เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lilith: Death's OrderAki_Kaze
บทที่ 4 โชคชะตาเล่นตลก
  • บทที่ 4

    โชคชะตาเล่นตลก

     

                ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหายไปนานแค่ไหนแล้ว มีใครสังเกตยังว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพนักงานใหม่ มีใครพยายามตามหาฉันหรือเปล่า แม่โทรมาหรือส่งข้อความมาไหม


                กาลเวลาไม่มีอยู่จริงในเจอริโก้ ท้องฟ้าก็เสมือนยามโพล้เพล้ตลอดเวลา มันช่างสวยงามแต่ก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน ลองนึกภาพคนที่ต้องมองดูท้องฟ้าเดิม ๆ วิวเดิม ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลางวัน กลางคืน หรือเวลาไหนก็ตาม คงต้องทำให้คนเป็นบ้าแน่ ๆ ฉันคงเป็นบ้าแน่นอน ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันที่ฝั่งคนเป็น


                เราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเจอริโก้จนกว่าจะมีวิญญาณให้ไปรับ ถึงตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่า พวกเรา เหล่ายมทูต อาจเป็นนักโทษของเดธก็เป็นได้


                “ร่าเริงหน่อย ลิลิธ เรามีงานต้องทำ” ออกัสมาตามฉันที่ม้าหมุน


                ฉันดีดตัวลงจากม้าปลอม ตื่นเต้นที่จะได้ไปฝั่งคนเป็น ออกัสยังไม่ยอมให้ฉันบลิงก์ด้วยตัวเอง ฉันจึงต้องเดินทางไปพร้อมกับเขา เขาเล่า และฉันอ้างอิง “ฉันไม่อยากให้เธอหลุดไปอื่นแล้วฉันต้องเสียเวลาตามหา”ดูเหมือนว่าไม่กี่ปีก่อนมีเด็กใหม่เชื่อว่าตัวเองบรรลุการบลิงก์ เลยไม่สนใจคำเตือนของผู้ดูแล สุดท้ายเลยไปโผล่อีกฝั่งของโลก รายล้อมไปด้วยแพนกวิน


                ฉันจดจำคำเตือนของเขาฝังใจ เพราะไม่อยากหลุดไปที่ไหนก็ไม่รู้


                เรามาถึงสะพานแมนฮัตตันที่มีชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางสะพาน สายตาของเขาทอดมองไปยังแม่น้ำเบื้องล่าง


                “เขาคงไม่กระโดดใช่ไหม”


                “เปล่า คงไม่ใช่ที่นี่ เห็นไหมว่ามันมีรั้วกั้น”


                “แล้วทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”


                “บางครั้งเราก็ได้ชื่อมาก่อนเวลา อาจเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนก็ได้ เราแค่คอยสังเกตการณ์พวกเขา”


                “เพื่ออะไรกันล่ะ” ฉันพลั้งปากพูดไป


    “นั่นสิ เพื่ออะไรกัน”


    ขณะที่ออกัสให้ความสนใจกับชายคนนั้น ฉันก็มองไปสุดปลายสะพานแล้วหวนนึกถึงวันแรกที่นิวยอร์ก ฉันเคยเดินใต้สะพานแห่งนี้ ถึงจะมองไม่เห็นอพาร์ตเมนต์ตัวเอง แต่ฉันก็รู้ว่าอยู่ใกล้ ๆ


    มีบางอย่างเกิดขึ้นใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ ตำรวจต่างกั้นพื้นที่ไม่ให้คนนอกเขา ขณะที่เรือของตำรวจกำลังลาดตระเวนพื้นที่ พวกเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง และฉันรู้ทันทีว่าพวกเขาจะเจออะไร


    ฉันบลิงก์ลงไปที่นั่น เห็นชายคนหนึ่งกำลังให้ปากคำกับตำรวจ


    “เรากำลังจัดสถานที่สำหรับงานคืนนี้ ตอนนั้นผมก็เห็นอะไรขาว ๆ ลอยอยู่บนน้ำ ผมไม่แน่ใจ เลยไปหาจิมมี่ เขามีกล้องส่องนกติดตัวมาเสมอ เราเห็นพ้องว่ามันคล้ายร่างมนุษย์ อีกอย่างผมจำได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วเคยมีคนพบศพในแม่น้ำใกล้สะพานบรูคลิน ตอนนั้นผมหวาดกลัวมาก ใครจะคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายพบศพบ้าง ผมหวังว่าผมจะเข้าใจผิด”


    เขาเข้าใจถูกแล้ว และฉันทราบดี


    ตอนที่เรือของตำรวจแล่นกลับมาที่ฝั่งพร้อมอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่ในห่อผ้าสีขาวสกปรกและมีเชือกมัด พวกคนมุงต่างก็ตื่นตะลึงกันยกใหญ่ บางคนถึงกับหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกเหตุการณ์จากด้านนอกเส้นกั้นของตำรวจ


    ผู้ดูแลคดีคือสายสืบเอียน คาร์ฮาร์ต เขาเป็นชายวัยสามสิบปลาย ๆ มีผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีน้ำตาล สายตาดุดันประหนึ่งเสือเพราะเขาจ้องสิ่งที่ค้นพบเขม็ง เขาเดินไปข้าง ๆ ก่อนหยิบมือถือขึ้นมาบันทึกภาพ ทั้งรูปร่าง ทั้งเงื่อนและเชือก ก่อนจะบอกนายตำรวจให้แกะเชือก


    “หวังว่าจะเข้าใจผิดนะ”


    “เรียกหน่วยพิสูจน์หลักฐาน” สายสืบคาร์ฮาร์ตสั่งตำรวจในเครื่องแบบก่อนที่จะเห็นศพด้วยซ้ำ เขาก็ด้วยที่รู้ดีว่าจะพบกับสิ่งใด แม้จะสวนทางกับความต้องการของตำรวจนายนั้นก็ตาม”


    ฉันยืนข้าง ๆ สายสืบที่ย่อตัวลงเพื่อสำรวจศพใกล้ ๆ สิ่งที่เห็นเป็นภาพที่ไม่คุ้นตา ทั้งที่ฉันส่องกระจกเห็นตัวเองเป็นประจำ ศพเริ่มเน่าแล้ว และบางส่วนของผิวหนัง ที่ฉันไม่รู้ว่าจากตรงไหน เหนียวติดอยู่กับผ้า ผิวของฉันเปลี่ยนสีจนได้แต่หวังว่าแม่จะไม่ต้องเห็นฉันในสภาพนี้ เธอคงใจสลายเป็นแน่


    หน่วยพิสูจน์หลักฐานเดินทางมาถึงและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ทั้งถ่ายภาพศพของฉันและบาดแผล พยาธิแพทย์ยังไม่สามารถระบุเวลาและสาเหตุการตายของฉันได้จนกว่าจะชันสูตร


    พวกเขาพยายามหาชื่อของฉัน แต่กระเป๋าสะพายไม่อยู่ที่ศพ ฉันจำไม่ได้ว่าข้าวของของฉันไปไหน


    “มีบัตรอยู่ในกระเป๋ากางเกง” พยาธิแพทย์เอ่ยพร้อมส่งบัตรประจำตัวให้สายสืบคาร์ฮาร์ต


    “ลิลิเบธ ม. แลงดอน นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน บริษัท ไคลเมอร์ – แคนนอน จำกัด” เขาอ่านบัตรพนักงานของฉัน “ใครทำแบบนี้กับคุณ”


    ฉันอยากให้เขาเห็นฉัน ได้ยินฉัน ฉันจะได้สาธยายลักษณะของผู้ชายคนนั้นให้ฟัง ใบหน้าที่ฉันไม่มีวันลืม ใบหน้าที่ปะปนไปกับฝูงชน


    ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองเห็นผี แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อคนที่ตายคือฉัน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่คนชั่วนั่น เขากล้านักที่มาอยู่ที่นี่ ฉันอยากจะตะโกนบอกทุกคนว่าคนที่พวกเขาตามหาสวมเสื้อคอกลมสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีซีด กำลังยืนอยู่หลังเส้นกั้นของตำรวจ บางทีเขาอาจกำลังหัวเราะเยาะสายสืบที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ก็เป็นได้


    ฆาตกรเดินออกไปยังลานจอดรถ ฉันไม่พลาดที่จะใช้โอกาสนี้ตามเขาไป ฉันออกวิ่ง แต่เขากลับเข้าไปในรถเสียก่อน ฉันตั้งสมาธิ แต่กลับไม่สามารถบลิงก์ได้ รถของเขายิ่งห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และฉันก็ได้แต่วิ่งและวิ่ง ไม่หยุดรอสัญญาณไฟในเมื่อฉันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แล้ว


    “ทำอะไรของเธอ”


    ออกัสปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า คว้าแขนของฉันไม่ให้ไปไหน


    “ปล่อยนะ!” ฉันตะโกน มองท้ายรถยนต์คันนั้นห่างไกลออกไปจนลับสายตา “ไม่นะ ม่ายยย!!!


                สัญญาณไฟจราจรในละแวกนั้นกะพริบครู่หนึ่งก่อนจะดับสนิท ส่งผลให้ท้องถนนเกิดความโกลาหลขึ้นทันที ออกัสแสดงสีหน้าตกใจก่อนจะตั้งสติแล้วโบกมือไปกลางอากาศ เรียกไฟให้กลับคืนมาตามปกติ


                “เธอตั้งใจจะทำอะไร”


                แขนของฉันเจ็บจากแรงบีบ ฉันนึกว่ายมทูตจะมีความรู้สึกเจ็บปวดทางร่างกายเสียอีก ฉันคิดผิดถนัด ยมทูตจับต้องกันและกันได้ ทั้งยังทำร้ายกันได้อีกด้วย


                “ไม่ฟังที่ฉันพูดหรือไง” เขาโมโหจนแทบสบถใส่ได้อยู่แล้ว “คิดว่าตัวเองเป็นอมตะหรือไง คิดว่าพวกนั้นทำร้ายเธอไม่ได้เหรอ”


                เขาไม่เคยอธิบายว่า พวกนั้นเป็นใคร


                “คุณทำฉันเจ็บ”


                ออกัสปล่อยแขนฉันทันที ฉันลูบแขนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด


                “เขาเจอฉันแล้ว” ฉันพูด “ตำรวจเจอศพฉันแล้ว”


                แน่ล่ะ ว่าออกัสจะไม่แสดงความเห็นใจใด ๆ ออกมา ฉันควรรู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาไม่สนใจคนเป็น หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหลังความตาย เขาสนใจแค่งานของตัวเอง ตอนอยู่เจอริโก้เขาดูมีชีวิตชีวา แต่ตอนอยู่ที่นี่ เขาเหมือนคนไร้หัวใจ ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ฉันไม่กล้าพอที่จะถาม


                “ฉันขอโทษ”


                ในตอนนั้นฉันพูดได้แค่นั้น แม้ในใจจะอยากตามหาฆาตกรและติดตามการสืบสวนก็ตาม พวกเขาจะติดต่อครอบครัวของฉันเพื่อมายืนยันอัตลักษณ์ พวกเขาจะต้องเห็นฉัน ตัวฉัน’ ที่แม้แต่ตัวเองยังจำไม่ได้


                เรากลับไปทำงานต่อ ออกัสพาฉันมาที่ห้องนั่งเล่นในบ้านสองชั้น ชายจากบนสะพานกำลังนั่งดื่มอยู่บนโซฟา บนพื้นเต็มไปด้วยขยะ ทั้งขวดเหล้า กล่องพิซซ่าเปล่า ๆ และเศษกระดาษยับยู่ยี่ บ้านหลังนี้มีพื้นที่มากกว่าบ้านฉันที่วิสคอนซินเสียอีก เขาคงไม่ได้อาศัยอยู่ตามลำพังหรอกใช่ไหม ภาพถ่ายของเขากับผู้หญิงและเด็กอีกสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ตั้งอยู่บนชั้นวางโทรทัศน์ บ่งบอกว่าเขามีครอบครัว ถึงอย่างนั้นบ้านกลับเงียบสงบเกินไป


    “พบกับเอ็ดเวิร์ด รีแกน อายุ 46 ปี ว่างงาน ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากที่ภรรยาพาลูก ๆ หนีออกจากบ้าน เขาดื่มเหล้าจัดและเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย”


    “นั่นเป็นสาเหตุการตายของเขาเหรอ การฆ่าตัวตาย”


    “ถ้าเป็นแบบนั้นเราคงไม่มาอยู่ที่นี่” ออกัสไม่ได้อธิบายต่อ เขามองชายคนนั้นที่กำลังทำร้ายตัวเองด้วยแอลกอฮอล์


    ฉันอดใจไม่ให้ถามออกไปว่ายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน แล้วหันไปสำรวจบ้านของเขาแทนเพื่อให้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน จะได้เลิกคิดเรื่องศพของตัวเองและการสืบสวน


    ฉันเดินเข้าครัว เห็นอ่างล้างจานเต็มไปด้วยกองจานสกปรก และเศษอาหารเหลือ ฉันเกือบเปิดตู้เย็นแต่นึกได้ว่าไม่ควรทำ ถ้าไม่อยากให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติขึ้น


    ถ้าเขาไม่ได้ฆ่าตัวตายก็คงตายเพราะบ้านสกปรกนี่แหละ


    “เขาต้องการความช่วยเหลือ” ฉันพูด


    “ไม่มีใครช่วยเขาได้”


    น่าแปลกที่คำพูดของออกัสทำให้ฉันยิ่งสงสัย ฉันอยากถามต่อแต่เอ็ดเวิร์ดก็ลุกขึ้นจากโซฟา ดึงความสนใจของฉันออกจากบทสนทนา เขาเดินโซซัดโซเซมาที่ครัวพร้อมขวดเหล้าในมือ ก่อนจะหยุดลงข้างฉัน เขากระแทกขวดเหล้าลงบนเคาน์เตอร์ มืออันสั่นเทิ้มยื่นไปหาด้ามมีดที่เสียบอยู่ในกล่องไม้


    เอ็ดเวิร์ดมองเงาสะท้อนของตัวเองบนใบมีด ดวงตาสีน้ำตาลจ้องกลับไปหาเขา ฉันอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงพึมพำของเขา อะไรก็ตามที่เขาเห็นเปลี่ยนความคิดของเขา เขาวางมีดลงแล้วเริ่มร้องไห้


    “เรายังต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน” ฉันถามออกัส


    “ใกล้แล้ว”


    ฉันสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุการตายของเขา เอ็ดเวิร์ดไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะทำร้ายตัวเองได้ เขาไม่อยากทำแบบนั้นแม้ว่าเขาจะดื่มหนักมากแค่ไหนก็ตาม ลึก ๆ แล้ว เขายังปกป้องตัวเอง หลังจากร้องไห้อยู่นาน เอ็ดเวิร์ดก็หลบคาพื้นห้องครัว


    ตอนที่ออกัสบอกว่าใกล้แล้ว มันไม่ใช่ห้านาที สิบนาที หรือยี่สิบนาที แต่เป็นสี่ชั่วโมงต่อมา หลังจากเอ็ดเวิร์ดรู้สึกตัวตื่น เขาค่อย ๆ ลุกขึ้น ค่อย ๆ เดินผ่านห้องนั่งเล่นไปยังห้องน้ำ ฉันไม่เคยเมาค้างมาก่อนเลยไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง แต่ฉันก็เห็นแล้วว่ามันชวนให้รู้สึกแย่เอามาก ๆ


    เอ็ดเวิร์ดล้างหน้า ดวงตาสีน้ำตาลของเขาค้นหาตัวตนในกระจก แต่เขาหาไม่พบ และชกกระจกอย่างแรง ทว่ามันไม่แรงพอที่จะแตก เขากำหมัดแน่นพร้อมกัดฟันกรอด ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม มันยากที่จะแยกออกว่าเสียงที่ได้ยินจากเขามาจากความโกรธหรือเศร้ากันแน่


    มันทำให้ฉันนึกถึงวันฝนตกวันหนึ่งที่ฉันเจอสุนัขบาดเจ็บข้างทาง ในตอนนั้นฉันอายุเก้าขวบและกำลังเดินทางออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน ฉันพยายามอุ้มสุนัขเพื่อพามันไปโรงพยาบาล แต่ฉันตัวเล็กเกินไป และสุนัขก็ตัวใหญ่มาก ตาสีดำของมันร้องขอความช่วยเหลือจากฉัน เสียงสะอื้นทำเอาน้ำตาคลอหน่วง ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากขอโทษ ฉันทิ้งร่มให้เขา ปกป้องเขาจากสายฝน จากสิ่งที่เห็นในวันนั้นทำให้ฉันไม่เคยขอแม่เลี้ยงสัตว์เลย


    เอ็ดเวิร์ดเดินกลับไปที่ครัว เขาเปิดตู้เย็นแต่ไม่พบอาหารที่กินได้ เขาจึงหยิบกระเป๋าสตางค์และกุญแจบ้านจากเคาน์เตอร์แล้วเดินออกไป


    ออกัสกับฉันตามเขาไปถึงร้านสะดวกซื้อท้ายถนน เขาหยิบตะกร้าและคว้าอาหารสำเร็จรูปมากมายพร้อมเบียร์แพ็คหกกระป๋อง มันน่าตกใจมากที่กระเป๋าสตางค์ของเขาเต็มไปด้วยธนบัตรมากมาย เขาใช้เวลาน้อยกว่าห้านาทีในการซื้อของจนเสร็จ


    ขากลับคือตอนที่มันเกิดขึ้น ชายตัวผอมซูบพร้อมมีดในมือหยุดเอ็ดเวิร์ดเพียงไม่กี่เมตรก่อนถึงบ้านเพื่อไถ่เงิน มือของเขาสั่น ม่านตาขยายกว้าง ขณะที่เอ็ดเวิร์ดสงบสติอารมณ์ได้ดีมาก และหยิบเงินทอนที่เพิ่งได้มาส่งให้โจร


    “ไม่!มันไม่พอ” เขาพูด “แกมีเยอะกว่านี้ ฉันรู้ว่าแกมีเยอะกว่านี้ เอากระเป๋าเงินมา”


    “ฉันมีแค่นั้น” เอ็ดเวิร์ดว่า


    “แกโกหก!หยุดโกหกไม่งั้นแทงแกแน่!


    ไม่ว่าตอนนั้นเอ็ดเวิร์ดคิดอะไรอยู่ เขาคิดผิด หลงเชื่อว่าตัวเองเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ ทั้งที่ผู้ควบคุมที่แท้จริงคือสารที่โจรคนนั้นเสพไปต่างหาก


    เมื่อเอ็ดเวิร์ดไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็โดนแทงสองจุด หนึ่งครั้งที่ท้อง หนึ่งครั้งที่อก โจรเอาเงินไปหมดแล้วทิ้งกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างตัวเอ็ดเวิร์ด ก่อนเดินจากไป


    เพียงเท่านั้น วิญญาณของเอ็ดเวิร์ดก็ปรากฏตัวขึ้นระหว่างออกัสกับฉัน


    “น...นี่มัน...ทำไม...ฉันหมายถึง...ฉันตายแล้วเหรอ ฉันตายไม่ได้” เอ็ดเวิร์ดมองร่างตัวเองก่อนจะส่ายศีรษะไปมา “ไม่ นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันกำลังฝันไป มันต้องเป็นความฝัน ฉันต้องเห็นหน้าเดซี่กับบิลลี่ ฉันบอกตัวเองแบบนั้นทุกครั้งที่อยู่บนสะพานหรือกำลังถือมีด ฉันต้องเจอพวกเขา ไม่นะ ฉันต้องเจอพวกเขา ฉันต้อง...”


    เอ็ดเวิร์ดพร่ำประโยคเดิม ๆ กับตัวเอง ออกัสแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นและต้องทำอย่างไรต่อ วิญญาณยังคงปฏิเสธความเป็นจริงขณะถูกลากตัวโดยออกัส เดินเข้าไปในกลุ่มควันสีดำ


    เอ็ดเวิร์ดอยากมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเขาจะพยายามทำร้ายตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง เขาไม่เคยคิดที่จะลงมือจริง ๆ


    ชีวิตมันไม่แฟร์กับใครทั้งนั้น


    ตอนที่ออกัสกับฉันกลับมาถึงเจอริโก้ ฉันอยากเดินไปที่ทะเลสาบ นั่งอยู่ตรงนั้น แล้วปล่อยทุกอย่างไว้เบื้องหลัง มันมีหลายอย่างให้ต้องตริตรอง หลายความคิดที่ทำเอาปวดหัว ถึงอย่างนั้นยมทูตไม่มีวันพัก เมื่อไรที่มีชื่อปรากฏ พวกเขาต้องไปรับดวงวิญญาณ


    ฉันแบมือซ้ายออก และพบกับเศษกระดาษระบุชื่อ วันที่ ที่อยู่ และสาเหตุการตาย


    ชื่อแรกของฉัน วิญญาณแรกของฉัน ความผิดพลาดแรกของฉัน



    ---------------------------------------------------


    สวัสดีค่า Aki_Kaze ค่ะ


    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณทุกคอมเมนต์และกำลังใจมาก ๆ ค่ะอย่างที่ได้บอกไปว่าเรื่องนี้แปลมาจากโปรเจ็กต์ปริญญาโทของออยล์ และมีคนสนใจอยากลองอ่านเวอร์ชันภาษาอังกฤษ ออยล์เลยจะลงให้อ่านกันนะคะ แต่เวอร์ชันอังกฤษจะมีแค่ 8 ตอนเท่านั้น โดยจะอัปให้ทุกวันศุกร์ (เริ่มพรุ่งนี้) เวลา 1 ทุ่มตรง ทาง Minimore นะคะ


    ขอบคุณทุกท่านมากค่า

    Aki_Kaze

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in