เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ไทยแลนด์ แดนอบอุ่นKawiss.sara
[Review : จากท่าช้าง วังหลัง ถึง ย่านสามแพร่ง]
  • จริงๆแล้ว เราอยากถ่ายรูปในกรุงเทพฯ ช่วงกลางคืน
    เลยคิดว่าอยากออกไปย่านเมืองเก่า พระนคร
    เพราะเคยไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวระแวกนั้นแล้วได้ความรู้สึกที่ว่า
    กรุงเทพฯ ตอนกลางคืนแถวนี้ก็มีอีกมุมนึงให้มองเหมือนกัน

    เริ่มต้นที่ - ท่าช้างวังหลัง - 
    เพราะเรามาโดย เรือธงเหลือง ตอนประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ
    ร้านค้าแถวนั้นก็ปิดกันหมดแล้ว แต่ถึงปิดก็ยังมีความน่ามองอยู่ในอีกมุมนึง
    เพราะในความเงียบก็มีความคลาสสิคในทรงของตึกสไตล์ยุโรปที่เปิดไฟแบบพอดีๆอยู่
    ตึกแถวนี้เป็นทรงเดียวกับตึกแถวหน้าวัดพระแก้ว ฝั่งหน้าพระลาน ติดกับม.ศิลปากร
    เป็นสไตล์นีโอคลาสสิค ซึ่งนี่ก็นิยมพอสมควรใน ศ.ต.ที่ 18
    ตึกเก่าที่คลาสสิคระแวกนี้ ได้บูรณะล่าสุดไปตอนปี 2553 

    เราเจอตึกสีเหลือง ประตูฟ้าของร้านค้าระแวกนั้น  ซึ่งนิยมเรียกว่า "ตึกแถวท่าช้าง"
    เราเลยไปยืนฮิปส์ๆ ชักภาพ แล้วเดินไปท่ามหาราชต่อ แบบคูลๆ





    เราเดินมาถึงท่ามหาราช (ที่อยู่ระหว่างท่าช้าง กับ ท่าพระจันทร์)
    และเนื่องจากเรามาเพื่อถ่ายรูป และเดินเอาฟีล เราจึงไม่ได้นั่งกินอาหารที่ท่ามหาราชเลย
    ต้องขออภัยที่การรีวิวไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ ช่วงนั้นเงินเดือนยังไม่ออกจริงๆ









    ส่วนที่เราชอบที่สุดของที่นี่ คือบันไดเรียบๆหลังร้าน S&P เพราะเป็นโซนที่แสงดี และมุมโดนใจเรา



    ส่วนอีกมุมที่เราชอบคือตึกแถวหน้าร้านรสนิยม (ไม่มีคำอธิบาย แค่ชอบ ชอบเฉยๆ)





    ในวันที่เราไปมีงานนิทรรศการด้านบน เป็นงานนิทรรศการภาพถ่ายของรัชกาลที่ 9





    ส่วนภาพจากมุมสูงที่เราถ่ายด้านล่าง เรายืนถ่ายฝั่งทางเดินชั้น 2 ตรงข้ามกับร้านรสนิยม



    และจากชั้นสอง หันมาฝั่งส่วนกลางของท่ามหาราช




    หลังจากเราเดินถ่ายรูปในท่ามหาราชเสร็จ 
    เราก็เดินข้ามฝั่งของสนามหลวงไปยังย่านสามแพร่ง
    คือ แพร่งภูธร แพร่งสรรพศาสตร์ และแพร่งนรา

    โดยเราเดินผ่านไปทางฝั่งโรงแรมรัตนโกสินทร์
    เดินเลี้ยวมาทางเข้าศาลเจ้าพ่อเสือ

    จริงๆแล้วคำว่า "แพร่ง" สมัยก่อนจะแปลว่า ทางออก
    ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างชุมชนนี้ให้เป็นเมืองทดลอง
    มีสถาปัตยกรรมที่ผสมระหว่าง จีน กับ โปรตุเกส
     (คือ ชิโนโปรตุกีส Sino-Portuguese) ซึ่งจริงๆในปัจจุบันเราก็ยังเห็นได้อยู่เช่นกัน

    ความเก๋าของย่านนี้ในสมัยก่อน เสมือนกับสยามสแควร์ในยุคปัจจุบันนั่นเองโจ๋

    (ที่มา : http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/000183/lang/th/)

    เรามาเริ่มกันที่ร้านเหลี่ยมนมสด
    ร้านนมที่เราชอบกินขนมปังนึ่งสังขยา
    จริงๆแล้วเราชอบนมร้อนโกโก้ของที่นี่ด้วย
    เพราะไม่หวานจนเกินไป กินกับขนมปังนึ่งสังขยาที่หวานกำลังดี มีอาการฟินแบบลงตัว









    จากนั้นเราไปต่อกันที่ร้านบะหมี่เกี๊ยวปู อยู่ตรงหัวุมแพร่งภูธร  หน้าร้านอรสมัย






    โดยฝั่งตรงข้ามกับร้านบะหมี่ปู จะมีร้านมิลล์นมสด 
    ที่ช่วงหัวค่ำโต๊ะจะเต็มตลอด T.T


    ร้านเหลี่ยมนมสด / จุดแดง = ร้านบะหมี่ปู / จุดเขียว = ร้านมิลล์นมสด

    และเราก็เดินไปยังถนนดินสอ โดยเดินผ่านซอยตรงข้ามศาลเจ้าพ่อเสือ เพื่อไปยังร้านมนต์นมสด
    จำชื่อซอยไม่ได้



    ระหว่างทางที่เราเดินไปในซอย
    เราได้ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะคลาสสิค
    อาจด้วยความเก่าของสถานที่ ตัวตึก คาเฟ่หรือร้านนมระหว่างทาง และไฟสีส้มของถนน
    ที่ทำให้บรรยากาศน่าเดิน ทั้งๆที่ดูๆแล้วตัวถนนค่อนข้างจะเงียบจนดูไม่น่าจะมีอะไร
    แต่พอเดินเข้ามาในซอย เราเจอกับร้านนมและคาเฟ่เยอะพอสมควร 
    นอกจากนี้เรายังแวะถ่ายรูปกับตัวตึกและบ้านริมถนนอยู่เป็นระยะๆ
    เพราะหลายๆคูหา ดูจะธรรมดาๆ แต่พอเดินออกมาดูห่างๆ 
    ให้ความรู้สึกคลาสสิคน่ามองจนเรายกกล้องขึ้นมาถ่าย




    เมื่อเราเดินมาถึงที่สุดท้าย คือร้านมนต์นมสด ร้านที่หลายๆคนชอบขนมปังสังขยา
    แต่เราชอบเมนูนม ที่มีความหอมนม และละมุนลิ้นมากกว่า
    แต่เมนูที่เราอินมากที่สุด คือ พุดดิ้งนมสด เพราะหอมนมมาก และหวานกำลังดี







    ... การเดินถ่ายรูปวันนั้น เราได้ความอบอวลจากความคลาสสิค 
    ที่เวลาเดินผ่านตึกเก่าๆ หลายครั้งที่เรามองไปแล้วคิดว่า 
    เมื่อก่อนในเวลาเดียวกันกับที่เรากำลังเดินผ่านอยู่
    คนในช่วงเวลานั้นเค้าจะกำลังทำอะไรอยู่ 
    จะเข้านอนแล้ว กำลังอ่านหนังสือ ทำงานอยู่ หรือกำลังเล่นเกมส์ที่มีในยุคนั้น ? 
    ยุคที่สมัยนั้นไม่ได้มีความเจริญมากเท่ากับปัจจุบันนี้ 



    ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน 

    และขอบคุณมนุษย์ชื่อดิวที่ไปเป็นเพื่อน













เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in