เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
หากว่าลื้อไม่ได้แต่งงานddreamterritory
หากว่าลื้อไม่ได้แต่งงาน
  • 0

    ความไหลลื่นทางความคิดไม่เพียงแต่นำพาฉันมาหยุดลงที่ตรงนี้ มันยังนำพาความสงสัยใคร่รู้ถึงที่มาและที่ไปเกี่ยวกับสิ่งที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอีกด้วย 

    ฉันไม่ใช่คนขบถ ฉันชอบกฏระเบียบ แต่ฉันไม่ชอบการถูกครอบงำ 
    ฉันมักตั้งคำถาม ที่หลายครั้งมักไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ หลายครั้งคิดว่าไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

    บอกแล้ว ฉันไม่ใช่ขบถ ฉันเพียงแค่ใครรู้และสงสัยถึงที่มาและที่ไป



    0.5



    ต่อจากนี้คือสิ่งที่ผู้หญิงอายุยี่สิบปีอย่างฉันนำมาเขียนโดยไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับตัวจริง เป็นเพียงการรับรู้จากคนใกล้ตัว ฉันเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น และขอรับประกันว่ามันเกิดขึ้นจริง



    1

    หากว่าไม่มีขนบธรรมเนียมในเชิงยัดเยียดความคิด 
    เราทุกคนคงมีใจที่ใฝ่อิสระยิ่งกว่านี้



    หากไม่มีขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานานนับพันปีเกี่ยวกับ "การแต่งงาน" ทุกวันนี้คู่แต่งงานจะมีน้อยลงกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ แน่ใจได้อย่างไรว่าใครหลายๆ คนไม่ได้แต่งงานเพราะ "อยากแต่งงาน" 



    ฉันเคยมีความคิดที่ค่อนข้างโกรธเล็กน้อยเกี่ยวกับคนที่คิดว่า "ฉันต้องแต่งงาน" โดยให้เหตุผลว่า "จะได้มีคนดูแล" ถ้าเปรียบเป็นละครก็คงเปรียบเป็นละครน้ำเน่า ไร้ที่มาและไร้ที่ไป ไร้เหตุผลสิ้นดี สักแต่ว่าพูดเพราะได้รับการปลูกฝังมาแบบนี้


    "การแต่งงาน" คือการประกาศให้สังคมได้รับรู้ว่าคนสองคนได้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย และเพื่อเป็นให้เกียรติ เป็นทั้งการเฉลิมฉลองให้คู่บ่าวสาว

    แต่ก่อนที่จะมีการแต่งงาน 
    ก็ต้องมีคู่แต่งงาน

    คู่แต่งงานคือคนที่เราจะอยู่กับอีกฝ่ายฉันสามีภรรยา เป็นครอบครัวกัน มีลูกมีหลานสืบต่อกันไป ดูแลกันยามเจ็บไข้ เป็นกำลังใจให้กันจนแก่เฒ่า

    แล้วก่อนจะมีคู่แต่งงาน ก็ต้องมีคนที่คิดว่าเค้าคนนั้นจะเป็นคู่แต่งงานด้วยเช่นกัน ทีนี้ คู่แต่งงานที่ว่าคนนี้นี่แหละที่มักจะเกิดเป็นปัญหาต่อใครหลายๆ คน ปัญหาที่ว่า อันได้แก่...

    อาม่าหามาให้จากการไปงานแซยิดของรุ่นน้องของเพื่อนของเพื่อนของรุ่นพี่ข้างบ้านของอาแปะคนขายน้ำเต้าหู้สมัยเด็กของอาม่าอีกทีนึง



    บางที... คู่แต่งงานก็ได้มาจากการที่เรานอนดูซีรีส์ที่บ้านพร้อมแซนวิชเซเว่นคู่ใจ สบายใจเฉิบ



    ทีนี้อาม่าก็จะเอาดวงคนนั้นมาดูว่าเหมาะกับดวงของเรามั้ย ถ้ามันเหมาะ ก็จะเริ่มซุบซิบกันในหมู่ผู้สูงวัย เช่นอากง ผู้เป็นทั้งสามีและสมาชิกสับเซ็ตในเซ็ตใหญ่ของอาม่า ตามมาด้วยสับเซ็ตอื่นๆ อย่างน้องสาวของอาม่า น้องเขยของอาม่า แล้วค่อยๆ ไล่ลงมาเป็นอาเจ็ก อาแปะ อาอึ้ม อาอี๊ อาซ้อ อาป๊า อาม๊า และห่วงโซ่สุดท้ายผู้ไม่รับรู้ชะตากรรมก็คือพวกเรานั่นเอง -ทั้งที่กำลังกรี๊ดโอป้าอยู่แท้ๆ เลย


    ทีนี้ไอ้คนที่กำลังกรี๊ดโอป้าจากอังกฤษแดนผู้ดี โอป้าจากญี่ปุ่นแดนอาทิตย์อุทัย โอป้าจากอเมริกาจากดินแดนแห่งเสรี ก็จะถูกเรียกให้ไปกินข้าวในวันอาทิตย์ที่ซึ่งทำเป็นประจำทุกอาทิตย์


    แต่เอ๊ะ... ทำไมวันนี้ดูคนเยอะๆ ผิดปกติ


    อาอึ้มคนนั้นที่อยู่จังหวัดนั้นทำไมมาวนวันนี้
    อาเจ็กคนนั้นที่เคยเห็นเมื่องานแต่งของอาเฮียเมื่อหกปีที่แล้วก็มาในวันนี้ด้วย
    อาเจ๊คนนั้นที่เพิ่งมีลูกสองไป ทำไมก็มา แล้วอาแปะคนที่นั่งดูทีวีช่องภาษาจีนคนนั้นด้วยล่ะ 
    วันนี้ก็มาเหรอ...


    อันที่จริงก็อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากใครๆ ก็จะมาในวันนี้ แต่อันที่แปลกคือมาในวันนี้ วันที่ไม่ใช่วันพ่อหรือวันแม่ที่จะมีจัดเลี้ยงทุกปี มาในวันอาทิตย์ที่ปกติกินข้าวบ้านอาม่าแต่นี่... ภัตตาคารจีน และมาในวันที่เราแต่งตัวธรรมดาแต่ทุกคนที่เหลือแต่งงานเหมือนเป็นงานหมั้นของคนสำคัญในครอบครัว


    หลังจากนั้นนะ ความอึดอัดก็จะมาเยือน คือกำลังอร่อยกับปลาเก๋านึ่งซีอิ๊วอยู่ อาม่าก็จะเปรยๆ ว่า

    "อาหมวยเอ๊ย ลื้ออายุเท่าไหร่แล้วนะปีนี้?" 
    "อ๋อ ยี่สิบหกค่ะอาม่า" ยิ้มสวยๆ แล้วคีบปลาเก๋าต่อ

    "มีแฟนอ๊ะยังอะเราอ่า?" 
    "ยังค่ะอาม่า" วอลลุ่มเสียงจะเบาลงหน่อย ตอบเบาๆ ดูใสๆ ตามวัยยี่สิบหก

    "มีหนุ่มมาจีบมั้ย?"
    "ไม่มีหรอกค่ะอาม่า" ยิ้มสวย เหนียมอาย

    "ไปชอบเค้าแต่เค้าไม่เอาล่ะสิ" 
    แค่กๆๆๆ ก้างปลาติดคอ 

    "เอางี้อาม่าหาให้มั้ยล่ะ สวยๆ แบบนี้ยังมีหนุ่มที่เค้าอาจจะชอบลื้ออีกเป็นพรวนเลยก็ได้น้า ให้อาม่าหาให้มั้ย?" 

    แค่กๆๆ หยิบน้ำชามากลืนลงคอ นอกจากก้างปลาจะทิ่มคอแล้วอาม่ายังพูดแทงใจและแทงลูกตาเล็กๆ สองข้างของหมวยอีก คือเลเวลการเก็บนกของหมวยนี่ไม่เป็นรองใครนะอาม่า ...เต็มกรง

    แต่หลังจากนั้นทำได้แค่ยิ้มสวยๆ ในใจรู้สึกตงิดๆ มองไปที่ป๊า ป๊ากินปลา มองไปที่ม๊า ม๊าเขี่ยจานเล่น 
    เอาละไงฟระ...


    หลังจากนั้นอาม่า อาเจ็ก อาซ้อ อาแปะ อาอึ้มก็จะพูดอะไรบางอย่างคล้ายกับการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสามเดือนให้เราฟัง แต่ละคนดูเข้ากันได้ดีรายกับนัดกันมาก่อนหน้าว่าต้องพูดอะไรบ้าง

    ส่วนมากก็จะเป็นคำพูดโน้มน้าวให้รีบมีคนดูแล มีลูกมีหลาน แก่เฒ่าไปจะได้มีที่พึ่งพา ไม่ตัวคนเดียว

    แล้วอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนได้ยินแว่วๆ ว่าคู่กันๆ อะไรสักอย่าง ประมาณว่าเข้ากันได้ คู่กัน เหมาะกัน 
    สมพงษ์กัน เอ่อ... ได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย?


    อาม่าเอาดวงของเรากับอีกคนไปดู ปรากฏว่ามันสมพงษ์กัน!!!


    นี่มันยุคเวรี่สปีดอินเตอร์เน็ตแอนด์ไวไฟละไม่ใช่เรอะ 
    ทำไมมันมาในรูปแบบคล้ายๆ กับตอนที่อากงเจออาม่าเลยล่ะ

    หมวยเริ่มโกรธ
    ป๊ากับม๊าไม่แม้แต่จะสบตา

    สุดท้าย หมวยตระกูลนี้ กับตี๋ตระกูลนั้น ก็ถูกทำให้นัดเจอกัน -เน้นความเป็น passive voice โดนกระทำ

    หากสุดท้ายแล้วเด็กทั้งสองฝ่ายจะไม่ยอมให้จับคลุมถุงชนเวอร์ชั่นทูเต๊าซึ่นซิกซ์ทีนแล้วล่ะก็ อะไรๆ มันก็ง่าย ถ้าเด็กทั้งสองฝ่ายต่างไปตามนัดหมายแล้วทำให้มันจบๆ ไป อะไรๆ มันก็ง่าย

    แต่อีกฝ่ายนี่สิ มันเอาจริงว่ะ...

    ปรากฏว่าตี๋จากแดนไกลมันขับรถมาหาทุกอาทิตย์เลยเฟร้ย แล้วทีนี้ยังไงล่ะ ปฏิเสธก็โดนอาม่า อาอึ้ม อาซ้อ อาแปะ อาเจ็ก ก่นด่ากันพอดี ดีไม่ดีพูดมาว่า แก่จะสามสิบยังไม่มีผรัวนี่มันอับอายยยย อาม่ารับม่ายยยล่ายยยยยย ต่อให้ไกลข้ามจังหวัดแค่ไหน ตี๋มันก็ขับรถมาว่ะ

    เอาโน่นเอานี่มาฝากติดไม้ติดมือตัลหลอด
    คิดว่าของฝากจะซื้อใจได้งั้นเรอะ...

    เออ ได้นะเว่ย
    ได้ใจไปทั้งตระกูลเลย 
    ยกเว้นป๊ากับม๊าที่เข้าใจหมวยเป็นอย่างดี

    เห็นรึยังล่ะว่าปัญหาของก่อนการเจอคู่แต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ




    2

    ในที่สุด หมวยก็โพล่งขึ้นกลางที่ประชุมใหญ่ (ห้องนั่งเล่นบ้านอาม่า)


    "ถ้าวันนั้นไม่มีผู้ใหญ่พาอากงมาดูตัวอาม่าตอนอาม่ากำลังล้างจานอยู่ ทุกวันนี้อาม่าก็ไม่ได้แต่งงานกับอากงหรอก เพราะอากงกับอาม่าไม่ได้รักกัน!"

    ตามธรรมเนียมนางเอกละครหลังข่าว เมื่อใดที่เธอตะโกนอะไรสักอย่างใส่หน้าพระเอกไป เสร็จแล้วเธอก็จะต้องหมุนฟูลเทิร์นแบบที่อาเจ็กก็ทำไม่ได้... อาซ้อเหรอ... อย่าหวังเลย

    วิ่งออกไปจากสถานที่แห่งนั้นพร้อมกับท่าปัดน้ำตาเบาๆ ที่น่าสนใจคือ นอกจากน้ำตาที่ไหลจะเป็นน้ำตาเทียมแล้ว กองถ่ายเค้าใช้มาสคาร่าอะไรฟระ ทำไมเช็ดน้ำตาแล้วมันไม่เป็นคราบ ฮึ่ม ! โกรธหนัก หมวยนี่ใช้ของมิสทีน ไม่มีปัญญาซื้อของทอม ฟอร์ด...


    ตื่นค่ะ !

    นี่มันโลกแห่งความเป็นจริงนะลูก ไม่มีที่ให้วิ่งสวยๆ ออกไปหลังจากการระเบิดอารมณ์กลางที่ประชุมใหญ่หรอก นี่มันชีวิตจริง 
    ความจริงก็คือ...

    หมวยมันได้แต่คิด
    หมวยมันได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา สุดท้ายแล้ววันนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการเผยความในใจเหมือนวันสุดท้ายของค่ายรับน้องที่รุ่นพี่จะสะอึกสะอื้นบอกกล่าวว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำเพราะความสะใจแต่ทำเพราะอยากให้น้องๆ รักกัน อะไรเทือกนั้น
    ทุกคนคิดแต่ว่าหมวยกับตี๋ยังคุยกันอยู่




    3

    สามเดือนต่อมา ตี๋มันก็แต่งงาน......

    ไม่ใช่กับหมวยละกัน 
    มันไปแต่งกับลูกสาวร้านเจ๊จือที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ไปเดทกันได้สองอาทิตย์ก็องค์ลง รู้สึกได้เลยว่าเธอใช่ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้ 

    พอเจออะไรที่มันใช่มันก็ไม่ต้องไปเสียเวลามองหาสิ่งอื่นๆ 
    ถ้าคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วคงไม่คลาด

    เนื้อคู่อาจจะเป็นคนที่คุณเมินมันมาเป็นเวลาสามสิบปี ไอ้เด็กที่เอาขี้โคลนป้ายใส่หน้าคุณเพราะคุณมาล้อว่ามันเป็นแฟนกับน้องแว่นอนุบาลสอง 

    คนที่วิ่งสวนกันในโรงเรียนเตรียมอนุบาล 
    คนที่คุณให้คงลงสไลเดอร์ก่อนแล้วเดี๋ยวคุณตามลงไป
    คนที่ต่อแถวซื้ออาหารพักกลางวันข้างหน้าคุณ แถมมาแบบแซงด้วย 

    หรืออาจจะไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย 
    ไม่เคยโคจรรอบกันเลย

    เนื้อคู่อาจจะไม่ต้องตามหาให้ยาก
    พวกเรามักจะหาแต่สิ่งที่ไม่ใช่ให้กับตัวเอง


    เอาเป็นว่า หาไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง ยากอะไร

    อาม่าฟังหมวยนะ ขนาดอาม๊า แม่แท้ๆ ของหมวยเค้ายังไม่เดือดร้อนอะไรเลย เอ๊ย ไม่ใช่ๆๆๆๆๆ

    เอาใหม่ ตอนที่อาม่ากับอากงแต่งงานกันทั้งที่ไม่ได้ศึกษาดูใจกัน เจอกันไม่กี่ครั้ง ถ้าไม่มีกรอบความคิดที่ว่าเด็กต้องทำตามผู้ใหญ่ ผู้หญิงต้องแต่งงานไม่งั้นเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ เดี๋ยวจะหาว่าลูกสาวบ้านนี้ขายไม่ออก อาม่าจะแต่งอยู่ป่ะ?

    เพราะจากการถูกปลูกฝัง ยัดเยียด ทำให้ต้องปฏิบัติตาม จนคิดว่าสิ่งที่ปฏิบัติคือสิ่งที่ถูกต้อง

    ถ้าไม่มีกรอบความคิดนั้น อาม่าจะแต่งปะ? แต่งแบบที่ไม่ได้รักเลยเนี่ยนะ
    แต่งแล้วก็มีลูกด้วยนะ มีลูกให้ทันใช้ตามคำโบราณอีกนะอาม่า 
    อามาต้องมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายที่อาม่าเองก็แทบไม่รู้จักและต้องอยู่กันไปอีกหกสิบเจ็ดสิบปีเลยนะ
    อาม่าจะแต่งอยู่ปะ? 


    แบบ... คืองี้นะ

    ตามหลักความเชื่อทางไสยศาสตร์และศาสตร์มืดแห่งสลิธิรินของหมวยแล้ว หมวยเชื่อแบบนี้ค่ะ

    หมวยเชื่อว่าอาม่ากับอากงเกิดมาเพื่อคู่กัน 

    ถึงจะเจอกันรักกันแบบผู้ใหญ่จัดหาให้ แต่นั่นมันสมัยประมาณหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้แป๊บนึง 
    การเจอกันของคนบนโลกมันก็เป็นไปแบบนั้น 
    แต่ตอนนี้ทูเต๊าซึ่นซิกซ์ทีนแล้วค่ะอาม่า กามเทพแผลงศรต้องติดตามความเป็นไปของดาวโลกนะคะ จะมาอยู่เฉยไม่พัฒนาคิดค้นวิธีใหม่ๆ ไม่ได้นะคะ ต้องทันโลกค่ะ

    วิธีการเจอกันของคนบนโลกต้องเวียร์ดกว่าเดิมค่ะ ต้องเซอร์เรียลค่ะ เช่นบังเอิญไปสโลว์ไลฟ์ที่เชียงรายคนเดียวแล้วเกิดทำไอโฟนหายบนรถสองแถว คนขับมาเห็นก็เลยเก็บได้เลยเอาไปให้ตำรวจ ตำรวจรับแจ้งของหายแต่ลืมทำหน้าที่ตำรวจคือเอาวางไว้เฉยๆ แล้วมีลูกความมาแจ้งของหายเหมือนกัน ดันนึกว่าเจอไอโฟนตัวเองแล้วเลยหยิบกลับเลย ปรากฏว่าหยิบผิดเครื่อง กลับกรุงเทพเอาไปขายต่อ คนรับซื้อเป็นแม่ค้าขายไอโฟนมือสองอยู่ที่ตึกพันทิพย์ ปรากฏว่าน้องสาวของแม่ค้าคือเจ้าของไอโฟน เกิดการสบตากับปิ๊งๆ ประมาณว่าเธอคือเจ้าชายขี่ม้าขาวเอาไอโฟนมาคืนให้ฉัน ก็เลยแลกไลน์ขอเบอร์กันไป เกิดเป็นความรักขึ้นมา แบบนี้เป็นต้น


    หมวยไม่ได้จะบอกว่าอาม่าทำผิดหรือกรอบความคิดมันผิดนะคะ 
    ทุกอย่างเกิดจากความหวังดีของผู้ใหญ่
    แต่เพราะการแต่งงานไม่ใช่ที่สุดของชีวิต คนทุกคนไม่ได้มีความต้องการเหมือนกันค่ะ


    ลองคิดตามหมวยนะคะ หมวยนี่ก็มนุษย์ เราเป็นมนุษย์กันนะอาม่า ไม่ใช่เครื่องผลิตคนที่เกิดมาแล้วต้องมีสามี/ภรรยา เสร็จแล้วพอถึงขั้นตอนการผลิตก็มีผลผลิตเต็มบ้านเต็มเมือง ระหว่างนั้นก็ทำมาค้าขายให้ร่ำให้รวย แบบนี้ใช่มั้ยถึงเรียกว่า "ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ"

    ประเด็นหลักเวลาที่ผู้ใหญ่บอกให้แต่งงาน มักจะมีอยู่สองหัวข้อใหญ่ๆ คือ 1. จะได้มีคนดูแล มีคนอยู่ด้วยกันยามแก่เฒ่า 2. จะได้มีลูกมีหลาน 

    - ขอพูดถึงนิดนึงเรื่อง homosexual ด้วยละกัน หลายคนผิดหวังคนมีชื่อเสียงที่เปิดตัวว่าเป็น homosexual ผิดหวังในความหล่อของคนๆ นั้นและผิดหวังที่เกิดมาเป็นผู้ชายทำไมไม่หาภรรยาจะได้มีลูกมีหลานให้ชื่นชม ใช้คำว่าผิดหวังในตัวคุณอะไรแบบนี้ เห็นแล้วก็น่าผิดหวังนะคะที่คิดได้แค่ว่าชีวิตนี้เกิดมาต้องหาคู่มาผลิตลูก ถ้าคิดว่าเกิดมาแล้วต้องใช้ชีวิตตามกระบวนการนี้ถึงจะประสบความสำเร็จในการเกิดมาเป็นคน ก็น่าเศร้าที่ยังมีคนคิดแบบนี้อยู่อีกเยอะมากๆ ไม่ว่าจะ homosexual, heterosexual, bisexual, pansexual และอาจจะมีอื่นๆ อีกที่ยังพูดไม่ครอบคลุม ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องเกิดมาแล้วแต่งงาน แต่ทุกคนควรเกิดมาแล้วได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ไม่ถูกกรอบความคิดครอบงำ นั่นคือชีวิตที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราค่ะ-




    4

    หัวใจมันเรียกร้องอะไรก็ทำตามมันเรียกร้องนั่นแหละ

    จะตะโกนบอกรัก จะเที่ยวรอบโลกปีนึงหลังเรียนจบ จะออกจากงานออฟฟิศมาทำฟรีแลนซ์อยู่บ้าน จะแต่งหน้าแนวกรันจ์ แต่งตัวแบบยิปซี จะเริ่มต้นถ่ายหนังด้วยไอโฟนห้าเอสเหมือน tangerine จะเป็น start up ยุคใหม่ไม่สนใจกู้แบงค์ หรืออะไรก็ตามที่อยากจะทำและไม่เดือดร้อนใคร ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วย

    นั่นแหละ ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

    ไม่มีแฟนตอนอายุสามสิบก็แล้วไงอะ? ทำไมต้องรีบหาเพื่อให้ได้เจ้าบ่าว จะมีความรักตอนสี่สิบห้ากับหนุ่มใหญ่วัยหกสิบตอนไปเที่ยวน้ำตกไนแองการ่าแล้วกลับมาแต่งงานที่ไทย ก็ไม่มีใครบอกว่าทำไม่ได้ 

    ก็ในเมื่อความรักมันมาตอนสี่สิบห้า ก็ให้มันเป็นไปในแบบที่คนอายุสี่สิบห้ามีความรักนี่แหละ




    5

    "หากว่าลื้อไม่ได้แต่งงาน..."
    อาม่าเปรยขึ้นบนโต๊ะอาหารที่วันนี้มีเพียงพวกเราที่คุ้นเคยกันดี

    "เดี๋ยวช่วงสงกรานต์หยุดยาว..." 
    "เราจัดทริปไปเที่ยวสเปน-โปรตุเกสกันดีมั้ย? หมวย... ลื้ออยากไปไม่ใช่เหรอ อาม่าเห็นลื้อแชร์ในเฟสบุ๊ค"


    ความตะลึงลุกวาวของดวงตาทั้งสิบกว่าคู่ลุกโชติช่วงชัชวาลย์ เมื่อแกนนำเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว มีหรือพวกเราจะนิ่งนอนใจ รีบเข้าเพจเพื่อนบอกโปรรัวๆ 


    "วันๆ ลื้อแชร์แต่กระทู้พันทิปไปท่งไปเที่ยวน้าอาหมวยน้า... สามสิบวันในไทเป สองอาทิตย์ในฮานอย ไปมอนแจ่มด้วยเงินเพียงยี่สิบบาท อะไรพวกนี้นี่..."

    แล้วอาม่าก็กล่าวถึงความเป็นไปของสังคมไทยในมุมมองของผู้หญิงที่เคยผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมา 

    จะว่าไปแล้วหมวยอาจจะไปเจอโอป้าที่บาร์เซโลน่าก็ได้เนอะ
    หุหุหุหุหุหุหุหุ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in