
ผู้ที่ควรได้รับความดีความชอบจากหนังเรื่องนี้รองจากโจวชิงฉือ ซึ่งทั้งกำกับ เขียนบท แสดงนำ แล้ว ก็คงจะเป็นทีมพากษ์พันธมิตรนะครับ ที่ทำให้หนังสนุกขึ้น 50% เรียกว่าทอปฟอร์มมากจริง ๆ ด้วยความที่ตัวหนังจริงๆ โจวชิงฉือชอบเว้นช่วงเดดแอร์บ่อย เพื่อเน้นอารมณ์ตลกขื่น ๆ แบบลูซเซอร์ มันจึงเข้าทางทีมพันธมิตรเป็นอย่างมากที่จะใส่มุกต่าง ๆ เข้าไปอย่างถี่ยิบ ซึ่งทั้งฮาและเนียนจริง ๆ
ในขณะที่ผลงานกำกับเรื่องแรกของโจวชิงฉืออย่าง Saolin Soccer ยังมีโทนตลกเละเทะ เหลวไหลค่อนข้างเยอะ ซึ่งก็เป็นภาพจำของเขามาตลอดอยู่แล้ว มาเรื่องนี้ความเลอะเทอะแบบนั้นหายไปจนเกือบหมด สิ่งที่แทนเข้ามาคือ บทที่เรียบเรียงมาอย่างดี คิวบู๊ที่ผสมทักษะกังฟูเข้ากับซีจีคุณภาพสูง(ในสมัยนั้น)ได้อย่างกลมกลืน ที่สำคัญคือความตั้งใจคารวะหนังกังฟูยุคเก่าและดาราอาวุโสทั้งหลาย ซึ่งก็ออกมาโชว์ลูกเก๋าอย่างไม่มีใครยอมใคร และทำให้ตัวหนังมีเสน่ห์ขึ้นมาก ส่วนที่ยังคงไว้และจนถึงปัจจุบันมันก็ยังไม่หายไปจากหนังของโจวชิงฉือทุกเรื่องคือ ความเป็นลูซเซอร์ของตัวเอก ส่วนที่เพิ่มเติมและกลายเป็นมาตรฐานของเขาในต่อๆ มาคือ ความพิถีพิถันในงานโปรดักชัน การออกแบบฉากที่เสริมตัวหนังและสร้างเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี
หากใครเป็นแฟนนิยายหรือหนังจีนกำลังภายใน คงจะคุ้นเคยกันดีกับฉากคลาสสิคที่ตัวเอกได้ทะลวงจุดซี่ตัน กลายเป็นยอดฝีมิอในยุทธภพในพริบตา และ Kungfu Hustle ก็หยิบมันมาใส่ได้อย่างถูกเวลา ด้วยการบิวด์เนียน ๆ มาตลอดทั้งเรื่อง และเมื่อมาถึงฉากนั้น ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ดาราตลกบ้าๆ บอ ๆ มากว่าครึ่งชีวิตอย่างโจวชิงฉือนั้น โค ต ร เท่ห์ เทียบเท่า Neo ในฉาก The one จาก The Matrix เลยทีเดียว (หรืออาจจะมากกว่า เพราะคิวบู๊พี่เคียนูดูนิ่มๆ ไปนิด) และมันก็เหมือนการบอกคนดูไปกลาย ๆ ว่า ไม่มีอีกแล้ว ดาราตลกที่เล่นแต่มุกสกปรก มุกเจ็บตัว จากนี้ไปจะมีแต่โจวชิงฉือ The One คนนี้คนเดียวเท่านั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in