เริ่มการเดินทางโดยรถไฟ
ขั้นแรก เราเริ่มจากการจองตั๋วออนไลน์ทาง เว็บไซต์ : https://www.thairailwayticket.com/eTSRT/
กรอกข้อมูลเพื่อค้นหาขบวนรถที่เราต้องการจะเดินทาง เราเดินทางจากหาดใหญ่ไปกรุงเทพฯ ก็คือสถานีหัวลำโพง จะต้องเลือกสายใต้ จองครั้งแรกงงไปหมด เค้าดูกันยังไง แต่สุดท้ายก็จองได้สำเร็จ ทั้งไป-กลับ ซึ่งเป็นขบวนตู้นอนชั้น 2 ขาไปเป็นตู้นอนธรรมดา แต่ขากลับเป็นแบบตู้นอนเฉพาะผู้หญิง
ขาไป รถออก 18.10 ถึงกรุงเทพฯ 10.10 ออกจริง 18.20 ถึงกรุงเทพฯ 11.40 โดยประมาณ
ขากลับ รถออก 15.10 ถึงหาดใหญ่ 07.20 ออกจริง 15.18 ถึงหาดใหญ่ 07.40 โดยประมาณ
ขากลับถือว่าทำเวลาได้ดีมากนะ ไม่เหมือนขาไป ที่เลทไปชั่วโมงกว่า ๆ
ตู้นอนรถไฟสำหรับเรามันไม่ได้สบายอย่างที่คิดไว้ ตอนนั่งไม่เท่าไหร่ แต่พอตอนนอนเท่านั้นแหละ เราจะปวดหัวมาก เนื่องจากรถไฟจะวิ่งตลอด และมีการสั่นสะเทือนทำให้นอนไม่หลับ แต่ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ถือว่าสะอาดดีมาก ที่สำคัญคือนอนชั้นบน กลัวตกมาก5555 เป็นคนนอนดิ้น นี่ถ้าไม่มีสายรัดข้างๆ คงตกเตียงไปจริง ๆ
แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ คือมิตรภาพระหว่างการเดินทาง ขอบคุณครอบครัวพี่ซี ที่อยู่คุยด้วยตลอด พี่ซีเป็นกันเองมาก ๆ แถมเลี่ยงน้ำหนูอีก ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
19/01/63 เวลาประมาณเกือบเที่ยงหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ
เมื่อถึงสถานีหัวลำโพง ทันทีที่ฉันก้าวเท้าออกมาตรงทางออกกำลังจะไปยังป้ายรถเมล์ ชาวรถบริการสามล้อ พี่วิน เรียกร้องให้ฉันไปใช้บริการของพี่เขาสักที นี่ได้แต่เดินหนีแบบไม่หันหลังกลับไปมอง หนูขอโทษนะคะที่ไม่ได้อยากใช้บริการพวกพี่ ๆ สู้ราคาไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ
เอาล่ะ เรามารอรถเมล์กันดีกว่า เสิร์ชในเน็ตมาว่าเราต้องรอรถสาย 73 รอนาน รอไป เอ๊!!!! ทำไมไม่มาสักทีนะ ลองหาวิธีอื่นดีกว่าที่เราสามารถจะไปโรงแรมที่จองไว้ได้ ตอนเย็นก่อน 16.50 เราต้องไปรับบัตรเข้าโรงหนังอีก ก็เลยได้วิธีหนึ่งนั่นก็คือนั่ง MRT สายสีน้ำเงิน และต่อไปยัง BTS สายสีเขียว นี่งงไปหมดมันมีกี่สายวะ แล้วมันต้องต่อยังไง งงไปหมดเลยจ้าาา
ชีวิตนี้ไม่เคยใช้ MRT หรือ BTS มาก่อน เอาล่ะวะ ยังไงวันนี้ก็ต้องลองไปก่อน เดินลงไปชั้นใต้ดิน ไปที่ตู้อัตโนมัติ เอ๊ะจิ้มตรงไหนนะ ทำไม่เป็น เลยเดินไปที่เคาเตอร์ถามพนักงาน
----พี่คะไปสนามกีฬาแห่งชาติค่ะ
**โดยสาร 2 ป้าย ต้องลงที่สถานีสีลม แล้วเดินไปต่อสายสีเขียวที่สถานีศาลาแดงนะคะ
----ขอบคุณค่ะ
ปรากฏว่าดิฉันนั่งลืม นั่งเอ๋อ จนรถวิ่งไปยังสถานีสุดท้าย สถานีเตาปูน!! ค่ะ ฉันนั่งเลยสถานีมาไกลมากแม่เจ้า เลยต้องไปจ่ายเงินเพิ่มที่เคาท์เตอร์ และนั่งใหม่ 55555 เด๋อด๋ามากอิบ้า
มาจ้ะ เรามาเริ่มกันใหม่ เริ่มกันที่ MRT สถานีเตาปูน นั่งไปอีก 3 ป้ายลงที่สถานีสวนจตุจักร และเปลี่ยนไปขึ้น BTS สายสีเขียวอ่อนที่สถานีหมอชิต เพื่อไปลง สถานีสยาม
จากนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนขบวนเป็นสายสีเขียวเข้ม เรียกว่าสายสีลม เพื่อต่อไปยังสนามกีฬาแห่งชาติ
งานนี้เหนื่อยโคตร เหนื่อยกับการหลงทาง เป็นยัยบ้าเดินวนสถานี555 บางทีเดินออกผิดทางบ้าง มองหาทางขึ้นสถานีไม่เจอเพราะมันอยู่ข้างหลัง (ชั้นไม่หันหลังไปมองมันเอง) แต่ก็นะ มองย้อนไปก็ตลกดี กว่าจะถึงโรงแรมก็ 15.00 ได้เวลาเช็คอินพอดี
จองแบบห้องหญิงล้วนไว้ แต่สรุปว่าคืนนั้นนอนคนเดียว ไม่มีรูมเมท555 ส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ ก็จะพักรวม ๆ กันที่ชั้นบน ห้องน้ำสะอาดมาก ที่สำคัญคือติดกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ลงบันไดปุ้บหันไปทางซ้ายมือก็เจอเลย
และขากลับเราเช็คเอาท์ตอน 11 โมงครึ่ง ตอนแรกว่าจะแวะเที่ยวสักนิด แต่รู้สึกเพลีย+ขี้เกียจ เลยคิดว่าไปหัวลำโพงเลยดีกว่า เลยเรียกพี่วินหน้าโรงแรม เสียไป 60 บาท
ก็นั่งรอรถไฟไปเรื่อย ฟังเพลงบ้าง ดูหนังบ้าง เเก้เบื่อ แก้เซ็ง จนได้คุยกับพี่คนนึง พี่เขาชื่อป้าแมว ทุกครั้งที่พูดด้วยเขาแทนตัวเองว่าป้าตลอด แต่ว่าเราทำงานบริการ ติดเรียกคนที่อายุเยอะกว่าว่าพี่ เราเลยเรียกเขาว่าพี่แมว พี่แมวกำลังจะไปหาแฟนที่สุราษฏร์ธานี พี่แมวเป็นคนที่เมาท์เก่งมาก เมาท์แตก แถมนินทาลูกเยอะมาก555
พี่แมวมีลูกทั้งหมดสามคน ฟาง โฟล์ค ปริ๊น พี่และน้องตามลำดับ ถ้าจำไม่ผิดนะ สิ่งหนึ่งที่สำผัสได้จากผู้หญิงคนนี้ คือทุกครั้งที่พูดถึงพี่ฟางลูกคนโต นัยน์ตาที่เราเห็นจะมีความภาคภูมิใจในตัวพี่ฟางมาก เราได้ฟังที่เขาเล่า ยังคิดเลยว่าพี่ฟางนี่เป็นผู้หญิงที่เก่งจังเลยนะ บางทีเราก็อยากทำให้ได้อย่างพี่ฟางบ้าง เรากับเขาก็เมาท์ไปเรื่อย แต่ทุกครั้งที่เล่าพี่แมวจะชอบเหน็บแนมลูกคนเล็ก ใช่แล้ว ปริ๊น นั่นเอง
จากเท่าที่ฟังมาปริ๊นคือน้องสุดท้องที่ค่อนข้างมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ มีบุคลิกเข้มแข็ง แต่ภายในอาจจะเป็นคนที่เปราะหรืออ่อนไหวได้ง่าย แล้วก็กวนตีนนิดๆ ฟังพี่แมวพูดเเล้วเพลินมาก เหมือนพี่เขาก็ดีใจที่ได้พูดถึงลูก ๆ ของเขาเอง เราก็เป็นผู้รับฟังที่ดี อาจจะมีถามบ้างเสริมบ้าง ตามประสาคนพูดคุยกัน แต่เรายอมรับเลยว่า พี่แมวนี่คุยเก่งจริง ๆ
เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ
ตู้ที่นั่งขากลับนี้ เป็นตู้เฉพาะเลดี้ ส่วนใหญ่เป็นหญิงมุสลิม เราได้นั่งกับหญิงมุสลิมท่านหนึ่ง เป็นชาวมาเลเซีย เขาพูดไทยไม่ได้ พูดอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ชอบแบ่งขนมให้ตลอด ให้ผลไม้เรากิินด้วย ถึงแม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เราสัมผัสได้ว่าเขาเป็นมิตร ก่อนจากกันเราก็ไหว้สวัสดีตามธรรมเนียมของคนไทย และบอกเป็นภาษาอังกฤษ "Have a good time" ให้แก่เขา ถือว่าเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต มีค่าพอให้จดจำตลอดการเดินทาง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in