เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่าเมื่อเราไปเมืองสิงค์ ( in 2015)SnapDiary
Chapter-05 เราเดินทางไกล เพื่อคิดถึงคนที่เพิ่งจากมา


  • ก่อนหน้าที่รถเมล์ยังไม่มา


    เราทั้ง4เดินถ่ายรูป โน่น นี่ นั่น เรื่อยๆเอื่อยๆ ไม่นานก็มาถึงป้ายรถเมล์ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับป้ายตอนเรามาถึงถนนเส้นนี้ ผมมองซ้ายเข้าไปในปั๊มน้ำมัน พยายามสังเกตมองหาเด็กปั๊มบ้านเค้า ว่าเหมือนกับที่บ้านเราหรือเปล่า เขาจะแต่งตัวยังไงนะ อันนี้เป็นความสนใจส่วนตัวของผม ที่ชอบมองอะไรเทียบกับที่บ้านเรา ยามไปต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ (มารู้ทีหลังว่า ที่นี่เขาไม่มีเด็กปั๊ม เขาเติมเองจ้า) พอไม่เห็นเด็กปั๊มผมก็มาสนใจต้นไม้ข้างทาง มองไปยิ้มไป อาจเพราะผมมีความทรงจำดีๆกับต้นไม้ริมถนนกับคนคนหนึ่ง ผมเลยชอบมองมัน


    กำลังเหมอได้ที่...ก็มีเสียงหนึ่งบอกว่า “รถเมล์มาแล้วพี่”

    ผมเก็บความคิดถึงใครคนหนึ่งลงกระเป๋า แล้วล้วงเอาบัตร EZ-link ออกมาแทน - รีบตามน้องๆ ขึ้นรถไป

    ติ๊ด... ประตูอัตโนมัติก็ปิด (ผมขึ้นเป็นคนสุดท้าย มัวแต่เหม่อเกือบไม่ทันละ)


    เราทั้ง4 ได้ยืน พร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นที่ขึ้นป้ายเดียวกับเรา รถเมล์วิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วพอประมาณ แม้ถนนหนทางบ้านเค้าจะโลง เรียบ พร้อมให้ทำความเร็วมากกว่านี้ แต่เขาก็เคลื่อนรถไปตามจังหวะที่พอเหมาะ ให้เรายืนบนรถแล้วถ่ายรูปวิวข้างทางได้สบาย


    เมื่อผมถ่ายรูปจนไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้ว เลยหันมามองไปรอบๆตัวรถ สังเกตแบบละเอียดจึงรู้ว่า ที่นี่เขาให้ความสำคัญกับ คนสูงอายุ และคนพิการมากๆ ในรถเมล์จะแบ่งเป็นโซนไว้รองรับโดยเฉพาะ เมื่อคิดทวนมาถึงตรงนี้ ผมร้องอ๋อในใจ นึกถึงตอนขึ้นรถเมล์ขามาจากสนามบิน -พวกเรายืนและนั่งผิดโซนนี่หว่า ถึงว่า...โดนมองแรงแปลกๆ เอาล่ะ ครั้งนี้รู้แจ้งแน่ชัดแล้ว...ไม่ยืนผิดโซนแน่ๆจ้า


    รถวิ่งไป เราก็ช่วยกันนับป้ายไป จนถึงป้ายที่ 3 ก็ได้เวลาที่เราจะต้องลงไปต่อ MRT ที่สถานี Dakota


    พอลงบันไดเลื่อนไปที่ชั้นแรก ก็เห็นตู้เติมเงินบัตร EZ-link พวกเรา เลยจัดการเติมเงินเข้าบัตรของตัวเอง ตามใจชอบและตามใจงบในกระเป๋า เมื่อแล้วเสร็จ เราก็เดินไปต่อที่ช่องทางขึ้นรถ จุดหมายของเราคือ สถานี Bayfront ซึ่งในข้อมูลที่เราหามาได้ จากรีวิวหลายๆคน ถ้าเราจะไปแถวอ่าวมารีน่า มันจะออกได้หลายประตูมาก คือ ออกได้ทั้ง ประตู B C D และ E (ขึ้นอยู่ว่าเราจะไปสถานที่ไหน) ผมเลยหันไปบอกน้องๆว่า เราเจอประตูไหน ก็ ออกประตูนั้นโลดเนาะ


    แต่ปัญหาของเราก็คือ ตอนนี้ยังหาทางขึ้นรถไป Bayfront ไม่ได้เลย มันอยู่ตรงไหนน้อ เมื่อเราเดินไปมาจนทั่วชั้น ทุกทิศทาง ก็ยังไม่เจอ จนกระทั่งน้องคนหนึ่งบอกว่า มันอาจอยู่อีกชั้นก็ได้พี่ ซึ่งก็จริงแบบที่น้องเค้าบอก เราลงไปอีกชั้น ถึงได้เจอประตูทางขึ้นรถ เราพยายามสังเกตป้ายสถานีปลายทาง ของสายสีเหลือง ว่ามันใช่ในแบบที่โน้ตมาหรือเปล่า -โอเค มันชี้บอกปลายทางที่ Bay Front ขึ้นเล้ยยยย


    ในขณะที่รถวิ่งและจอดตามสถานี ผมก็ดูแผนที่ประกอบเรื่อยๆ เห็นว่ายังเหลืออีกหลายสถานี เลยหันมาสังเกตุภายในรถ ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ลองมองหาคนไทยแต่ก็ไม่เจอ(คงล่วงหน้าเราไปแล้วแน่ๆ) ไม่นานรถไฟก็จอดที่สถานี Dakota เมื่อเราลงจากรถ มองหาป้ายทางออก- เดินตามลูกศรที่ชี้บอกไปเรื่อยๆ เราก็เจอกับประตูทางออก (D) เป็นอันดับแรก พวกเราเลยตัดสินใจออกประตูนี้


    เมื่อเราทั้งสี่ โผล่ขึ้นมาจากสถานี ภาพแรกที่เห็นคือ...

    ตึกที่สูงสุดฟ้า เรียงรายเป็นแนวยาวไปตลอดช่วงสายตา มันสวยแปลกตาในความรู้สึกของผม (อยากให้เธอมาเห็นด้วยจัง) แต่แอบเสียดายหน่อยๆ ที่ท้องฟ้ามีหมอก(จากควันภูเขาไฟที่ อินโดในตอนนั้น) ภาพที่เห็นจึงไม่ใส สวยแบบในรูปถ่าย แต่ก็ได้บรรยากาศครึ้มๆ แบบในหนังของ เฮียหว่อง





    โอ้....ป้าด ผมร้องออกมา แล้วมองไปรอบๆด้วยตาเปล่า หันไปเห็น น้องๆ หยิบมือถือออกมาถ่ายรูป เลยนึกขึ้นได้ โอ้...ตะลึงจนเกือบลืมถ่ายรูปเลยเรา ผมหยิบกล้องที่ห้อยคอขึ้นมารัวชัตเตอร์ พร้อมทั้งล้วงเอามือถือออกมาถ่ายจนหนำใจ ถึงได้ชวนน้องๆเดินต่อ

    พอเดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะเจอถนนที่ทอดยาวไปแนวขนานไปกับอ่าวมารีนา เมื่อข้ามถนน ก็สัมผัสได้ถึงลมและกลิ่นทะเลจางๆ ผมมองออกไปทางซ้ายก็เจอ ตึกเรือ (Marina Bay Sands )ที่ตั้งสูงตะหง่าน ในอ่าว น้องคนหนึ่งตะโกนออกมา “ โว้..ถึงแล้ว สิงคโปร์” เราหัวเราะกันแล้วเดินไปทางซ้าย(ตามgoogle map) เพื่อไปหาจุดหมายของเราคือ เจ้าสิงโต เมอร์ไลออน



    เราเดินสูดบรรยากาศริมอ่าว แวะถ่ายรูปอวดเพื่อนๆ ในเฟสเรื่อยมา จนเจอเจ้าสิงค์โตเมอร์ไลออน กำลังพ่นน้ำลงทะเล อาจเพราะตอนนี้เป็นช่วงเย็น แดดร่มลมตก บรรยากาศกำลังดี ที่ตรงนี้จึงมีนักท่องเที่ยวหนาแน่น(มาก) เราทั้ง4 เลยนั่งพัก ดูเชิง แล้วรอจังหวะเข้าไปถ่ายรูป ในขณะที่ผมนั่งพัก มองไปรอบตัว เห็นน้องที่ร่วมทริป กำลังติดต่อกับคนที่บ้าน คนหนึ่งไลน์หาแฟน ถ่ายรูปส่งไปให้ดู คนหนึ่งโทรคุยกับที่บ้านว่ามาถึงแล้ว...เจอตึกเรือแล้ว คนหนึ่งวิดีโอคอลคุยกับคนพิเศษ เธอพยายามหันกล้องหน้าไปทางตึกเรือ แล้วหันไปหาเมอร์ไลออน สลับไปมา แล้วถามคนปลายสายว่า เห็นมั้ยๆ สวยหรือเปล่า


    ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้ม คิดถึงใครคนหนึ่งที่ไทย(อีกแล้ว) คิดไม่นานก็กลับมาคิดถึงแม่ อยากให้แม่มาเห็นที่ตรงนี้จัง “ตึกที่นี่มันสูงกว่าที่บ้านเรามากๆเลยนะแม่ “ ผมคิด พร้อมล้วงมือถือ ตั้งใจว่าจะกดโทรหาแม่ ในขณะที่กำลังควานหาวิธีกดเบอร์ น้องร่วมทริปก็เรียก “พี่ๆ คนเริ่มซาแล้วไปถ่ายรูปกัน”


    ผมเลยได้ถ่ายรูปท่ายอดฮิต (อ้าปากกินน้ำจาก เมอร์ไลออน) พอได้เข้าใกล้กลุ่มคน ถึงรู้ว่ากว่าครึ่งนึงของที่นี่ เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย บ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาเป็นกรุ๊ปทัวร์ ผมทักทายเพื่อนร่วมประเทศแล้วถามไถ่กันตามประสาคนบ้านเดียวกัน เสร็จแล้วจึงชวนน้องๆเดินต่อไปทางฝั่ง โรงละครเอสพลานาด ระหว่างทางเดิน เป็นสะพานโล่งกว้าง ออกแบบได้สวย เหมาะกับการถ่ายรูป จังหวะการเดินของพวกเราจึงเปลี่ยนมาเป็นแบบ เนิบๆ เดินๆ หยุดๆ

    ช่วงหนึ่งของการเดินเรื่อยเปื่อย ผมหยุดมองยอดตึก(หลังคา) โรงละคร เอสพลานาด พิจารณาเปรียบเทียบ ในรีวิวที่อ่านมา บางคนบอกว่า มันเป็นหนามทุเรียน บางรีวิวก็บอกว่า มันมาจากปากไมค์โคโฟน


    ในช่วงที่กำลังสงสัยว่า...ตกลงมันเป็นอะไรกันแน่วะ พลันสายตาหันไปเจอกับ ร้านไอศกรีม รู้สึกอยากกินกะทันหัน เลยเดินเข้าไปซื้อ อาจจะเพราะความเคยชิน หรือ ความเบลอของผมในขณะนั้น จึงอ่านป้ายราคา 6.5 SGD เป็น 6.5 บาท (ตอนเขียนรีวิว ยังนึกไม่ออกเลยว่าเบลอขนาดนั้นได้ไง) ในตอนนั้นคิดว่าไม่แพง เลยบอกพนักงานเอาถ้วยนึง มีเสียงน้องๆ คัดค้านอยู่ในทีว่า “พี่จะเอาจริงหรอ” ผมพยักหน้า “เอาๆ ไม่แพงเลย” แล้วจ่ายตังค์ไป

    ผมได้ไอศกรีมกะทิสด บนภาชนะที่ทำจากกะลามะพร้าว(มีเนื้อมะพร้าว แต่แข็งมาก) ไม่ต่างจากไอศกรีมกะลามะพร้าวรถเข็นที่ขอนแก่น ในราคาราว 165 บาท พอได้สติ จากการคูณค่าเงิน ถึงรู้ว่า...โอ้ นอกจากไม่ได้กิน ไอศกรีม ซิกเนเจอร์บ้านเค้าแล้ว(ไอศกรีมที่มีขนมปังแผ่นประกบ) ดันได้กินไอศกรีมแบบขอนแก่นในราคาแพงมากกกกกก (ก.ล้านตัว ) โดยมีน้องที่คัดค้านในตอนแรกขอชิมและแสดงความเห็นใจ บอกว่า “ รสชาติใช้ได้นะพี่ ไม่เป็นไรหรอก” แล้วชวนผมไปต่อ



    เราผ่านจุดต่างๆในรีวิว ไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬากลางน้ำ ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายชา กาแฟ สนามเด็กเล่นจากนั้นเราเดินตรงไปที่สะพานเกลียว ฮีลิกซ์ (Helix Bridge) พร้อมๆกับฟ้าที่กำลังมืดลง ดวงไฟหลากสีน้อยใหญ่ ถูกเปิดประดับประดาอย่างสวยงามตา เราเดินต่อไป แวะตรงนั้น ตรงนี้ เรื่อยๆ จนกระทั่งมาหมดแรงที่ Singapore Flye


    เราทั้งสี่หยุดนั่งพักที่ริมอ่าว ใกล้ตีนสะพาน พลางแหงนหน้ามองชิงช้าที่สูงสุดตา จากการถามไถ่กัน ได้ความว่า...ทุกคนเริ่มหิว พร้อมกับอาการเมื่อยล้าที่เดินทางมาทั้งวัน และเนื่องจากเราไม่ได้ซื้อตั๋วที่จะขึ้นชิงช้าชมวิวมาก่อน เลยตกลงกันว่า นั่งพักเหนื่อยตรงนี้ แหงนหน้าดูเอาก็ได้ แค่ถ่ายรูปเซลฟี่คู่ชิงช้าก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องขึ้นหรอก (มันแพง)


    เมื่อตกลงกันได้ ว่าเราจะพักกันตรงนี้ให้หายเหนื่อยสักพัก แล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน ผมเลยขอตัวไปเดินดูอะไรๆ ในอาคารก่อน เผื่อเจอห้องน้ำจะได้เข้าให้เสร็จสรรพ คือไม่ได้ขึ้น ขี้ เอ้ย เข้าห้องน้ำ ที่ Singapore Flye ก็ยังดี




    เมื่อเข้าห้องน้ำห้องท่าเสร็จแล้ว ผมเดินออกมานั่งพักที่ริมอ่าวมองสายน้ำที่พลิ้วไหว เป็นรูปเงาแสงสีของตึกสูง พลันนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้โทรหาแม่เลย- ผมล้วงมือถือออกมา ตั้งใจว่าจะใช้ 10 นาที จากโควต้า30นาทีของซิม คุยกับแม่ เมื่อแม่รับสาย ผมกำลังจะส่งความคิดถึงผ่านประโยค บอกเล่าเรื่องราวที่ผมเจอมา ว่าเมืองที่มาเห็นมันสวยแปลกตา อยากให้แม่มาเห็นแค่ไหน..


    แม่ดันถามประโยคแรกว่า ใช้เบอร์ใครกดมา ทำไมเลขที่โทรมามีหลายตัวจัง กดจากตู้สาธารณะหรอ แล้วแม่ก็ร่ายวิธีกด ว่ามันต้องกดแบบนี้ใช่ป่าว ซึ่งกว่าจะอธิบายว่า กดจากมือถือนะแม่ มันมีโปรโมชั่น โทรต่างประเทศไรงี้ นาทีก็หมดไปเยอะเหมือนกัน และสุดท้ายจบที่ไอ้เจ้า “หมูหวาน” พุดเดิ้ลทอยลูกรักของพ่อและแม่ที่บ้านเห่า แม่บอกกลับมาว่า..สงสัยใครมาหน้าบ้าน แค่นี้เด้อ แล้วแม่ก็วางสายไป (จบการรีวิวกับแม่)

    ผมวางสายแล้วอมยิ้ม จนน้องที่นั่งข้างๆ หันมาถามว่า พี่ยิ้มอะไร 
    ผมไม่รู้จะตอบยังไงเลยบอกกับน้องไปว่า

    คนเรานี่ก็แปลกเน๊อะ “เดินทางตั้งไกล เพื่อมาคิดถึงคนที่เราเพิ่งจากมา” น้องที่นั่งฟัง อึ้งไป3 วินาที แล้วบอกกับผมว่า “สงสัยพี่จะหิวจัด ทุกคนไปเข้าห้องน้ำมาครบพอดี “

    "ไปหาข้าวมันไก่กินกันพี่ "




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in