว่า
"ชีวิตคุณเจอแต่คนที่ดี มันเป็นไปได้หรอ"
ลูกสาวตอบว่า
"มีเจอคนไม่ดีบ้าง แต่ไม่ได้จดจำ"
ทั้งหมดนี้คือ เรื่องของ "สเตลล่า"
สำหรับเราคิดว่า หนังสือวรรณกรรมเยาวชนรัสเซียเล่มนี้เป็นหนังสือ (1)ให้กำลังใจที่ดี ทั้ง (2) ปลอบใจ (3) ปลอบประโลมและพูดถึง (4) น้ำใจที่เราควรให้กันและกัน เพื่อ (5) ลดความกลัวในใจและ(6) เพิ่มความกล้าหาญในตัวเองให้ (7) รู้ถึงคุณค่าของตัวเองมากที่สุดเล่มหนึ่งเลย
ใจของเรายังเต้นอยู่ ตราบที่นิ้วมือเรายังไม่เท่ากัน และเหรียญยังมีสองด้าน ตราบนั้น เราควรรู้คุณค่าของตัวเอง
"เมื่อตัวเราตื่นเช้าขึ้นมานี้
ให้สุขมีทุกเช้าอย่างสร้างสรรค์
ทำใจนั้นหายใจเข้าออกไม่ทุกข์พลัน
เรียนรู้วันความสุขในตัวเอง
เราไม่ต้องเอาใครไปเปรียบเทียบ
เพียงแค่เลียบลองมองใจดวงนั้น
เราจะครั้นเห็นความจริงเมื่อเร็ววัน
ว่าวันนั้นคือวันที่ดีของเรา
จงอย่ามองอดีตที่ผ่านมา
อนาคตตาหน้าให้ผ่านเสีย
ปัจจุบันเพียรพยายามให้มากมี
สุดท้ายดีไม่ต้องรอเวลาเลย"
-- Look a Breathe --
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in