เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short diaryPdagraher
ในเมืองทุนนิยม ความโรแมนติกมันใช้ต้นทุนสูง!!!
  • ในค่ำคืนวันศุกร์แห่งชาติที่หลายคนในโซเชียลพร้อมใจกันเช็คอินตามร้านอาหารและผับบาร์ชั้นนำทั่วกรุงเทพ ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของการเฉลิมฉลอง ปาร์ตี้ เพื่อนฝูง คู่รัก ไลฟ์สไตล์เท่ๆ สตอรี่โรแมนติกของพวกเขาที่ผมไม่มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น   ผมได้แต่นั่งตวัดจอมือถือไปมาอยู่คนเดียวในร้านอาหารฟาสท์ฟู้ดโหลๆ พลางจินตนาการว่าตัวเองเป็นพระเอกในหนังเหงาๆซักเรื่องหนึ่งของหว่องกาไว (แต่ขอโทษนะครับสาวๆ อย่าเพิ่งคิดว่าผมหล่อเหมือนเหลียงเฉาเหว่ยนะ ฮ่าๆ)  

    เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมนั่งกระทำความหว่องเสพติดความเหงากับอยู่ตัวเอง  ชีวิตโสดในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าทุกข์ร้อนอะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเช่นกัน อาจจะมีบ้างในบางโมเมนต์ที่อยากโพสลงสเตตัสเฟซบุ๊คว่า"เหงาชิบหายเลยโว้ย" "อยากมีแฟนซักทีโว้ย" แต่ก็กลัวจะเสียภาพลักษณ์เท่ๆของชายชาตรีผู้เข้มแข็งทางจิตใจ(เหรอวะ?)   ถึงอย่างไรก็ตามผมพยายามดีลกับความเหงาความอ้างว้างทั้งหลายจนเริ่มปรับตัวเข้ากับมันได้สำเร็จแล้วล่ะ  เชื่อว่าในเมืองใหญ่แห่งนี้ต้องมีคนโสดๆเหงาๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผมจำนวนมหาศาลที่แฝงตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่งในกรุงเทพและปริมณฑล   และผมก็เชื่ออีกว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลส่วนตัวซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทำให้ยังไม่พร้อมจะมีความสัมพันธ์โรแมนติกกับใครทั้งนั้น   โดยส่วนตัวสำหรับผม เหตุผลที่ยังคงผูกมิตรกับความโสดไว้อยู่ก็เพราะรู้ตัวเองว่า.....
     

    "ผมยังไม่มีต้นทุนชีวิตมากพอสำหรับความโรแมนติกแบบวิถีชนชั้นกลางรุ่นใหม่ในเมือง"

    (หรือถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านเข้าใจง่ายๆก็คือ "กูยังจนเกินไปที่จะจีบสาวโปรไฟล์ดีๆในสเปค" ฮือๆ)



    หนึ่งเดือนที่ผ่านมาสำหรับการเริ่มต้นชีวิตมนุษย์เงินเดือนและได้สำรวจค่าครองชีพตัวเองแบบจริงจัง ทำให้ผมเริ่มเข้าใจมุมมองความรักในแบบผู้ใหญ่มากขึ้น  อายุปูนนี้ความสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆง่ายๆเหมือนสมัยวัยรุ่นแล้วนะครับ  การชอบใครซักคน จีบใครซ้กคนมันไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนเลย   เราไม่ได้อยู่ในโลกความฝันยูโทเปียแบบวัยรุ่น  ไม่ได้มีความรักใสซื่อไร้เดียงสาแบบpuppy loveอีกต่อไปแล้ว   เราก้าวสู่โลกความจริงอย่างเต็มตัว  คุณไม่มีทางจะรักใครได้เลยโดยไม่ตระหนักว่าเขาหรือเธอมีฐานะการเงินที่บ้านระดับไหน  จริงอยู่ว่าคนเราไม่ได้รักกันที่เงิน แต่ฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่างกันมันก็ย่อมหมายถึงไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน รสนิยมที่ต่างกัน และปรับตัวเข้าหากันได้ยาก จริงมั้ยล่ะ? 

    ถ้าสมมุติว่าคุณเป็นผู้หญิงชนชั้นกลางในเมืองที่คุ้นชินกับเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและคุ้นเคยกับการนั่งร้านอาหารเก๋ๆในห้างใหญ่  คุณคงไม่ได้อยากคบกับผู้ชายที่ออกเดทครั้งแรกพานั่งรถเมล์ฟรีไปกินชายสี่หมี่เกี๊ยว(แถมยังไม่ออกตังให้ด้วย)หรอกใช่มั้ย? 

    ในสมองของผมเต็มไปด้วยภาพมายาคติเกี่ยวกับความรักจากเอ็มวีเพลงรักป๊อปๆหวานๆ หนังรักฟีลกู้ดซึ้งๆ ที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กและวาดฝันไว้ว่าอยากจะมีชีวิตรักแบบนั้น ก่อนจะค้นพบว่าแท้จริงแล้วเราต้องมีรายได้ในระดับชนชั้นกลาง มีฐานเงินเดือนที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำป.ตรีหลายเท่า(และต้องไม่มีภาระทางการเงินที่แบกไว้มากเกินด้วย) จึงจะสามารถมีไลฟ์สไตล์ที่สวยงามโรแมนติกแบบนั้นได้

    ความโรแมนติกแบบป๊อปคัลเจอร์คนกรุงทั้งหลายที่ผมเห็นอยู่บนหน้าฟีดข่าวมือถือเป็นประจำต้องอาศัย"เงิน"ทั้งนั้น   ไม่ว่าจะเป็นดินเนอร์มื้อหรู นั่งดูหนังซบไหล่กันบนฮันนีมูนซีท ดูคอนเสิร์ตวงนอกที่ราคาบัตรแพงสูงลิบ จิบกาแฟดริปในคาเฟ่แนวมินิมอล เที่ยวผจญภัยด้วยกันสองคนในประเทศโลกที่หนึ่ง  ซื้อกิ๊ฟท์ช็อปแบรนด์เนมของขวัญวันครบรอบคบกัน 1 เดือน (มึงก็ยังอุตส่าห์ฉลองเนอะ ฮ่าๆ)  และพฤติกรรมโรแมนติกอีกหลายอย่างที่ผมอยากแซะเหลือเกิน(เพราะอิจฉาพวกบ้านรวย)   ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ลองคำนวนดูเล่นๆสิครับว่าต้องใช้ต้นทุนทางการเงินมากแค่ไหนกัน 


    ดังนั้นผมจึงอยากบอกผู้หญิงทุกคนว่า  ไม่ผิดหรอกครับถ้าคุณจะเลือกคบผู้ชายที่เงิน  มันคือสิ่งที่ควรเป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นสำหรับการมองหาใครซักคนเป็นคู่ชีวิตอยู่แล้ว  อย่างน้อยมันก็พอเป็นหลักประกันได้ว่าเขาสามารถดูแลคุณได้ดีในระดัับนึง เขาสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคุณให้ดียิ่งขึ้น สามารถมอบประสบการณ์โรแมนติกให้คุณได้โดยไม่เดือดร้อนค่าครองชีพ และที่สำคัญคือซัพพอร์ทความต้องการขั้นพื้นฐานของคุณได้แน่นอน  ส่วนเรื่องความดีความเลว ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับฐานะหรอก จะรวยจะจนมันก็เสี่ยงเจอคนเลวเหมือนกันแหละ ตอนจีบก็เผยให้เห็นแต่ด้านดีทั้งนั้น ธาตุแท้มันจะเผยออกมาก็ต่อเมื่อคุณคบกันนานจนรู้จักสันดานดิบกันจริงๆ  

    ผู้ชายฐานะปานกลางค่อนไปทางจนอย่างผมเข้าใจดีว่าไลฟ์สไตล์โรแมนติกทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมือง มันต้องใช้ต้นทุนทางเศรษฐกิจทั้งนั้น   แม้ว่าผมจะมีภาพฝันในหัวมากมายที่สุดแสนโรแมนติก  แต่ความคิดเพ้อฝันเหล่านั้นล้วนต้องใช้"เงิน" "เงิน" แล้วก็"เงิน"

    อย่างไรก็ตามผมยังแอบหวังว่าซักวันนึง ผมจะสามารถทำงานเก็บเงินจนพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นจนสามารถดูแลพ่อแม่ และดูแลผู้หญิงอีกคนที่ผมรักได้จริงๆ  แล้วพอถึงวันนั้นผมจะทำตัวโรแมนติกทุ่มเทความรักให้กับแฟน ผมจะอวดความหวานออกหน้าออกตาจนคนทั้งโลกต้องอิจฉาความรักของเราทั้งคู่ผ่านฟีดข่าวเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์  ยูทูบ  เรดทูบ  ฯลฯ  ( อ้าว! โทษที เผลองีบหลับเพลินไปหน่อย กำลังฝันหวานเลยกู)

    หลังจากนั่งกระทำความหว่องอยู่นานจนพนักงานร้านจะปิดไฟไล่อยู่แล้ว  ผมก็เดินออกจากร้านมายืนรอรถเมล์ฟรีหน้าห้างเพื่อกลับบ้าน  ตามประสาของคนติดโซเชียลก็ปัดหน้าจอมือถือดูอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา ทันใดนั้นเองก็เลื่อนไปเจอโพสต์ข่าวดาราสาวสวยแต่งงานกับไฮโซทายาทธุรกิจพันล้านพร้อมสินสอดและเรือนหออลังการ เธอเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อว่า

    "หนูรักพี่เค้าที่ใจค่ะ เค้าเป็นผู้ชายน่ารัก  เราคบกันด้วยใจล้วนๆ ไม่ได้มองเรื่องอื่นเลยค่ะ "  

    ผมอ่านแล้วเผลอแสยะยิ้มที่มุมปาก และหลังจากนั้นก็แทบกลั้นขำไว้ไม่อยู่เมื่ออ่านคอมเมนต์ข้างใต้ทั้งหลายที่ชาวเน็ตพร้อมใจกันสาดคำอวยพรให้กับเธอแบบไม่ยั้งแป้นพิมพ์











Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Soilsmile (@Soilsmile)
มีความรู้สึกที่เหมือนกัน ยิ่งเติบโต "ฐานะ" จะมีผลต่อคู่ชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ สู้ๆนะครับ เป็นกำลังใจให้