เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
'เฟย์' เด็กหญิงปั้นฝันPaweekan Insawang
'เฟย์' เด็กหญิงปั้นฝัน
  • ‘หากคนเรามีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี เราจะใช้เวลาไปกับการค้นหาความชอบของตัวเองนานแค่ไหนกัน’ คำถามเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจของฉันขณะกำลังเตรียมข้อมูลเพื่อไปสัมภาษณ์เฟย์ – กมลลักษณ์ นิ่มกิตติกุล ศิลปินปั้นดินจากจังหวัดเชียงใหม่ วัย 18 ปี ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในถนนสายศิลปะอย่างเต็มตัว หลังงานปั้นเซรามิคชุด Bear around Me ที่เธอนำไปจัดแสดงในงาน Chiangmai Design Week ของ TCDC ได้ผลตอบรับกลับมาดีเกินคาด และทำให้ผลงานเซรามิคภายใต้ชื่อแบรนด์ ‘gapN’ เป็นมากกว่าผลงานที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้เป็นโปรเจ็คต์จบม.6 อย่างที่เธอตั้งใจไว้ในตอนแรก

    สำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาในการค้นหาคำตอบเกือบทั้งชีวิต แต่เฟย์กลับไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เธอตอบคำถามของเราด้วยท่าทีสบายๆ แทบจะทันทีที่เราเอ่ยคำถามจบ ว่าเธอสนใจงานศิลปะมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาลแล้ว

    “ตอนเด็กๆ แม่จะสอนศิลปะให้กับเด็กที่บ้าน เราเลยไปขอเรียนด้วย ชอบงานที่ได้ประดิษฐ์ งานที่ต้องใช้มือเยอะๆ แต่เราเป็นคนที่มีความสนใจเยอะมาก ช่วงที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สนใจงานด้านสถาปัตย์เพราะชอบต้นไม้ ชอบออกแบบ แต่สุดท้ายก็ยังชอบศิลปะที่สุดอยู่ดี เพราะชอบเวลาที่ทำผลงานออกมาได้ตรงกับสิ่งที่เราคิด หรือจินตนาการเอาไว้ น่าจะเพราะว่าทำแล้วมีคนชอบด้วย มีคนที่เห็นงานเราแล้วเขารู้สึกมีความสุข”

    เฟย์อธิบายว่า เธอเรียนในระบบบ้านเรียน หรือ Home School มาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพราะการเรียนแบบนี้ทำให้เธอมีอิสระและโอกาสในการเลือกเรียนสิ่งที่ชอบและสนใจได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำ ภาพพิมพ์ หรือศิลปะพื้นบ้านภาคเหนืออย่างเครื่องเขิน เช่นเดียวกันกับงานปั้นดินที่เธอได้รู้จักและทดลองเรียนเป็นครั้งแรกในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วย

    “ตอนนั้นได้ไปเวิร์คชอปกับ 31st century museum ที่อาจารย์คามิน เลิศชัยประเสริฐ เปิดสอนให้ฟรีจากครั้งนั้นก็รู้สึกชอบ เลยไปเรียนต่อกับพี่ที่เพิ่งจบจากคณะวิจิตรศิลป์ แต่พอขึ้นม.1 ก็หยุดเรียนไป จนเริ่มกลับมาเรียนอีกครั้งช่วงประมาณ ม.5 ที่เราเลือกเอางานเซรามิคมาทำเป็นโปรเจ็คต์จบม.6”

    “จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำงานเซรามิคเป็นโปรเจ็คต์จบ เพราะเราคิดมาตลอดว่ามันยาก มันเป็นงานที่แตกได้ พร้อมที่จะพังตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ คิดว่าเราคงทำสีน้ำ ทำภาพประกอบทั่วไป แต่พอได้มาทำจริง เราก็เจอว่า จริงๆ แล้ว เราก็ชอบ และมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น” เฟย์บอกให้ฟังถึงความกังวลในช่วงแรก ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เธอตัดสินใจเลือกทำเซรามิค แม้จะเป็นคนบอกเองว่ามันยาก 

    “วันนั้นอาจจะเป็นวันแรกในรอบหลายปีเลยก็ได้ค่ะ ที่เฟย์กลับมาปั้นดิน เหมือนเราปั้นอยู่ แล้วแม่ก็บอกว่าใกล้จะจบ ม.6 แล้วนะ อยากให้ทำอะไรก็ได้ เป็นโปรเจ็คต์จบมาสักอย่าง ลองทำเซรามิคดูไหม จริงๆ แม่ก็จะพูดอยู่แทบทุกปีอยู่แล้วว่า อยากให้เราทำผลงานเป็นคอลเลคชั่นออกมา ซึ่งเราก็จะเงียบมาตลอด แต่ครั้งนี้ฟังแล้วเรากลับรู้สึกว่า เออ ทำเซรามิคก็ดีเหมือนกันนะ เลยกลายเป็นผลงานชุด Bear Around Me ที่เราได้ไปจัดแสดงในงาน Chiangmai Design Week ที่ TCDC เป็นคนจัด”

    แล้วทำไมต้องปั้นออกมาเป็นหมี ฉันถามต่อด้วยความสงสัย

    “มันมาจากตัวเฟย์เอง ก่อนหน้านี้ในกลุ่มเพื่อนมักจะชอบแซ็วว่าเฟย์เหมือนหมี เราก็เลยรู้สึกชอบคาแรกเตอร์นี้ เพราะเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของเรา” เฟย์อธิบายถึงที่มาของผลงานชิ้นแรก เว้นวรรคเพื่อหายใจเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายให้เราฟังต่อว่า “งานปั้นดินชิ้นแรกมันเกิดจากการที่เราแค่อยากได้เซรามิคที่เป็นหมีสักตัวมานั่งอยู่บนชั้นหนังสือ เราก็เลยเหมือนปั้นเพื่อให้ตัวเองเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเพื่อนำมาเป็นสินค้าหรือโปรเจ็คต์จบอะไร”

    “แต่พอตกลงกับแม่ว่าเราจะพัฒนาทำเป็นโปรเจ็คต์จบ มันก็ต้องมีจำนวนชิ้นที่เยอะขึ้น ทำให้เราต้องหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติม โชคดีที่เป็นคนชอบทำกิจกรรมด้วย เลยมีคนรอบตัวให้สังเกตเยอะ อย่างหมีที่ปักผ้าแล้วนั่งหย่อนขาข้างเดียว ก็มาจากคนที่เรารู้จักแล้วเขาชอบนั่งท่านั้นเวลาปักผ้า หรือเวลาเราไปดูนกกับชมรมดูนกที่เชียงใหม่ ก็จะมีลักษณะท่าทางพิเศษบางอย่างที่เราจะได้เห็น เช่น คนนั่งยองยอง  หรือนอนลงกับพื้นเพื่อที่จะถ่ายภาพ เราเลยได้คาแรกเตอร์และคอนเซปต์ออกมาเป็นเหมือนหมีที่กำลังทำงานอดิเรก หมีที่ทำอะไรคนเดียวแล้วมีความสุข”


    เคยได้ยินคำพูดที่ว่าผลงานศิลปะมันสะท้อนคนทำงานศิลปะ ฉันกล่าวขึ้นมา เพื่อจะถามความคิดเห็นของเฟย์เกี่ยวกับเรื่องนี้

    “ก็ค่อนข้างสะท้อนนะ แต่น่าจะเป็นด้านที่ละมุนกว่าตัวจริงสักหน่อย มีคนบอกว่า งานของเราเป็นงานที่น่ารัก แต่มันก็ยังมีความกวนๆ มีความทะเล้นอยู่นิดนึง งานมันค่อนข้างใส เฟย์ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเหมือนกับคนปั้นหรือเปล่า” เฟย์ตอบแล้วหัวเราะเสียงใส ความกวนของเธอทำให้ฉันนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของชื่อแบรนด์ gapN

    “ใช่ แค่นั้นเลย” เฟย์หัวเราะ แล้วเล่าต่อว่า “ก่อนหน้านั้นเราพิมพ์แล้วเราเจอว่ามันกลายเป็นคำว่า gapN ได้ แต่ก็แค่เก็บไว้ในความคิดว่าเราอยากจะใช้ชื่อนี้ เพราะว่ามันอ่านออกและไม่ได้ตรงกับความหมายของอะไร อยากเอามาใช้ ตอนนั้นน่าจะคับขันด้วยมั้ง เพราะต้องสมัครงาน Chiangmai Design Week แล้ว ก็เลยเออ ชื่อนี้แล้วกัน” ฉันพยักหน้า อมยิ้มให้กับความใสที่เธอไม่แน่ใจว่ามันมีอยู่ในตัวเองหรือไม่

    “คนส่วนใหญ่ที่เขาถาม เขาจะถามว่าชื่อนี้มันแปลว่าอะไร ช่องว่างหรอ แล้วตัวเอ็นมาจากอะไร เขาคิดว่ามันจะมีความหมายดีๆ แต่คนที่เคยพิมพ์ผิดเขาก็จะรู้ว่า อ๋อ คือมันก็เฟย์เนอะ คิดอย่างนี้อ่ะเนอะ เฟย์เนอะ”

    แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ ฉันถาม เพราะอยากรู้ความเป็นไปของเธอหลังจากงาน Bear Around Me เสร็จสิ้น นั่นแปลว่าตอนนี้เธอเรียนจบชั้น ม.6 แล้ว

    “ตอนนี้ก็ทำงานปั้นเรื่อยๆ แล้วก็เตรียมงานสำหรับจัดแสดงที่กรุงเทพช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่ร้าน 10 มิลลิลิตรด้วย” เธอแอบกระซิบว่านี่อาจจะเป็นงานสุดท้ายแล้วที่จะปั้นหมีอย่างเดียว

    “คอนเซปต์จะเกี่ยวกับดนตรี ก่อนหน้านี้เราอยากทำเป็นดนตรีพื้นเมืองเหมือนของสตูดิโอจิบลิ พอได้ไปฟังเพลงแสงเทียนที่เขาเอาดนตรีพื้นเมือง ดนตรีล้านนามาเล่นก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นแบบเดียวกับที่เรามองหาเลย แต่เป็นของไทย แล้วก็เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ด้วย เลยยิ่งรู้สึกว่าเราต้องทำ เอาส่วนนี้มาเล่นกับงานของเรา”

    แม้จะมีงานให้รับผิดชอบมากมาย แต่เรื่องการเรียนเฟย์ก็ยังไม่ได้ทอดทิ้ง เธอยังเป็นวัยรุ่นที่จริงจังและทุ่มเทให้กับความฝันของตัวเองอยู่เสมอ

    “ตอนแรกเราอยากเรียนกับอาจารย์กมลที่เค้าสอนภาพพิมพ์ เคยเรียนกับเขาตอนมีงานศิลปินแห่งชาติสัญจร ที่เชียงใหม่ แล้วเรารู้สึกถูกใจอาจารย์ ชอบ อยากเรียนด้วยอีก เราเลยคิดว่า เออ เราก็คงอยากเข้าศิลปากรเนอะ” เฟย์เล่าให้เราฟังถึงเป้าหมายสมัยเด็ก ก่อนจะค้นพบทางเดินใหม่อย่างการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

    “ด้วยความที่งานต่างๆ เราก็เห็นมาจากหนังสือญี่ปุ่น เราโตมากับหนังสือนิทาน หนังสืองานประดิษฐ์ เราก็จะติดกลิ่นมาเยอะมาก พอพูดถึงเซรามิค ญี่ปุ่นก็เป็นอันดับต้นๆ ทางด้านนี้อยู่แล้วด้วย เลยคิดว่าประเทศญี่ปุ่นก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเหมือนกัน ตอนนี้ก็พยายามทำพอร์ทของเราให้น่าสนใจ ตอบโจทย์กับมหาวิทยาลัย แล้วก็ตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นต่อไป” เฟย์พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นขัดกับบุคลิกสดใสสบายๆ ที่เธอใช้คุยกับเรามาตลอด

    “แต่จริงๆ สำหรับเฟย์ตอนนี้มันเป็นเหมือนกับความฝันมากกว่า ความฝันว่าเราอยากจะทำมัน ถ้าเราทำได้ เรารู้ว่ากำลังเดินไปตามความฝันนั้น แต่ระหว่างทางเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะเป๋ไปอีกกี่รอบตอนนี้เลยอยากจะทำงาน gapN ให้มันเป็นไปอย่างที่เราอยากทำได้ ทำปริมาณชิ้นงานให้ได้สม่ำเสมอ ทำผลิตภัณฑ์ชิ้นอื่นออกมา แต่ปลายทางที่เราอยากจะไปถึง ก็คืออยากเข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น” เพราะน้ำเสียงแห่งความมุ่งมั่นที่แฝงมาในคำตอบ จึงทำให้เราอยากรู้ว่าเฟย์มองภาพของ gapN ในอนาคต เอาไว้อย่างไรบ้าง

    “ตอนนี้มีเตาเผาเป็นของตัวเองแล้ว ช่วงนี้จนถึงปีหน้าก็จะเป็นเหมือนช่วงที่เราจะจริงจังได้มากขึ้นอีก น่าจะได้ทดลองอะไรใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนหลังจากนี้ที่เราพร้อมมากขึ้น ก็คิดไว้ว่าจะเปิดเป็นสตูดิโอสอนปั้นดิน ให้คนได้มาทำอะไรสนุกๆ กัน” 


    แล้วความฝันจริงๆ ของเฟย์คืออะไร ฉันถามเมื่อพบว่าเธอมีสิ่งที่ทำได้ดีในชีวิตเยอะพอๆ กับสิ่งที่เธอสนใจ

    “คิดภาพอาชีพที่เราอยากทำเป็นอารมณ์ของการอยู่บ้าน ทำงานประดิษฐ์ของเราไปเรื่อยๆ มีทั้งงานเซรามิค งานภาพพิมพ์ งานวาดสีน้ำ แล้วก็ส่งร้านขายในเมือง แต่เราก็อยู่นอกเมือง สงบๆ อยากมีรถเต่าสักคัน พอเราทำงานเก็บเงินได้ก็ไปเที่ยว เงินหมดเราก็กลับมาทำงานต่อ สนุกกับการทดลองอะไรไปเรื่อยๆ อาจจะเปิดร้านเอางานที่ร้านอื่นคงไม่อยากเอาไปขาย งานที่มันติงต๊องเกินไปมาวางขายเอง” เฟย์พูดยิ้มๆ ก่อนจะกล่าวต่อว่า

    “อยากให้เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในชีวิตของเรามากเกินไป ไม่อยากเป็นคนที่เอะอะอะไรก็จ่ายเงิน อยากมีความสุขกับการลองทำอะไรด้วยตัวเอง หรือการได้ช่วยเหลือกันมากกว่า อยากเป็นคนแบบนั้น" 

    "ไม่รู้ว่าโตขึ้นไปแล้วจะจริงจังมากเกินไปหรือเปล่า อาจจะทำให้ตัวเองเครียดมากไป อยากให้ยังคิดอะไรแบบไม่จริงจังมากนัก ให้เรายังปลงๆ แบบเด็กๆ ได้อยู่” เฟย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดธรรมดาๆ ที่แสนจริงใจ เป็นความธรรมดาที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอ คนที่มีเรื่องราวแสนพิเศษ และสร้างความแปลกใจให้กับฉันได้เสมอ

    เราบอกลากันหลังจากใช้เวลาในการพูดคุยมามากกว่าหนึ่งชั่วโมง ระยะเวลาที่อาจจะไม่นานนักสำหรับใครบางคน 

    แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฉันได้รู้จักเธอมากขึ้น หรือบางทีอาจจะเป็นฉันเองที่ได้รู้จัก และคิดทบทวนเกี่ยวกับความฝันของตัวเองมากขึ้น ผ่านการพูดคุยกับเธอครั้งนี้

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in