หลังจากผจญกับฝนตกมาเมื่อคืนกว่าจะได้นอนดึกดื่นกันเลยทีเดียว ตอนแรกตื่นมาตอนเช้า พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี อากาศเย็นสบาย แล้วเราก็หลับต่อวันนี้เลยตื่นสายหน่อยประมาณแปดเก้าโมงได้ ตื่นมาเข้าห้องน้ำส่วนกลาง ล้างหน้าล้างตาตัวเองเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำก็มีเรื่องระทึกใจยามเช้าเลย เจอน้องลิงห้อยลงมาจากหลังคาห้องน้ำฉวยเอาห่อขนมของผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันไปจากมือเลยทีเดียว โอ้โห ร้องกรี้ดกันไม่ทัน มาไวไปไวมาก จนวันสุดท้ายเราก็จะเห็นประเด็นเดิม ๆ ที่เป็นปัญหาควรต้องแก้ไขอย่างมาก ๆ สัตว์ป่าที่นี้คุ้นชินกับมนุษย์เสียแล้ว และเป็นการยากมากที่เราจะไล่ให้มันไปอาศัยอยู่ที่อื่น เพราะเราเข้าไปอยู่ในบ้านของเขา การนำอาหารเข้าไป ล่อสัตว์ต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นกวางหรือลิง สัตว์พวกนี้กล้าที่จะเข้าใกล้มนุษย์เพื่อเเย่งชิงอาหาร ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มันควรกินเลย พลาสติกที่เข้าไปในกระเพาะของสัตว์พวกนี้ไม่สามารถย่อยสลายได้ส่งผลให้สัตว์พวกนี้เหมือนผีดิบที่รอวันตาย ช่างน่าสงสาร... นักท่องเที่ยวหลายคงยังคงไม่ตระหนักถึงผลกระทบในเรื่องนี้ ประมาทเลินเล่อวางถุงขนม ถุงอาหารไว้อย่างสบายใจโดยไม่รู้เลยว่าสัตว์ป่าที่นี้พร้อมที่จะเข้ามาแย่งชิงไปจากคุณอยู่ตลอดเวลา..
หลังจากที่จัดแจงตัวเองเรียบร้อยแล้วฉันก็เก็บข้าวของ เก็บเต้นท์เรียบร้อย แวะกินข้าวอย่างรวดเร็วเผื่อเวลาไว้โบกต่อไปที่จุดทำการบริการนักท่องเที่ยวเพื่อจ้างเจ้าหน้าที่พาเดินป่าในเส้นทางที่ 3 (กม.33-หนองผักชี) ระยะทางประมาณ 3.3 กิโลเมตร ค่าจ้างเจ้าหน้าที่นำเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติอยู่ที่ 500 บาทจ้า จุดเริ่มต้นของเราอยู่ที่กม.33 ริมทางตรงจุดนี้จะมีทางเดินเข้าป่าไป ปากทางเราก็เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากันเป็นคณะอยู่สองสามกลุ่ม แต่ไม่เห็นคนไทยเท่าไหร่ พอเริ่มเดินเข้าไปได้ซักพักพี่เจ้าหน้าที่นำทางก็จะคอยชี้ให้ดูนั่นดูนี้ตลอดทางเลย ให้ความรู้ดีมาก ชอบสุด ๆ ได้คุยกันหลายเรื่อง พี่เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเดินเทรล(เส้นทางศึกาาธรรมชาติ) มักจะเป็นชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย คนไทยยังให้ความสนใจป่าบ้านเราน้อยมาก พี่เขาประหลาดใจนิดหน่อยที่เราสนใจแถมมาตัวคนเดียวเสียด้วย พี่แกเขาก็บอกว่าดีใจนะที่เราสนใจเรื่องป่าของประเทศเราเอง แกพยายามหาชะนีให้เราดูด้วยเพราะเราบอกอยากเห็นสัตว์อะไรก็ได้ อยากเห็นสัตว์ตัวเป็น ๆ ในป่าจริง ๆ แต่ครั้งนี้เราไม่ได้เห็นชะนีเลยซักตัวเดียว เห็นแค่จิ้งหลีดจิ๋วและกระรอก พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าโลกร้อนก็ส่งผลกระทบกับป่าเหมือนกัน ฤดูกาลที่ผิดเพี้ยนไปทำให้สัตว์ป่าไม่ออกตามเวลาที่มันเคยออก จากเคยเห็นช่วงนี้ เราก็ไม่เห็นได้เหมือนกัน
ต้นไม้ในป่าเขาใหญ่ มันช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ
หลังจากเดินมาได้สักพักเราก็ผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่โคนต้นมีรากพูพอนสูงเลยพ้นดินออกมาและก็พบกับเห็ดสีเทาขึ้นพรึบเต็มไปหมดเลย จุดที่เห็ดสีเทาขึ้นนั้นข้างใต้มันเป็นซากไม้ผุๆ ชื้นมากแต่ไม่มีกลิ่นพี่เจ้าหน้าที่บอกว่านั่นคือเห็ดราที่เจริญเติบโตได้ดีมาก ๆ จากราที่ได้อาหารอุดมสมบูรณ์และอยู่ในอุณหภูมิที่มันชอบแล้วก็จะเติบโตต่อจนกลายเป็นดอกเห็ดแบบนี้กันเลยแหละ
เดินต่อไปอีกก็เจอดอกกล้วยไม้จิ๋ว มันน่ารักมาก ๆ เลย ตื่นเต้นมากอะตอนที่พี่เจ้าหน้าที่ชี้ให้เราดูแล้วแบบเห้ยยยยยย น่าร๊ากกก ดอกจิ๋วเดียวเองทุกคนแถมมีหลายพันธุ์ด้วยแหละ เวลาเดินป่าแล้วได้เจออะไรแปลกใหม่อย่างนี้ทำให้รู้สึกว่าโลกมันช่างสวยงามมากเลย ธรรมชาติสร้างสรรค์ทุกอย่างได้อย่างมหัศจรรย์จริง ๆ นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ฉันหลงรักธรรมชาติและอยากจะดูแลมันให้ดีตอบแทนโลกใบนี้กลับบ้าง สำหรับใครที่ชื่นชอบธรรมชาติ อยากให้คุณลองมาเดินป่าสัมผัสกับธรรมชาติแบบดิบ ๆ ดูสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าธรรมชาติที่แท้จริงมันสวยงาม ตื่นเต้น และน่าค้นหาขนาดไหน ไม่ลองก็ไม่รู้ ;)
นี่คือน้อง ๆ ที่น่ารักของฉัน ทริปนี้เจอแค่สองพันธุ์เองครั้งหน้าต้องลองหาดูว่าจะมีแบบไหนอีกมั้ยน้า
และวันสุดท้ายในเขาใหญ่ก็หมดลง เป็นเวลาบ่าย ขากลับฉันโบกรถออกมาอีกครั้งที่หน้าจุดทางเข้าจุดเดียวกับขาเข้ามาเมื่อวาน ระหว่างทางที่กำลังกลับออกไปข้างนอก ฉันเงยขึ้นไปบนฟ้าก็พบกับดวงอาทิตย์ทรงกลด สวยงามมาก นี่คือครั้งที่สองในชีวิตที่ฉันได้เห็นพระอาทิตย์ทรงกลด แม่เคยบอกว่าคนที่เห็นพระอาทิตย์ทรงกลดแปลว่าเป็นคนมีบุญ ฉันก็ว่างั้น หลังจากเมื่อคืนที่ได้ชดใช้กรรมในเต้นท์เปียก ๆ แล้วฉันอาจจะมีบุญขึ้นมากว่าเดิมบ้างละ สบายใจขึ้นและ 5555555
วันสุดท้ายในเขาใหญ่เหมือนพระอาทิตย์จะอวยพรอำลาให้ฉันโชคดีแหละ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย ขอบคุณนะคะ//ยิ้มตาหยี่
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in