เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เมียงมองเมียนมาร์Paweekan Insawang
Session 01 - Travelogue
  • จริงๆ แล้ว ฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปออกทริป ไปเที่ยว หรือไปเข้าค่ายอาสาสมัครเหมือนอย่างที่ฉันชอบแชร์แปะไว้เต็มเฟสบุ๊คหรอก ยิ่งเพราะแม่ต้องทำงานเป็นกะ โอกาสที่จะได้ไปเที่ยวยาวๆ ตามประสาครอบครัวเลยยิ่งน้อยลงไปด้วย 
    แต่แล้ววันนึง...เหมือนฟ้ามีตา เทวดามีใจ ในที่สุดฉันก็ได้บินลัดฟ้าไปต่างประเทศกับเขาสักที คอยดูเถอะ เดี๋ยวแม่จะอัพรูปรัวๆ เอาให้เต็มไทม์ไลน์เลย 5555 พิมพ์อย่างนี้แล้วเหมือนได้ไปเที่ยวยุโรป อเมริกา หรือประเทศอะไรสักอย่างที่อยู่ห่างจากเมืองไทยมากๆๆๆ แบบที่ใครรู้ว่าฉันได้ไปก็ต้องอิจฉาแน่นอนอะไรทำนองนั้น ทั้งที่ความจริง ประเทศที่ฉันจะไปนี่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมยังสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยแบบสุดๆ ใช่แล้ว พม่า นั่นเอง เยยยยย้ (ปลอบใจตัวเองแปป)

    ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนโลกแคบ ดูถูกประเทศเพื่อนบ้านหรืออะไรหรอกนะ แต่พอรู้ว่าประเทศที่จะได้ไปคือพม่า บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี ไอ้ดีใจที่จะได้ไปต่างประเทศครั้งแรกก็ดีใจ แต่ความเป็นพม่าก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวอยู่ดี ทั้งภาพจำของแรงงานที่ฉันถูกค่านิยมไทยฝังอยู่ในหัว ไหนจะภาษาที่ไม่คุ้นหู รู้จักและพูดได้แค่มิงกะลาบาตามที่เคยได้ยินจากโฆษณาของสายการบิน แล้วไหนจะสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นวัดล้วนๆ ที่ทำให้คนไม่ค่อยอินกับศาสนาอย่างฉันขยาดอีก โอ้ย แค่นี้ก็เตรียมทำใจเลย ทัวร์คนแก่น่าเบื่อแน่นอน 
  • เหมือนพระเจ้าจะกลัวฉันเบื่อ ที่ต้องไปเที่ยวกับที่ทำงานของพ่อ ที่ลูกทัวร์ไม่ใช่แค่อายุห่างจากฉันมากเท่านั้น แต่ถึงขนาดที่ว่านับรวมกันคร่าวๆแล้ว อายุของคนทั้งหมดก็ปาเข้าไปหลายพันปี เพราะยังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวเข้าสู่ประเทศพม่าอย่างเป็นทางการ 
    พระเจ้าก็ส่งบททดสอบพิเศษมาให้ฉัน บททดสอบที่ฉันไม่สามารถนิ่งเฉยได้...
    แหงล่ะ จะนิ่งได้ไง ข้าศึกบุกหนักขนาดนี้
    ฉันวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยใจที่ลุ้นระทึก ระหว่างทางก็กังวลไปต่างๆนานา กลัวว่าจะเข้านานไปจนทัวร์ทิ้ง หลงทางกับพ่อแม่หรือเปล่า โทรศัพท์ก็ใช้งานไม่ได้ ถ้าตม.กักตัว นี่โดนส่งกลับประเทศแน่นอน มโนไป วิ่งไปได้พักใหญ่ ฉันก็มาถึงห้องน้ำสักที ผลักประตูเข้าไปพร้อมยิ้มอย่างผู้ชนะ ทิ้งตัวลงบนชักโครก แล้วถอนใจด้วยความโล่งอก แต่ โอ้ มาย ก๊อด 
    เลือด นั่นเลือดใช่ไหม ความกังวลที่เพิ่งหายไปเมื่อกี้กลับมาทันที 55555 ไม่มีอะไรมาก ประจำเดือนมาและฉัน...ไม่มีผ้าอนามัย

    (โชคดีที่หลังจากทึ้งหัวเรียกสติตัวเองอยู่สักพัก ก็เจอผ้าอนามัยที่ลืมเอาออกจากกระเป๋า พอช่วยให้ออกจากห้องน้ำไปต่อแถวตม.เข้าประเทศไปซื้อเพิ่มได้ ตอนนี้เลยจำขึ้นใจ ไปเที่ยวที่ไหน ฉันไม่ลืมผ้าอนามัยแน่นอน แต่ลืมอย่างอื่นแทน)
  • นั่งรถบัสออกจากสนามบินไม่นาน ทัวร์ของเราก็มาถึงเจดีย์กลางน้ำที่เมืองสิเรียม สถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่เมืองพม่า ซึ่งจริงๆแล้ว ควรจะเรียกว่าเมียนมาร์มากกว่า แต่ก็นั่นแหละจ้า ทำตามใจคือไทยแท้ ฉันจึงยังคงเรียกว่าพม่าต่อไป 5555 

    จากที่พอจะศึกษามาบ้างก่อนเดินทางมา ฉันก็พบว่าโดยทำเนียมของพม่าแล้วจะต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด หมายถึงถอดจริงๆ ถอดตั้งแต่ทางเข้าวัดเลยน่ะ แหม แล้วฉันก็มาได้ถูกฤดูกาลจริงๆ มาวัดที่พม่าตอนหน้าร้อน เท้าคงพองแน่นอน
    สภาพอากาศวันนี้ก็ดี๊ดี แดดจ้า ผืนน้ำทอแสงระยิบระยับ กระเบื้องสีขาวที่ปูรอบบริเวณวัดก็ดูร้อนจับใจดีจังเลย เอาน่ะ คิดซะว่ามาบำเพ็ญทุกขกริยา น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย เหยียบเลย! ก้าวขาไปเหยียบบนพื้นนั่นเลย! ฮึบ 
    เมื่อปลอบใจตัวเองได้อย่างนั้น ฉันจึงตัดสินใจก้าวเท้าเหยียบลงไปบนพื้นกระเบื้องแต่ โอ๊ะ! ไม่ร้อน! ไม่เห็นร้อนเลย! ไกด์บอกมาอีกทีว่าที่วัดนี้ปูด้วยกระเบื้องอะไรสักอย่างที่ทำให้มันไม่ร้อนน่ะ แค่ที่นี่แหละ ที่อื่นเอ็งเตรียมตัวเท้าพองได้เลย
    เมื่อเดินได้อย่างสะดวกสบาย ก็ทำให้มีเวลามาสำรวจวัดมากขึ้น วัดแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่กลางน้ำ แต่ก็ยังมีผู้คนมากันมากมาย ทั้งมาทำบุญ กินข้าวห่อ แล้วก็นอนกลางวัน เห็นแล้วตรัสรู้เลยว่าวัดเป็นที่พึ่งทางใจของคนในชุมชน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง คือมันเป็นเหมือนที่ไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจน่ะ วัยรุ่นจะเดทกันก็ไม่ต้องไปไหนไกล มาวัด อยากเที่ยวกันแบบครอบครัวก็ไม่ต้องไปไหนไกล มาวัด เออ เรียบง่ายดีจัง

    ครึ้มอกครึ้มใจได้ไม่นาน บททดสอบจากพระเจ้าก็เข้ามาอีกแล้ว ทำไงดี...ปวดฉี่
    ห้องน้ำที่จีนเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าที่นี่เข้าไปแล้วหยึยเท้ามาก พื้นห้องนองไปด้วยน้ำสีดำบ้าง น้ำตาลบ้าง เพราะทุกคนเข้าไปเท้าเปล่าพื้นจะสกปรกบ้างฉันก็ไม่ได้มีปัญหาหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ป้า! ป้าที่ยืนต่อแถวอยู่ข้างหน้าฉัน แกคงดีใจมากที่จะได้ปลดทุกข์แล้ว เลยแสดงความยินดีด้วยการ ถุยน้ำลายลงพื้น โอ้ มาย ก๊อด น้ำลายของป้าผสมกับน้ำที่เจิ่งนองบนพื้น และระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเซนต์จากปลายเท้าของฉัน ฮือ เรียบง่ายดีจังเลย

  • ทัวร์ของเรายังเดินทางไปยังสถานที่แลนด์มาร์คสำคัญๆ ของพม่า ทั้งเทพกระซิบ เทพทันใจ รวมถึงไฮไลต์ของวันนี้ เจดีย์ชเวดากอง จากที่เคยดูรายการนำเที่ยวมาบ้าง ฉันก็พอจะรู้ว่า ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่อลังการมาก ตัวเจดีย์เป็นทองคำ ส่วนยอดก็มีทั้งเพชรทั้งอัญมณี พอกระทบแสงไฟก็จะเกิดเป็นรัศมีที่มีสีแตกต่างกันแล้วแต่มุมที่เรายืน โห อลังการเวอร์
    เรามาถึงชเวดากองกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน กว่าจะกลับก็ค่ำแล้ว ไกด์บอกว่า ที่นี่ยิ่งมืดคนจะยิ่งเยอะ เพราะคนจะมาไหว้พระหลังเลิกงาน แล้วค่อยกลับบ้าน มองดูแล้วก็เหมือนตอนประเทศเราสวดมนต์ข้ามปียังไงยังงั้น เพียงแค่ที่นี่เขาทำกันทุกวัน เป็นกิจวัตร
    เดินชมได้สักพัก คณะทัวร์ของเราก็เกิดการแยกทางกันเป็นกลุ่ม และเหมือนท่าทางงุนงงของพวกเราจะไปเตะตาชายคนหนึ่ง...
    สวัสดีครับ 
    ชายวัยกลางคนร่างท้วมเข้ามาทัก แนะนำตัวว่าตนเองพูดภาษาไทยได้ และเคยเป็นไกด์มาก่อน เมื่อคุยกันถูกคอ เขาเลยทำตัวเจ้าบ้านที่ดี พาเราเดินชมนู่นชมนี่ ทั้งเจดีย์เล็ก เจดีย์ใหญ่ พาไปยังจุดต่างๆที่จะมองเห็นสีบนยอดเจดีย์ เรียกได้ว่าจัดหลักจัดเต็ม ไกด์ตัวจริงของเรายังไม่ทำถึงขนาดนี้ ฉันล่ะซึ้งในน้ำใจของเขาจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนที่กลุ่มของเรากลับมาเล่าให้ไกด์ตัวจริงฟัง แล้วไกด์ตอบกลับมาด้วยหน้านิ่งๆว่า อ๋อ ไกด์เถื่อนครับ ก็เถอะ 

    หลังจากเที่ยวและกินกันแบบจัดเต็มแล้ว ในที่สุดก็ได้เวลาเช็คอินเข้าโรงแรมกันสักที หึๆ เริ่มทำภารกิจที่สำคัญที่สุดของการมาเที่ยวครั้งนี้ได้ ลุย!
    ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง เพลงของบัวชมพู ฟอร์ดเริ่มบรรเลงอยู่ภายในหัวของฉัน
    เป็นวงกลม วงนึงที่มันไม่เต็มวง~
    อย่าว่าแต่จะอัพรูปเลย ตอนนี้แค่เชื่อมไวไฟโรงแรมยังยาก

  • หลังจากที่แวะเที่ยววัดให้ร้อนเท้ากันเล่นๆ ในช่วงเช้าและนั่งรถบัสจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก เราก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนรถ เพื่อนั่งต่อไปยังพระธาตุอินทร์แขวน รถที่เราใช้นั่งขึ้นไปมีลักษณะคล้ายรถกระบะ แต่ที่นั่งด้านหลังจะยกเป็นที่นั่งสูง เรียงกันเป็นแถวๆ ถนนที่ใช้ขึ้นไปนอกจากจะคดโค้งแล้ว ยังแคบและมีเพียงเลนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขับสวนกันได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ที่ด่านต่างๆ เป็นคนปล่อยรถ
    รออยู่ที่ด่านหนึ่งได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยรถของพวกเราสักที จากด่านหนึ่งขึ้นไปด่านสองนั้น เส้นทางยังไม่โหดมากนัก สบายๆ พอให้ชื่นชมธรรมชาติข้างทางได้ แต่ด่านสองไปด่านสามนี่สิ โค้งแล้วโค้งอีก เลี้ยวมุมโน้น หลบมุมนี้ พับหักศอกครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ถึง ทำเอาคนบนรถกำพระแน่น สวดมนต์กันลั่นรถ และเหมือนคนที่นี่จะคิดมาแล้ว บริเวณด่านสามเลยมีกิจกรรมเรี่ยไรเงินกันเล็กน้อย เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราได้เสริมต่อดวงชะตากันก่อนจะขึ้นไปเจอกับโค้งต่อไป

    ถึงแล้ว... ถึงจริงๆ แล้ว ฉันรู้สึกเหมือนพิชิตเขาเอเวอร์เรสได้ยังไงยังงั้น ทันทีที่เดินขึ้นมาถึงลานกว้างที่เต็มไปด้วยคนที่จับจองทำเลกันทั่วบริเวณ และได้เห็นพระธาตุอินทร์แขวนองค์จริงสักที หลังจากที่เห็นองค์จำลองตามทางที่เดินมาจนเริ่มจะหายตื่นเต้นแล้ว แสงสีทองอร่ามที่องค์พระธาตุ รวมถึงผู้คนที่นั่งสมาธิ สวดมนต์อยู่รอบๆ ทำให้ฉันสบายใจและเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก้อนหินก้อนเบ้อเริ่มที่ไม่ตกลงไปข้างล่าง ทำให้เกิดความศรัทธาได้ขนาดนี้เลยหรอ คนบางคนหอบเสื่อมาเพื่อที่จะได้สวดมนต์ต่อหน้าพระธาตุ ยิ่งสมัยก่อนถนนหนทางก็ไม่ดี ผู้คนต้องเดินเท้าขึ้นมาสักการะเลยด้วยซ้ำ หึ ฉันยิ้มให้กับภาพที่เห็นตรงหน้า ว่าแล้วก็ขอไปเตรียมตัวมานั่งสวดมนต์บ้างดีกว่า บรรยากาศพาไปจริงๆ
  • เช้าวันใหม่ และสถานที่ใหม่ ตามภาษาคณะทัวร์ตารางทัวร์แน่น เช้านี้เราจึงออกเดินทางไปยังเมืองตองอู สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นตาล และบ้านคนที่ดูบางตา เมื่อเข้าเขตเมืองตองอูวิวก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มมีนาข้าวให้เห็น มองแล้วได้อารมณ์เหมือนเดินทางไปส่งหนูหิ่นที่บ้านโนนหินแห่มาก เราแวะไหว้พระกันที่วัดที่บุเรงนองเคยบวชก่อนจะเข้าไปในเมือง วัดนี้แตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่เราเคยไป ทั้งขนาด ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว อาจจะเป็นเพราะตองอูไม่ใช่เมืองฮิตของกรุ๊ปทัวร์ก็เป็นไปได้ แต่ถึงแม้วัดนี้จะมีขนาดเล็ก สถาปัตยกรรมต่างๆ ก็ยังสร้างขึ้นมาได้สวยงามไม่แพ้วัดใหญ่ๆ ในเมืองเลย
     
    นั่งรถต่อไปไม่นานก็เข้าสู่ตัวเมืองตองอู ภายในตัวเมืองก็เหมือนกับอำเภอเล็กๆ ของไทย มีโรงพยาบาล มีร้านโชว์ห่วยบ้างไม่มากมายนัก ดูเงียบสงบและน่าขี่จักรยานเล่นดี
    และเนื่องจากเราเดินทางมาไกลมาก เรียกได้ว่าวันนี้ทั้งวันนั่งรถกันอย่างเดียวเลย โรงแรมที่เรามาพักกันวันนี้เลยดูหรูหราไฮโซเป็นพิเศษ นอกจากจะอยู่ติดกับพระราชวังตองอูแล้วยังอยู่ริมทะเลสาบด้วย พรีเมี่ยมไปอีก ลดอาการเมื่อยตูดไปสิบเปอร์เซนต์

    ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ เพื่อที่จะพบว่าการนั่งรถเมื่อวานเป็นของเด็กๆ วันนี้สิของจริง 5555
    วันนี้เราจะเดินทางไกลกันอีกแล้ว ไปพุกาม เพื่อชมทะเลเจดีย์ และล่องแม่น้ำอิรวดี จุดหมายปลายทางฟังดูน่าสนใจ แต่บรรยากาศข้างทางไม่เป็นใจเลย
    มันยังคงแห้งแล้ง บ้านคนก็น้อย แต่ทำไมขยะถึงเยอะมากก็ไม่รู้ เห็นแล้วหงุดหงิด อยากให้ประเทศไทยจัดบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ให้ซะเหลือเกิน แต่ คิดถึงขยะแถวบ้านที่กองสุมกันไว้ตรงที่ห้ามทิ้งแล้วก็หดหู่ คงไม่เวิร์คแน่นอน 
    เพื่อที่จะเชียร์อัพตัวเองให้สดใส แน่นอนว่าต้องมีของกิน และของกินเล่นบนรถที่อร่อยที่สุดก็คือมะม่วง! แอบซื้อมาตอนเขาจอดรถให้เข้าห้องน้ำ เลือกซื้อได้ตามสบายมีทั้งแบบขายเป็นลูก ขายเป็นกิโล กินกันให้สะใจหายเบื่อ มาทัวร์กับคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ มีดเมิดนี่พร้อมอยู่แล้ว ปอก ส่ง ปอก ส่ง นั่งกินสบายใจ แถมรสชาติมันก็ไม่เหมือนที่ไทย ออกมันๆเปรี้ยวๆ กลิ่นก็หอม กินจิ้มพริกเกลือก็ได้ กินเปล่าๆ ก็ดี แฮปปี้ที่สุดเลย
  • ตองอูว่าเงียบแล้ว แต่ฉันว่าพุกามเงียบกว่า สองข้างทางมีแต่เจดีย์ เจดีย์ และเจดีย์ โอเค เชื่อแล้วจ้า ว่ามาถึงทะเลเจดีย์แล้วจริงๆ เราเดินทางไปยังเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองพุกาม และยังได้ขึ้นไปชมวิวแบบมุมสูง เห็นพุกามแบบพาโรนามาอีกด้วย 
    แน่นอนว่าสิ่งดีๆ มักต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ถ้าอยากเห็นวิวสวยๆ ก็ต้องแลกมาด้วยเท้าที่พอง เป็นความทรมาณที่มีความสุขจริงๆ 
    เสร็จจากมุมสูงแล้วก็มาชมเมืองพุกามกันแบบสโลว์ไลด์นั่งรถม้ากันสักหน่อย บอกได้คำเดียวเลยว่า 
    สงสารม้ามาก กระทรวงศึกษาธิการควรต้องพิจารณาแล้วล่ะ ว่าการปิดเทอมหกเดือนมันทำให้ม้าลำบากขนาดนี้ ม้าค่อยๆ ย่องไปอย่างช้าๆ เสียงร้องที่มันส่งออกมาแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า โอ้ย! เหนื่อยโว้ย! อีอ้วนนี่! หนักสัด! 
    ตอนนั้นนี่กลัวม้าจะตายกลางทางมาก ทำอะไรไม่ได้เลย อ้วนไปแล้ว เลยได้แต่ภาวนาขอให้ม้าสู้ ฉันจะลดน้ำหนักเพื่อแกเอง งือ

    สงสารม้าได้ไม่นาน รถก็เลี้ยวมาถึงร้านอาหารแล้ว แหม จะไม่กินก็เสียดายค่าทัวร์ เลยจัดสักหน่อยไม่ให้ร้านอาหารเขาเสียน้ำใจ การแสดงหุ่นกระบอกของทางร้านก็ดี๊ดี ดูไป กินไป แย่จัง ไม่รู้ตัวเลย :P
  • เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนที่นอนกันทุกวัน วันนี้เราเลยมาโผล่ที่นี่เมืองมัณฑะเลย์ 
    ที่นี่เป็นเมืองสุดท้ายแล้ว แต่ตารางเที่ยวของเราก็ยังแน่นเอี๊ยดเหมือนเดิม เริ่มด้วยการชมสาธิตการทำทอง พระราชวังมัณฑะเลย์ และวัดต่างๆ  ช็อปกำไลหินสี กำไลหยกกันแบบแทบจะเหมาร้าน ต่อราคากันจนฉันสงสารแม่ค้า พลังแห่งผู้หญิงนี่ไม่ว่าจะวัยไหนก็ยังคงแข็งแกร่งจริงๆ ต่อด้วยการแวะทานอาหารไทยเติมพลังกันสักหน่อย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทัวร์ส่วนใหญ่ เวลาไปต่างประเทศถึงต้องมีการบรรจุร้านอาหารไทยเข้ามาในโปรแกรม ทั้งๆที่อาหารที่กินไปในวันที่ผ่านๆมา ก็ไม่ได้มีอันไหนเป็นพม่าจ๋าเลย ไข่เจียว ผัดผัก กุ้งเผา ตลอด 
    แต่เขาให้กินแล้วก็กินหน่อย พรุ่งนี้จะได้มีแรงตื่นเช้า ไปร่วมพิธีสรงน้ำพระมหามัยมุนี

    พิธีนี้เป็นอีกไฮไลต์นึงที่ฉันปักหมุดเอาไว้เลยหลังจากดูรายการหนังพาไป คือเป็นการสรงน้ำพระพุทธรูปที่เหมือนกับการอาบน้ำคนจริงๆ มีการแปรงฟัน ล้างหน้า ฟอกสบู่ ถูตัว เช็ดตัว ซึ่งกว่าจะเสร็จแต่ละขั้นตอนก็กินเวลานานเหมือนกัน แต่ฉันว่ามันคุ้มที่ได้ตื่นมา ฉันชอบความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งของชาวพม่ามาก เขาดูบริสุทธิ์ใจที่จะทำ ปฏิบัติกันเป็นกิจวัตร ไม่เหมือนฉันที่หันหน้าเข้าวัดแค่ตอนที่เครียดเรื่องสอบเข้ามหาลัย หรือ ไปวัดเพื่อถ่ายเซลฟี่อวดใครต่อใครว่าฉันมาเวียนเทียนแล้วจ้าอะไรทำนองนั้น มันดีซะจน ฉันไม่กล้าคิดไปถึงวันที่ฉันโตขึ้นแล้วได้กลับมาพม่าอีกครั้ง แต่สิ่งเหล่านี้หายไปจากประเทศนี้หมดแล้ว ไม่อยากให้มีวันนั้นเลย

  • วันสุดท้ายของทริปมาถึงเร็วซะจนใจหาย ตลอดทริปนี้ฉันมีความสุขมาก ประเทศที่คิดว่าจะน่าเบื่อกลับไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด พม่ามีทั้งความดิบและความนุ่มนวลอยู่ในตัวเอง ถึงแม้ว่าการมากับทัวร์จะทำให้ฉันพบแต่ความนุ่มนวลซะเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ กลับไปแล้วฉันคงคิดถึงความเรียบง่ายของผู้คนที่นี่ คิดถึงไกด์ที่ประสบความสำเร็จ (ไม่มีใครฟัง) คิดถึงมะม่วง คิดถึงชาซองเขียว คิดถึงอุณหภูมิร้อนๆบนฝ่าเท้า 
    คิดถึงจริงๆ...พม่า 
    หวังว่าจะได้พบกันใหม่ แบบดิบๆ :)

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in