ต่อค่ะ หลังจากบอกลาน้อง(ในใจ)และเช็คเอาท์จากโรงแรม ลุงก็มาขึ้นเรือเพื่อไปสถานีรถไฟ
หน้าหงอยๆ ....คิดดีแล้วที่จากมา ขืนพักต่อในโรงแรมหัวใจคงเตลิดไปมากกว่านี้แน่...
"ขอตั๋วรถไฟกลับมิวนิค"
มานั่งรอที่เก้าอี้รอขึ้นรถไฟ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก มีใครเป็นอะไร?
คนป่วยนี่! รึว่าโรคระบาดที่ลือจะเป็นจริง เวนิสไม่ปลอดภัยแล้ว...
เจ้าหน้าที่มาบอกว่าสัมภาระของลุงเกิดส่งไปผิดที่ ให้คุณลูกค้าขึ้นรถไฟไปก่อนได้เลย เดี๋ยวของจะส่งตามไป... ลุงได้ยินก็โกรธ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าสัมภาระไม่ตามมาด้วย! เดี๋ยวจะไปขอตั๋วคืน! หงุดหงิดชะมัด กลับโรงแรมไม่กลับมิวนิคแล้ว!!
ทำโมโหปึงปังไปงั้น แต่ในหัวใจนั้น... กลับอิ่มเอม
ชิลๆ แข็งแรง มีกำลังวังชาขึ้นมาทันที
อากาศวันนี้นี่มันดีจังน้า กลับโรงแรม จะได้กลับไปเห็นหน้าน้อง
ถึงโรงแรมปั๊บก็ส่องน้องต่อเลยทันที มองลงไปจากหน้าต่างที่ห้องพักเห็นน้องเดินเล่นที่หาด
รวบรวมความกล้าโบกมือทักทาย แต่ก็ดูเหมือนน้องไม่ได้ทันสังเกต
ลงไปข้างล่างก็ได้
หามุมสงบ สายตามองหา Tadzio อยู่ไหนน้า
เห็นครอบครัวที่มาพักผ่อนกันมีความสุข นึกถึงช่วงเวลามีความสุขในชีวิตของตัวเองมีลูกสาวและภรรยา
กลับมาที่ปัจจุบัน น้องขึ้นจากทะเลตัวเปียก ผมลู่แนบแก้ม
ตีลังกา เล่นมวยปล้ำกับเพื่อน
นายแม่เรียก... พี่เลี้ยงไปพามา
แม่ครับผมมีเปลือกหอยมาฝาก...
หน้าตามอมแมมหมดแล้วลูก เช็ดๆๆ
เปลี่ยนเสื้อ เดี๋ยวเป็นหวัด
นั่งพักตรงนี้ซะนะ
พี่เลี้ยงเอาส้มมาให้
ขณะเดียวกันลุงก็มองความสดใสน่ารักอย่างชื่นชม....
เมื่อดูไม่มีอะไรแล้ว ก็เลยลุกไปทำงานของตัวเองบ้าง....
แต่มีหรือที่น้องจะยอมปล่อยให้ลุงทำงานสงบๆน่ะ
เดินผ่านหน้าเต้นท์ที่ลุงนั่งทำงาน
หันมามองสบตากันพอดี...
......
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลุงเดินไปผ่อนคลายริมหาด หาอาหารตาอีกเช่นเคย
น้องTadzio ในชุดแดงที่ 2 นาฬิกา กับกลุ่มเพื่อนๆ
เพื่อนทิ้งน้องไปกันหมด เหลือน้องยืนอยู่คนเดียว.... ทำไงดี ทำไงดี....
พอก้าวขาเดินออกไป ก็ถูกน้องเดินตัดหน้า
ย้ายจากเสาฝั่งขวา มาซ้าย เดินตัดหน้า ย้ายจากเสาฝั่งซ้ายมาขวา... ถูกน้องจ้องกลับมาไม่หยุด
แล้วน้องก็วิ่งหนีไป....
ทิ้งคนแก่ยืนกุมหน้า กุมอก กุมใจ ใจไม่ดีอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง...
......
ช่วงบ่ายคล้อย ณ ล๊อบบี้โรงแรม กุ๊สต๊าฟเจอ Tadzio อีกครั้งที่เปียโน
ยืนมองดูน้องเล่นเปียโนเงียบๆ แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวอีกแล้ว
น้องค่อยๆหันมามองลุงช้าๆ
รีบก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตา... บรรยากาศเริ่มมาคุ
ขณะเดียวกัน
พนักงานโรงแรมเดินมาพอดี ลุงจึงรีบปรี่ไปหาเรื่องคุย
สอบถามเรื่องโรคระบาด แต่ก็ถูกพนง.โรงแรมบอกว่าแค่เรื่องกุขึ้นมาทำให้นักท่องเที่ยวกลัวเกินจริง
ไม่มีอะไรหรอกครับ คุยเสร็จพนง.โรงแรมก็ขอตัว ลุงหันกลับมาอีกที Tadzio ก็ไม่อยู่ที่เปียโนแล้ว
(ทำอย่างกับว่าถ้าอยู่จะกล้าเข้าไปคุยกับน้องเขาอ่ะลุง... - -" )
ด้วยความไม่ไหวแล้วใจฉัน ลุงจึงนึกถึงในครั้งอดีตที่เคยไปใช้บริการโสเภณีที่ซ่องแห่งหนึ่ง
ให้เงินเด็กสาว แต่ก็รู้สึกไม่ดีเลย...
....
กลับมาปัจจุบัน ช่วงค่ำ
เดินสวนกับครอบครัวของน้องที่มากันเป็นหมู่คณะใหญ่เช่นเคย
ลูกสาว นายแม่ พี่เลี้ยงเดินผ่านไปกันหมดแล้ว
อ๊ะ หมวกเหมือนกันเลยย....
Tadzio ที่ชอบเดินรั้งท้ายอยู่ตลอด หันมาสบตาคุณลุง
ไม่มีแม้คำทักทาย มีเพียงรอยยิ้มหยักยกที่ริมฝีปากคู่สวย
น้องยิ้มให้อีกแล้ว ... แล้วก็เดินสวนผ่านไป
ทิ้งให้ชายแก่คนนึงต้องยกมือขึ้นมาโอบกอดตัวเอง
วันต่อมา--ครอบครัวน้องไปประกอบพิธีทางศาสนาที่โบสถ์ในเมือง
ลุงก็ไม่พลาด ที่จะตามน้องหลังจากเสร็จพิธี
เด็กๆไปกับพี่เลี้ยง ส่วนคุณแม่ไปทำธุระ
เดินตามห่างๆ
Tadzioที่ชอบเดินรั้งท้ายเป็นประจำ หยุดยืน
มองไปยังคุณลุงที่ยืนแอบมองห่างๆอยู่หลังเสา
ทั้งสองจ้องมองกัน จนพี่เลี้ยงเรียก
สบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ลุงจะปล่อยให้น้องและคนอื่นๆเดินจากไป
ใกล้ๆนั้นมีคนเทน้ำยาฆ่าเชื้อราดทั่วเมือง
ถามก็ไม่ตอบว่าตอนนี้ในเมืองเกิดอะไรขึ้น ...
กลับมาที่โรงแรมช่วงหลังอาหารค่ำ มีคณะการแสดงมาจากในเมือง น้องยืนรับลมอยู่ริมระเบียง
แอบรู้สึกว่าน้องเริ่มหันมามองแบบเอาจริงเอาจัง
---มองอยู่ได้ไม่มาทักสักที ผมไม่กัดหรอกลุง จริงๆนะ
ส่วนลุงน่ะเหรอ หลบตาอย่างเจี๋ยมเจี้ยมต่อไป...
แถมเย็นนี้กุ๊สต๊าฟยังรู้สึกเหนื่อยๆ(เดินตามน้องในเมืองทั้งวัน ไหนจะเครียดเรื่องโรคระบาดในเมืองอีก)
จนนักแสดงเข้ามาขัดจังหวะ...
(ก็มัวแต่ดูเชิงกันอยู่นั่นแหละ... เฮ้อ.... )
แต่จะให้ลุงทำไรได้ ครอบครัวเขาอยู่ใกล้ๆนี่เอง ฮืออออ T^T
ลุงใช้จังหวะให้ทิปนักแสดงถามเรื่องโรคระบาด...ก็ไม่ได้รัับคำตอบอีกเช่นเคย
ลุงนั่งเครียดจนดึก
เช้าวันต่อมาลุงไปธนาคารในเมือง เพื่อขอแลกเงิน
แล้วก็พบกับพนักงานธนาคารที่หน้าด้านข้างเหมือน Armie Hammer !
คนญี่ปุ่นบอกมาว่าเหมือน เออ ดูๆไปก็เหมือน 555
จะออกจากธนาคารก็คิดว่าเขาควรจะถามคนในธนาคารเรื่องโรคระบาดอีกครั้ง
โชคดีที่มีคนยอมบอกความจริงกับเขาสักที
"ตอนนี้อหิวาต์ระบาดทั่วเมืองคนเสียชีวิตจำนวนมาก ที่ยังนอนอยู่ในรพ.จนเตียงล้นก็มีไม่น้อย"
"ทางที่ดีคุณลูกค้ารีบออกไปจากเมืองนี้ดีกว่า"
ได้รับฟังคำแนะนำแล้วก็รู้สึกไม่ดี... เขาควรไปเสียจากเมืองนี้ดีหรือเปล่า...
รึว่า...
ไปเตือนครอบครัวชาวโปแลนด์เรื่องโรคระบาด
"คุณผู้หญิงกรุณาเชื่อผม อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย พาTadzio และเด็กๆกลับบ้านไปซะ"
คุณแม่เรียก Tadzio จึงเดินมาหา
จะดีไหมถ้าเราเอามือยื่นออกไปสัมผัส
ลูบเส้นผมอันอ่อนนุ่ม
......
เดี๋ยววววว
อย่ามโน!!!
ทำได้ซะทีไหน... ขืนไปเตือนก็จะไม่ได้พบกันอีกแล้วน่ะสิ
ลุงเลยตัดสินใจไปร้านเสริมหล่อ โกนหนวด ย้อมผม
แต่งหน้า
วันนี้ฉันต้องสวย!
T ____ T
ปล.ตอนดูนี่ไม่ได้ตลกหน้าลุงเลยอ่ะค่ะ สงสาร... ฮือออ เฮือกสุดท้ายในชีวิตแกแล้วจริงๆอ่ะ
-
ทว่าเมืองเวนิสในวันนี้กลับเต็มไปด้วยกองไฟที่เผาสิ่งที่จะทำให้เกิดโรค แต่ลุงก็ยังตามน้องต่อไป...
พี่เลี้ยงต้องคอยเรียกน้องที่เอาแต่เดินรั้งท้ายตลอด....
จวบจนพลบค่ำ
เริ่มเหนื่อย.. จับอก หอบแล้ว
รีบแอบหลบมุมเสา ลุงเห็นน้องยืนอยู่เฉยๆ ห่างออกไปไม่ไกลเท่าไหร่นักเป็นกลุ่มครอบครัวของน้อง
น้องหันมาเห็นลุง แต่ลุงก็ยังไม่ยอมออกจากมุมมืดเข้าไปทัก
การประสานสายตา จ้องมองกันครั้สุดท้าย
ทำไมน่ะหรือ เขารู้ดีว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย ความรักนี้ไม่อาจเป็นไปได้
ไม่ช้าครอบครัวน้องก็ต้องเช็คเอาท์จากโรงแรม (เพราะเมืองมันกลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว)
ร้องไห้ ฟูมฟาย เจียนจะขาดใจ
....
เช้าวันรุ่งขึ้น พนักงานโรงแรมบอกครอบครัวชาวโปแลนด์จะเช็คเอาท์บ่ายนี้
ความจริงที่ปวดร้าว
นี่คือเช้าสุดท้ายที่เขาจะได้เจอ Tadzio
นักท่องเที่ยวบางตา หาดทรายเงียบเหงา ส่วนใหญ่กลัวโรคร้ายหนีกลับกันไปหมดแล้ว
กุ๊สต๊าฟหาที่เหมาะๆนั่งดูน้องริมทะเลอีกเช่นเคย
เห็นน้องเล่นกับเพื่อน ไม่ได้มองมาทางตน
ดูเหมือนเด็กสองคนกำลังทะเลาะกัน
น้องโดนรังแก.... ลุงรู้สึกตกใจ!!
รู้สึกเจ็บขึ้นมาในอก.... ปวด...
เหงื่อเริ่มไหลออกมาไม่หยุด สีที่ย้อมผมดำไว้เริ่มละลาย
น้องเดินหนี เพื่อนมาง้อก็ไล่ออกไป
Tadzioเดินอยู่ริมทะเลคนเดียว
ภาพที่สวยงาม ระยิบระยับเสียจนตาพร่า
อาการเจ็บอกยังไม่หายไป ทั้งใจสลายที่ต้องจากกับTadzioด้วย
ความสวยงาม บริสุทธิ์ที่เขาไม่อาจเอื้อมที่จะเข้าไปแตะต้องได้
เมื่อโรคประจำตัวกำเริบ หนนี้มันสามารถคร่าชีวิตของเขา นำพามาซึ่งจุดจบชีวิต
กุ๊สต๊าฟ แอชเชนแบชสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้น
THE END
จบแล้วค่า เป็นอะไรที่ขัดใจมาก..... ฮืออออออ สรุปที่เห็นลูบหัวคือลุงมโนค่ะ ..... แล้วไม่ได้คุยกันสักคำ คำทักสักประโยคก็ไม่มี เราดูว่าน้องก็ไม่ได้รังเกียจอะไรลุงนะคะ เหมือนอยากคุยด้วย พยายามหาเวลาปลีกวิเวกมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆเปิดโอกาสให้ลุงเต็มที่แล้ว ลุงไม่คว้าโอกาสนั้นเพราะละอาย เพราะกลัว เพราะแก่ ฉากแต่งหน้า ฉากลุงร้องไห้เป็นอะไรที่เราสะเทือนใจมากๆเลยค่ะ ดูจบเศร้าหน่วง สงสารเสียดาย คือทั้งเรื่องเราเอาใจช่วยลุงมากๆอ่ะ แถมตอนจบก็มาตายน่าสงสาร คือโรคหัวใจกำเริบ แทนที่มาพักผ่อนจะคลายเครียด นี่ลุงเครียดทุกซีน มีฝันร้าย ต่อสู้กับภายในจิตใจเบื้องลึกตนเองอีก เฮ้อออ
สำหรับเราแล้ว "Death in Venice" เป็นหนังอีกเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ ภาพสวย กลิ่นอายคลาสสิกแบบเก่าๆ หนังเรื่องนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่รางวัลมากๆเลยค่ะ ได้ทั้งจากรางวัลที่คานส์ BAFTA (กวาดเยอะเลย) เข้าชิงออสการ์เครื่องแต่งกาย เหนือสิ่งอื่นใด น้องที่เล่นเป็นTadzio ตอนนั้น (คุณ Björn Andrésen) ยังดีงามมากๆ โผล่มาทีไรปังทุกซีน น้องสวยเวอร์ ยิ้มน่ารัก ยิ้มหวานๆมาที
อย่าให้ต้องคุณลุงกุ๊สต๊าฟเลย เราก็ใจไม่ดีค่ะ 5555
โดยส่วนตัวคิดว่าช่วงที่หนังดึงกระชากอารมณ์อย่างที่สุดคงเป็นภาพที่แช่นิ่งๆ ทั้งที่ถ่ายไกลๆ และซูมใบหน้า จับความรู้สึกตัวละคร คลอด้วยซาวด์แทรก Symphony No. 5 by Gustav Mahler -adagietto- เนี่ยแหละค่ะที่แม้จะหยิบมาฟังซ้ำหลังหนังจบก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูกT^T ซึ่งตรงนี้นักวิจารณ์บางส่วนบอกว่ามันดูไม่สร้างสรรค์และเป็นการใช้มุมกล้องแบบโหลๆ แต่เราคิดว่ามันโอเคเลยทีเดียว คู่ควรรางวัล BAFTA Best Cinematography แล้ว (แถมPasqualino De Santisก็เพิ่งคว้าออสการ์ไปหยกๆเมื่อ 1969) เราคิดว่าสำหรับหนังเรื่องนี้ที่เด่นสุดก็เป็นCinematography แหละค่ะ 55555
มุมมองบางส่วนของคนที่ได้อ่านนิยายมาก่อน อาจจะไม่ถูกใจ Death In Venice แบบฉบับของวิสเคาตี้นัก อย่างแรกการเปลี่ยนอาชีพของแอชเชนแบช อย่างต่อมาคือการใส่ความ"หื่นกระหายทางเพศ" ที่มีต่อตัวน้องมากเกินกว่าบทประพันธ์ดั้งเดิมของโทมัส แมนน์มี ส่วนใหญ่ฉบับนิยาย ความรู้สึกของแอชเชนแบชจะเป็นไปอย่างยกย่อง เชิดชู หลงใหลในความสะอาด บริสุทธิ์ แห่งความเยาว์วัย ซึ่งตรงนี้เรากลับเห็นว่ามันก็ขึ้นอยู่กับการตีความ ในยุคที่นิยายออกตีพิมพ์ 1912 ความโจ๋งครึ่มของวรรณกรรมชายรักชายเป็นสิ่งต้องห้าม ตัวโทมัส แมนน์เองก็เป็นนักเขียนดัง การจะใส่ให้ตัวละครลุ่มหลงในตัณหาเกินกว่าความพอดีแบบศิลปะก็ดูเกินจำเป็นและไม่เป็นผลดี แม้ว่าบางส่วนเราก็แอบเห็นด้วยกับคำวิจารณ์ ที่การใส่ซีนโสเภณีมามันออกจะดูประดักประเดิดและเป็นการเปรียบเทียบTadzio ผู้สูงค่ากับผู้หญิงบริการ ก็ดูเป็นความจงใจของผู้กำกับที่ออกจะล้ำเกินบทประพันธ์ไปเสียมากอยู่ก็ตามค่ะ
สรุป เราให้ 4 / 5
หัก1คะแนนที่ไม่ค่อยตรงกับบทประพันธ์และการตัดไปตัดมาตอนลุงคิดถึงอดีต ที่เราคิดว่าบางซีนก็เหมาะสม บางซีนก็ไม่เหมาะสมค่ะ
(น้อง ลุง แล้วก็ผกก. งานเทศกาลหนังเมืองคานส์ค่ะ)
ทีมงานวอร์เนอร์และผกก.ไปออดิชั่นเด็กๆทั่วยุโรป ตอนแรกอยากได้เด็ก 12 y แต่ก็ไม่ถูกใจมาเจอหนุ่มสวีดิช อายุ14 ที่ออร่าจับมาก แม้จะตัวสูงไปนิด อายุเกินไปสักหน่อย แต่ในที่สุดคุณ Björnก็ได้มาสวมบทเป็นน้องที่ใครๆเห็นก็ต้องตกหลุมรักค่ะ ^^
ส่วนที่เรื่องนี้ดังมากที่ญี่ปุ่น เพราะTadzio นำเทรนด์เด็กผู้ชายตาหวานที่นั่นเลยค่ะ นักเขียนการ์ตูนทาเคมิยะ เคโกะยังเอาไปเป็นแบบ ส่วนคุณBjörnก็ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาให้ที่ญี่ปุ่นอยู่หลายชิ้น แม้ว่าตอนนี้จะทำงานในแวดวงดนตรีเป็นนักเปียโนไปแล้วก็ตามค่ะ
ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดสำหรับรีัวิวแบบแฟนเกิร์ลอันนี้ก็ติชมได้นะคะ สามารถบอกให้เราเพิ่มเติมแก้ไขได้ค่ะ สุดท้ายขอฝาก Call me by your nameด้วยค่ะ5555 (Tie in ซะเลย) อยากให้อ่านนิยายก่อนไปดูในโรงมากๆ นิยายดีมากๆ ใครเป็นแฟนเรื่องนี้แอดมาคุยกับเราได้น้า @ifnotlater_when
ขอบคุณที่อ่านจนมาถึงตรงนี้ค่ะ //
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in