เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
อย่าเข้ามาอ่านdi_saren
บันทึกของบะบิ 01 : ปิดร้านแล้วเขียนได้
  • ไม่รู้ว่าคิดถูกไหมที่เริ่มบันทึกเรื่องพวกนี้เก็บไว้ ถ้าสายตายอมแพ้ให้กับความง่วงเหมือนกับทุกคืนมันก็จบแล้ว ใครๆก็รู้ว่าการหลับตาไม่ใช่เรื่องยาก แต่การปล่อยให้เข้าสู่สภาวะหลับใหลกลับไม่ใช่เรื่องง่าย  


    และไม่ใช่สำหรับคืนนี้ หรือขณะนี้

    คืนที่ความหม่นหมองแปรสภาพเป็นดินชั้นดีคอยหล่อเลี้ยงหัวใจเปราะบางให้เติบโต รากอ่อนของความเจ็บปวดแตกหน่อชอนไชไปทั่วนัยน์ตา แทงลงรัดพันก้อนเนื้อในอกบีบให้มันเต้น ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้พัก 

    บันทึกนี้ไม่ใช่การพูดคุยกับใครที่ผ่านมาพบ มันคือการชดเชยให้กับเสียงที่ไม่มีโอกาสได้ลอดผ่านลำคอ ไม่สามารถ 'เอ่ย' ออกมา แอบหวังอยู่ลึกๆว่าจะหลับได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และจุดประสงค์ก็มีแค่นั้นจริงๆ


    20 กว่าปีดูเหมือนนาน แต่ก็อาจไม่นานเท่าไหร่หากเทียบกับคนอื่น เวลาชีวิตทั้งหมดก้าวเดินตามแบบแผน หมุนวนกับการร่ำเรียนและความเพ้อฝัน รู้สึกดีที่เป็นพวกขี้เพ้อ อย่างน้อยโลกความฝันก็ไม่แย่เท่าความจริงที่เจอ

    2 ปีแล้วที่หมดไฟ หมดความกระหายจะพุ่งทะยานไปข้างหน้า นอนเช้าน่ะเป็นเรื่องปกติของคนกลางคืน ร้านชำกะดึกที่เข้าประจำทุกๆวันตั้งแต่6โมงเย็น-เที่ยงคืนหยิบชีวิตของเราวางไว้ใต้สีสันของกรุงเทพ 

    สีหม่นๆดำๆเปื้อนควันรถไฟและเขม่าดำจากปล่องเมรุ โลเคชั่นสุดตีนสมกับเป็นร้าน(บ้าน)​แสนสุข เช็คอินในสลัมเล็กๆข้างหัวลำโพง 

    อ่า...

    ไม่ไกลเท่าไหร่มันก็เยาวราช เลยไปนิดนึงก็สามย่าน ห้างขึ้นถี่ยิ่งว่าเสาไฟฟ้า มันรู้สึกจริงๆว่าได้ใกล้ชิดกับเมืองที่ระยิบระยับไปด้วยแสงสีตลอดค่ำคืนเหมือนกับไม่เคยหลับใหล


    ว่ากันว่าเราจะมองเห็นแสงได้ชัดที่สุดเมื่ออยู่ในที่มืด


    ถึงว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันสุกสว่างนัก 


    ถึงว่าทำไมถึงรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่


    มันเหมือนกับมีภูเขาสูงใหญ่สัก 3-4 ลูกตั้งอยู่เป็นดงตรงหน้า ถามว่าเราได้ยืนอยู่ตรงไหนของเขาลูกนี้ ยอดเขาที่สูงพอจะมองเห็นอะไรสวยงาม ชีวิตนี้คงไปไม่ถึงถ้าไม่ได้เกิดมาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้น ส่วนตรงกลางก็ดูชันอยู่ลำบาก ดีไม่ดีอาจตกลงมาได้ง่ายเหลือเกิน พอเหลียวมองตีนเขาก็ดูจะ...ยังไงดีล่ะ 

    ไม่เลย

    ไม่มีที่ของเรา ไม่มีตรงไหนเลยที่อยากจะอยู่ แต่เอาจริงๆก็หนีความยิ่งใหญ่ของมันไม่พ้น บางทีก็นึกชื่นชมว่ามันสวยดีแต่ในขณะนั้นความยิ่งใหญ่ของมันที่ค้ำหัวก็ทำให้รู้สึกตัวนิดเดียว อาจจะเล็กมาก และถูกเขาทับตายได้ในสักวันนึง

    บางทีที่ตรงนั้นอาจเป็นของเรา
    .
    .
    .
    .
    .
    เอาล่ะ

    ตอนนี้ 8 โมงกว่าแล้ว เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะ 6 โมงเย็น รูททำงานก็จะวนกลับมา แต่วันนี้มันพิเศษ 28 มีนา 2563 จดไว้หน่อยว่าช่วงน้ี้มีโรคระบาด(โควิด)เล่นงานทุกๆคน วันที่รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ 5000 บาทเป็นเวลา 3 เดือน(คือเดือนละ5พัน 3 เดือน) แม่ย้อย! กูเข้าลิสต์ทุกอย่าง อาชีพอิสระ ไม่มีประกันสังคม ลูกค้าหายไปกว่าครึ่งเพราะกักตัวในบ้าน

    ตัง 5 พันสำหรับกูที่มีคนที่บ้านคอยซัพพอทมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก ได้ก็เอามาหมุนเป็นทุนขายของ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะมันก็พอมีอยู่บ้าง โชคดีที่ไม่ขาดแคลน แต่สิ่งที่ทำให้กูเนื้อหอมในวันนี้คือคอมเก่าๆ กับไวไฟธรรมดาๆที่แบ่งกันใช้ในบ้านและคุณลุงข้างบ้าน(ที่นิสัยดีหน่อยเลยหยวนๆให้ใช้ฟรี)​ หนทางลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ทางออนไลน์ที่โคตรกระท่อนกระแท่นจึงกลายเป็นสปอตไลต์​ติดไฟกระพริบ​ฉายมาที่หน้ากู

    พ่าม! พาม!

    ลูกค้าหลายคนตบเท้ามาที่ร้าน เนียนๆซื้อของและขอให้ช่วยลงทะเบียนให้หน่อย บ้างว่ากลัวสิทธิ์​เต็มถ้าลงช้า บ้างว่าทำไม่เป็น บ้างว่าไม่มีคอมหรืออินเตอร์เน็ตเพราะมือถือที่มีก็แค่เครื่องปุ่มกดธรรมดา มีหลายเหตุผลมากมายจนจำแทบไม่หมด

    ในตอนแรกที่โดนรุมขอให้ช่วยมีคนนึงขอแค่รหัสไวไฟบ้าน บอกว่าเอาแค่นั้นเดี๋ยวจะลองลงทะเบียนเอง ถ้าเป็นกูตอนเด็กกว่านี้ก็อาจจะให้เพราะสงสาร แต่หลังจากรู้ว่าคนที่ขอติดเล่นพนันออนไลน์ก็เลยพับเรื่องให้รหัสดีดทิ้งจากหัว พอจะเดาได้รางๆว่าปลายทางของเงิน5พันจะไปจบที่ไหน และก็เดาต่อได้ด้วยว่าคงไม่มีวันล็อคเอาท์ออกจากไวไฟบ้านกูหรอก มีเน็ตฟรีเล่นสล็อตออนไลน์ใครมันจะไม่ชอบล่ะจริงไหม

    ความหมั่นไส้ล้วนๆทำให้นึกอยากปฏิเสธไม่ช่วยใครเลยแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะลูกค้าคนนึง แกชื่อ ป้าอ้อย

    ป้าอ้อยเป็นคนที่ทำให้กูตั้งคำถามกับตัวเองนะว่ามนุษย์คนนึงจะทำงานไปได้ถึงอายุเท่าไหร่ เท่าไหร่ที่เราควรเกษียณตัวเองไปพักผ่อนอยู่บ้าน ทำในสิ่งที่ชอบ เฝ้ารอวาระสุดท้ายมาถึงอย่างเรียบง่าย กูว่าสัก 30 ให้กูมีชีวิตอยู่รอดในสังคมแบบนี้โดยไม่ตายก็เก่งแล้วล่ะ แต่ถ้าตอนนั้นยังไม่ตายจริงๆก็อยากอยู่สัก 60 แล้วเกษียณตามเรทมาตรฐาน ไม่ก็ 65 แต่ป้าอ้อยไม่เป็นแบบนั้น


    ป้าอายุ70กว่า ป้าโคตรแข็งแรง กูบอกเลยว่าโคตรๆแข็งแรง(และคอแข็งมากด้วย) ป้าเป็นคนเข็นน้ำขายในหัวลำโพง พวกน้ำเปล่า น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ใส่รถเข็นเหล็กๆสนิมเขรอะกับลังโฟมเก่าๆ มันหนักมาก กูเข็นให้แกบ่อยๆเวลาแกเอามาจอดหน้าร้าน ซื้อของนั่นนี่ใส่รถ งงว่าผู้หญิงอายุ70เอาแรงจากไหนมาเข็นนักวะ จริงๆก็ตอบไม่ยากหรอก

    หนี้

    พลังสำคัญที่ทำให้คนเลือกว่าจะต่อ หรือจะตาย แต่คนใจสู้แบบป้าอ้อยไม่ยอมตายเพราะเรื่องแค่นี้หรอก คนจนน่ะตายยาก ป้าเคยบอกกูกับปากตอนเป๊กเหล้าเสือให้หายเหนื่อยหลังจากเข็นน้ำตั้งแต่ตี4จนถึงเย็น กูเชื่อแกนะเพราะเห็นมากับตา ความจนเคี่ยวกระดูกแกจนแกร่ง บิดเส้นเลือดขอดเขียว บีบกล้ามเนื้อให้โปนปูด ขูดผิวหนังกร้านหยาบ บางค่ำคืนมันโหดร้ายถึงขนาดที่โถมแทงความท้อแท้สิ้นหวังลงในใจ ไม่เคยอ่อนข้อ ไม่หยุดจนกว่าจะได้รีดพลังชีวิตจากดวงตาเปียกชื้นที่มีความขมขื่นท่วมขังอยู่ในนั้น 

    กูเห็นป้าอ้อยร้องไห้ไม่บ่อย เพราะไม่กล้าจ้องตาแกตรงๆ มันเศร้าแล้วก็หดหู่จนทำใจแข็งมองไม่เคยได้ ค่ำของเมื่อคืนแกมาซื้อเหล้าจะนั่งกินเป็นเพื่อนจนกว่ากูจะปิดร้านเหมือนทุกคืน

    แกเริ่มเล่าให้ฟังว่าวันนี้ไม่ได้ขายของเลยไม่ลงน้ำเพิ่มเพราะแกไปธนาคาร แกเล่ารายละเอียดที่ไปคุยกับเเบงค์เรื่องขอลงทะเบียนและทางนั้นบอกว่าให้ลงออนไลน์ได้เลย 

    แกขอว่าช่วยลงทะเบียนให้ได้ไหม 

    แน่นอนว่ากูโอเค ยินดีช่วยเลยแหละ เพราะรู้ว่าแกไม่มีเงินจริงๆ ไม่ต้องถามถึงหน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมืออะไรนะ เอาแค่ซื้อข้าว ซื้อเหล้ากินไม่ให้มือสั่น(แกติดเหล้าซึ่งเคยพยายามหยุดกินแล้วผลคือเป็นไข้และสภาพแย่มาก ทุกวันนี้เลยแค่กินให้มือไม่สั่น จะได้นอนหลับง่ายๆ -แกบอก และมันอาจจะไม่จริง แต่แกบอกแบบนั้น-)​ เอาเงินซื้อของทำทุนยังไม่ค่อยมีเลย มีแค่หน้ากากผ้าอันเก่าที่ซักแล้วใส่ซ้ำๆตั้งแต่pm2.5เริ่มฟุ้งลากยาวมาถึงทุกวันนี้


    แกขอให้กูช่วยลงทะเบียน บอกว่าช่วยหน่อย ถ้าได้เงินเมื่อไหร่จะให้กูพันนึง มันเยอะมากนะ กูบอกแกไปแบบนั้นและบอกให้แกเก็บเอาไว้ใช้หนี้ที่ติดร้านกูก็ได้ ไม่ต้องให้ค่าลงทะเบียนอะไรหรอก กูแค่ช่วยเฉยๆไม่ได้มีอะไร แต่แกก็ยังคงดึงดันอยู่แบบนั้น กูเลยเปลี่ยนเรื่องคุย บอกแกว่าต้องใช้เอกสารอะไร บัตรประชาชน บัญชีธนาคารแล้วก็เบอร์โทรศัพท์​

    ไม่มี

    แกไม่มีเบอร์โทรศัพท์​ กูย้ำไปว่ามันต้องใช้นะป้า เบอร์เก่าป้ามีไหม(เท่าที่จำได้แกเคยมีมือถือปุ่มกดเล็กๆเครื่องนึง)​แกบอกกูว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว ไม่มีโทรศัพท์​ใช้มาจะปีแล้ว ตอนนั้นกูอึ้งไปนิดนึง แกบอกว่าลูกแกเอาไปขายเอาเงินมาลงทุนที่ขายของ


    มันเหมือนจะดีถ้ากูไม่รู้


    ว่าจริงๆลูกแกติดไอซ์กับหวยเถื่อน


    กำไรขายของของแกมันพอมีกินนะ เหลือกินเหล้าที่เป็นความสุขเล็กๆของแกได้วันละ50-60บาท แต่พอลูกแกกลับไปติดยา ทุกอย่างก็แย่ลง แย่ลงถึงขั้นที่ว่าข้าว3มื้อของแกคือผักกับน้ำพริก ซึ่งผักก็หาเอาที่มันเลื้อยๆขึ้นๆอยู่แถวหัวลำโพง แล้วคนใช้แรงงานจะมีแรงได้ยังไงวะ 

    ตอนนั้นเลยเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงถามแกทุกครั้งเวลาเห็นแกกินข้าว คอยแบ่งกับข้าวหรือแกงที่ทำเล็กๆน้อยๆให้เป็นน้ำใจ แกไม่เคยเอาเปล่าเลย แกเกรงใจทุกๆครั้งที่มีใครหยิบยื่นอะไรให้ และรับแต่ของที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น มันน่าเศร้าตรงที่แกเอาเงินไปซื้อแกงรอลูกกลับมากินข้าว แต่ลูกก็ไปเมายาจนกลับมาเช้าอีกวันนึง แกรู้นะว่าลูกติดยา ทั้งด่าสารพัดจนเหมือนเสียใจจนสุดแล้วเลยไม่ยุ่งกันอีก ทุกอย่างก็เลยวนมาอยู่ตรงนี้

    ขอยืมเบอร์โทร​ศัพท์​ได้ไหม 

    น้อยครั้งมากจริงๆที่แกจะออกปากขออะไรจากใครสักคน และก็น้อยครั้งมากที่กูจะได้มองตาแกตรงๆแบบนี้ มันก็ยังหดหู่ หดหู่เหมือนเดิม หดหู่กว่าเดิมเหมือนความขมขื่นที่ท่วมข้ังในตาฝ้าฟางทะลักเข้ามาในใจของกูเงียบๆ 

    โอเค

    กูส่งยิ้มที่ไม่รู้จะเรียกว่ายิ้มแบบไหนไปให้แก มันไม่น่าจะเป็นยิ้ม แต่น่าจะเรียกว่าพยายามยิ้มมากกว่า บอกแกว่าวันนี้ 6 โมงเย็นจะลงทะเบียนให้นะ ให้แกมาเจอกูที่ร้านแล้วเราจะนั่งลงทะเบียน ซึ่งนี่จะเที่ยงแล้ว เหลือเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงให้นอน คิดว่าคงนอนได้สักทีเพราะอะไรที่คาอยู่ในหัวก็ถ่ายออกมาหมดแล้ว 

    ถ้าพิมพ์ผิดตรงไหนก็ขอโทษนะเพราะกดๆจิ้มๆใน​โทรศัพท์​อาจจะนิ้วเบียดพิมพ์ผิดและออโต้คอเร็กกวนตีนในบางจังหวะ สำหรับใครที่หลงมาอ่าน มันไม่ได้ตรวจปรูพหรือว่าจัดอะไรมากมาย แค่อยากระบายก้อนอึดอัดนี้ออกไป ถ้ามันเละเทะไม่ค่อยเข้าใจก็ข้ามผ่านไปตามที่ใจปรารถนา แต่สิ่งที่จดไว้มันคือเรื่องจริงที่มีโอกาสได้เจอ แล้วก็อยากเก็บเอาไว้เพราะกลัวว่าสักวันนึงความทรงจำจะทำมันหายไป

    ถ้าลืมมันไปคงเสียดายน่าดู

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in