เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lilith: Death's OrderAki_Kaze
บทที่ 10 ไม่มีที่สำหรับคนตายในโลกคนเป็น
  •  บทที่ 10

    ไม่มีที่สำหรับคนตายในโลกคนเป็น

     

    นับตั้งแต่เหตุการณ์ของโอมาร์ ทั้งฉันและออกัสก็ไม่ได้รับชื่อจากเดธอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต แต่นั่นหมายถึงฉันจะไปไหนไม่ได้นอกจากติดอยู่ในเจอริโก้ ห้องสมุดกลายเป็นสถานที่โปรดในการฆ่าเวลาของฉัน ทว่าฉันกลับไม่ค่อยได้เห็นออกัสในนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขารังเกียจที่ฉันล่วงรู้ถึงสถานที่ลับแห่งนี้เข้า หรือมีเหตุผลอย่างอื่นกันแน่ มันยากที่จะเข้าใจความคิดของเขาแม้เราจะรู้จักกันมาหลายเดือนแล้วก็ตาม เขาไม่ค่อยพูดคุยกับฉันนอกเวลางาน


    “พี่ก็แค่คิดมาก” แมนดี้พูดขึ้น หลังจากที่ฉันปรึกษาเรื่องนี้กับเธอ “กัสไม่ค่อยสุงสิงกับใครอยู่แล้ว แม้ว่าจริง ๆ เขาจะเป็นคนอัธยาศัยดีก็ตาม”


    “อัธยาศัยดี...” ฉันพยายามคิดภาพตาม แต่น้อยครั้งนักที่ฉันกับออกัสจะเห็นพ้องต้องกัน เขาเอาแต่ห้ามปรามฉันด้วยซ้ำ “ฉันนึกว่าเธอจะโกรธที่เขามองเธอเป็นเด็กเสียอีก”


    “เขาก็ขี้แกล้งแบบนั้นเป็นประจำ”


    “เขาดูรู้จักคนไปทั่ว แต่เหมือนไม่มีใครรู้จักเขาดีสักคน”


    ฉันทอดสายตามองท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง ที่เห็นเป็นประจำทุกวี่ทุกวันนับตั้งแต่อยู่ที่เจอริโก้


    “ที่พี่พูดมาก็ถูก ฉันรู้จักเขามานานแต่ก็ไม่เคยรู้เรื่องในอดีตของเขาเลย ไม่ค่อยมีใครอยากพูดถึงเรื่องสมัยที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่เท่าไรน่ะ”


    ฉันมองหน้าแมนดี้ ลังเลที่จะถามถึงอดีตของเธอ คำพูดและน้ำเสียงของเธอก็เป็นการบอกกลาย ๆ แล้วว่าไม่อยากพูดถึง ขณะที่ฉัน ผู้ที่ถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็นกลับโหยหาความยุติธรรมที่ไม่มีใครมอบให้ได้ ฉันเองก็อยากเลิกนึกถึงตัวเองสมัยยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ทำไม่ได้ ใครจะทำแบบนั้นได้ลง


    “ฉันไปก่อนนะพี่ แล้วเจอกัน” 


    แมนดี้ส่งยิ้มให้ แล้วเดินไปหาเด็กซ์ ยมทูตหนุ่มที่ดูจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ อีกฝ่ายเพิ่งมาที่เจอริโก้ได้ไม่นาน และเข้ากับแมนดี้ได้เป็นอย่างดี มันอาจเป็นเรื่องดีที่เธอได้รู้จักคนรุ่นใกล้เคียงกัน แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนแย่งเพื่อนไป


    สองคนนั้นเดินคุยกันอย่างสนิทสนมไปตลอดทางจนลับสายตา มันทำให้ฉันนึกถึงแกรี่ขึ้นมา จะเป็นอย่างไรถ้าหากฉันไม่ตาย เราจะสนิทกันไหม ฉันกับแกรี่จะมีโอกาสหรือเปล่า ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะได้รู้จักความรักแล้วแท้ ๆ แต่กลับถูกคนสารเลวพรากมันไป


    ฉันเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นอีกครั้ง สีแดงอมส้มที่ขอบฟ้า แสดงอารมณ์ความรู้สึกของฉันได้เป็นอย่างดี


     

    ฉันดีใจมากตอนที่ออกัสเดินมาบอกว่าเรามีงานต้องทำ ฉันรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมที่จะแสดงอาการดีใจ แต่ฉันติดแหง็กในเจอริโก้มายาวนานจนไม่รู้วันเดือนปี การได้กลับไปยังโลกคนเป็นคงทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น


    ออกัสไม่ได้บอกว่าเป้าหมายของพวกเราเป็นใคร เขาพาฉันมาที่ถนนฟิฟท์ อเวนิว มันเป็นตอนเช้าที่ถนนพลุกพล่านและคนกำลังเดินทางไปทำงาน สองข้างทางเริ่มมีไฟประดับ ร้านค้าตกแต่งด้วยโทนสีแดงเขียว มันทำให้ฉันรู้ว่าคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา เสียงบีบแตรและเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากทุกสารทิศ หากเป็นยามปกติฉันคงหนวกหู รำคาญมากเป็นแน่ แต่ฉันในตอนนี้ต้องการความวุ่นวายเช่นนี้เสียเหลือเกิน อย่างน้อยมันทำให้ฉันสัมผัสถึงความมีชีวิตชีวา ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบเจอริโก้ แต่โลกคนเป็นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างจากแสง สี เสียง ปลอม ๆ ของเจอริโก้


    “เราจะไปไหนกัน” ฉันถาม เมื่อออกัสยังคงพาเดินไปตามทาง ปะปนไปกับผู้คน ฉันค่อย ๆ คุ้นชินกับการที่มีคนเดินทะลุตัว เพราะถ้าต้องคอยหลบคงไม่ต่างอะไรกับการเรียนเต้นรำแน่


    “ใกล้แล้ว” เขาตอบแค่นั้น


    ฉันสัมผัสได้ถึงความเย็นชาจากออกัสตั้งแต่ตอนที่เราออกจากสถานีตำรวจในคราวนั้น ทั้งที่วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาแสดงความเห็นใจต่อมนุษย์ และคิดว่าเราเข้าใจกับมากขึ้นไปอีกขึ้น ทว่าการที่เขาไม่คุยกับฉันนอกเวลางานคงบอกได้ดีว่าเราไม่ได้คิดตรงกัน


    จู่ ๆ ออกัสก็หยุดเดินที่หน้าร้านขายหนังสือ สีหน้าของเขาแสดงความตกใจออกมาครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะกลายเป็นสีหน้าที่ยากต่อการอธิบายความรู้สึก มันเป็นไปได้ไหมที่คนเราจะสามารถดีใจและอยากร้องไห้ในเวลาเดียวกัน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ฉันเห็นจากใบหน้าของออกัส


    ฉันมองตามสายตาของเขาไปยังกองหนังสือตั้งโชว์หน้าร้าน แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้อ่านชื่อเรื่องหรือผู้แต่ง เสียงรถชนก็ดึงดูดความสนใจของฉันไปยังสี่แยกตรงหน้า


    รถยนต์สีเงินพุ่งเข้าชนด้านข้างของรถยนต์สีน้ำเงินเข้มจนยุบ คนขับรถคนนั้นหมดสติไป ขณะที่คนชนได้แต่นั่งตกใจอยู่ในรถ เพียงไม่กี่นาทีต่อมาหน่วยกู้ภัยก็เดินทางมาถึงและนำตัวชายเจ้าของรถสีน้ำเงินออกจากรถ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล ออกัสกับฉันตามขึ้นรถไปด้วย โดยมีหน่วยกู้ภัยพยายามช่วยชีวิตผู้ชายคนนี้


    ไม่อยากเชื่อเลยว่าเมื่อครู่ทุกอย่างยังเป็นปกติดี แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ผู้ชายคนนี้คงไม่รอด ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มาอยู่ที่นี่


    ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็รีบเข็นร่างชายคนนั้นเข้าห้องผ่าตัด ออกัสกับฉันยืนรออยู่ด้านนอก เฝ้ามองความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในแผนกฉุกเฉิน คนไข้คนอื่น ๆ กำลังนั่งรอคิวเพื่อรอเข้ารับการรักษา


    “เป็นอะไรมากหรือเปล่า”


    เสียงอันคุ้นหูทำให้ฉันต้องหันมอง แกรี่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางฉัน การพบปะอย่างไม่คาดคิดทำเอาฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาในร้านเจอร์รี ทว่าตอนที่เขาเดินทะลุตัวฉันไปได้ตอกย้ำถึงความเป็นจริง


    แกรี่เดินตรงไปยังผู้หญิงผมยาวประบ่าที่กำลังนั่งรออยู่ เธอมีใบหน้าเรียว ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาสีน้ำตาลของเธอเปล่งประกายเมื่อเจอเขา ริมฝีปากสีนู้ดคลี่ยิ้มบาง ที่ข้อเท้าขวาของเธอสวมใส่ผ้ารัดข้อเท้า


    “ฉันรีบมากไปหน่อยเลยตกบันไดตอนลงสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ไม่เป็นอะไรมาก ขอโทษนะที่ต้องให้มา เธอต้องไปทำงานแท้ ๆ”


    “ไม่เป็นไรหรอก เมื่อคืนเลิกดึกวันนี้เลยตั้งใจจะเข้าสาย เดินไหวไหม”


    พอได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของแกรี่ ฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างบีบรัดอยู่ในอก เขาค่อย ๆ ประคับประคองเธอเดินออกจากแผนกฉุกเฉิน ความห่วงใยอัดแน่นอยู่ในทุกการกระทำจนรับรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนสำคัญ


    สามเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่ฉันตาย ไม่แปลกหากเขาจะเจอคนรู้ใจ ฉันคงไม่มีโอกาสตั้งแต่แรก


    ฉันไม่ควรรู้สึกอะไรแท้ ๆ แต่ผู้หญิงที่ยืนเคียงข้างแกรี่ควรเป็นฉัน ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายสูญเสียอยู่แบบนี้ สองคนนั้นเดินออกจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว แต่ฉันก็ยังทอดสายตามองออกไปด้านนอกด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะมีโอกาสกับผู้ชายคนนั้น


    “เกิดอะไรขึ้นกับสามีของดิฉันคะ”


    ผู้หญิงวัยสี่สิบคนหนึ่ง ปรี่เข้าไปหาเคาน์เตอร์พยาบาล เธอคือภรรยาของเป้าหมายของพวกเรา และนั่นทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังทำงานอยู่ ฉันหันไปทางออกัส แต่เขากำลังจมปลักอยู่ในห้วงความคิด เขาเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ตอนที่เรานั่งอยู่ในรถของหน่วยกู้ภัย มีบางอย่างรบกวนจิตใจของเขาอยู่ ฉันจึงไม่ได้พูดอะไร


    ตอนที่เจ้าหน้าที่พาร่างของคุณลีออกจากห้องผ่าตัด เขายังมีชีวิตอยู่ ภรรยาของเขาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้อง ICU พูดคุยกับเขา แม้เขาจะไม่ได้ยิน และสองชั่วโมงต่อมา วิญญาณของคุณลีก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเรา


    “ที่รัก ที่รัก ผมอยู่ตรงนี้” เขาเรียกภรรยา แต่เธอกำลังร้องห่มร้องไห้ให้กับร่างไร้วิญญาณของสามี “คุณหันมาสิผมอยู่ตรงนี้”


    “เธอไม่ได้ยินคุณหรอกค่ะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อออกัสยังคงเงียบ เสียงของฉันคงทำให้เขาหลุดจากภวังค์และหันไปคุยกับคุณลี 


    ไม่ว่าใครก็ไม่อยากแยกจากคนรักไปทั้งนั้น คุณลีร้องไห้ ทว่าไร้ซึ่งน้ำตา นั่นยิ่งทำให้เขาหัวเสียมากขึ้นไปอีก เขาต่อว่าพวกเรา ก่นด่าคนขับรถคนนั้น


    “นี่มันไม่ยุติธรรม นี่มันไม่ยุติธรรม!


    อย่างกับฉันไม่รู้ว่าความตายไม่ใช่เรื่องยุติธรรม 


    “คุณตายแล้ว คุณแก้ไขอะไรไม่ได้ ยอมตามไปแต่โดยดีจะเป็นประโยชน์กับคุณมากกว่า” ออกัสพูด


    “ผมมีลูกตั้งสองคนที่จะต้องดูแล ผมปล่อยให้ภรรยาลำบากไม่ได้ ผมจะอยู่ที่นี่”


    “อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เธอไม่เห็นคุณ ไม่มีใครเห็นคุณ”


    “ไม่ ผมเชื่อว่าเธอจะต้องรับรู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้” คุณลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เฝ้ามองภรรยาที่กุมมือของเขาไว้


    “คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้” น้ำเสียงของออกัสบ่งบอกว่ากำลังขาดความอดทน “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของคนตาย ถ้าอยากดูแลเธอก็ตามผมมา”


    คุณลีให้ความสนใจทันที


    “ผมอยู่กับเธอได้”


    “ในฐานะวิญญาณ คุณต้องตามผมมาก่อน หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ”


    คุณลีหันกลับไปมองภรรยาของเขา


    “รอก่อนนะที่รัก ผมจะรีบกลับมา”


    คุณลียอมตามออกัสเข้าไปในกลุ่มควันสีดำ มุ่งหน้าสู่ความว่างเปล่า เขาเปิดประตูเพื่อบอกทางให้วิญญาณเดินเข้าไป ก่อนจะปิดลง


    “เขาจะได้กลับไปที่โลกคนเป็นเหรอ”


    “เปล่า นั่นมันก็แค่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน”


    “คุณโกหก”


    ออกัสชักสีหน้า


    “คนตายก็คือคนตาย ไม่ว่าจะตายแบบไหน สุดท้ายก็แก้ไขอะไรไม่ได้!ความตายคือจุดจบ”


    การที่เขาโมโหใส่ฉันแบบนี้ ทำเอาฉันใจเสียขึ้นมา แต่มันก็ไม่ถูกต้องที่เขาจะมาโกรธฉัน


    “ฉันรู้ว่ามันเป็นงาน แต่คุณก็ไม่ควรไปโกหกเขาแบบนั้น คุณไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นห่วงครอบครัว ทำไมคุณไม่อธิบายดี ๆ”


    “อธิบายดี ๆ อย่างนั้นเหรอ เธอตายแล้ว มันมีตรงไหนที่ยากเกินความเข้าใจ หน้าที่ของเราไม่ใช่การมานั่งเห็นใจคนตาย หน้าที่ของเราคือพาพวกเขามาที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม ถ้าเธอรับไม่ได้ก็เดินผ่านประตูนั่นไปซะ!


    เขาชี้ไปทางประตูไม้ที่ปิดอยู่ สายตาของเขาชิงชังราวกับฉันเป็นตัวเชื้อโรค


    “คุณเป็นบ้าอะไรของคุณ!” ฉันตวาดกลับ มือทั้งสองสั่นเทิ้มจนต้องกำหมัดไว้ “ฉันโดนข่มขืน ฉันถูกฆ่าตาย ฉันต้องพรากจากครอบครัวที่ฉันรัก ฉันไม่มีโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักคนที่ฉันสนใจ ชีวิตของฉันถูกทำลาย คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจง่ายอย่างนั้นเหรอ คุณมันไร้หัวใจสิ้นดีฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณตายได้ยังไง แต่มันสมควรแล้วล่ะที่คุณตาย”


    ...ฉันพูดบ้าอะไรออกไป ฉันไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น


    ฉันหลบสายตา ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองออกัส


    “ฉันขอ...”


    ออกัสหายตัวไปก่อนที่ฉันจะขอโทษจบ  



    ------------------------------------


    สวัสดีค่าตอนแรกว่าจะไม่เขียนอะไร แต่ไหน ๆ มันก็มีเรื่องของออกัสพอดี เลยอยากจะกระซิบว่าภาคแรกเป็นเรื่องที่เล่าผ่านลิลิธ ภาคสองจะเล่าผ่านออกัสนะคะ ที่พูดได้เพราะต้นฉบับลิลิธใกล้จบแล้ว ที่ลงมานี่ก็เกือบครึ่งทางแล้วค่ะ กระซิบต่อว่าถ้าใครสนใจอยากเก็บรูปเล่มเป็นที่ระทึก (ระลึก) ประมาณกรกฎาคมจะเปิดสั่งนะคะ น่าจะลงจบช่วงนั้นพอดี (ราคารวมค่าส่งแล้วประมาณ 250 - 300 บาทค่ะ เก็บเงินรอได้เลย)


    ส่วนตอนหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับลิลิธและออกัส พบกันวังอังคารนะคะ


    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์มาก ๆ ค่ะ


    Aki_Kaze

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in