เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ขอเพียงใจไม่สิ้นไร้ซึ่งศรัทธา (At least your heart doesn’t lose hope)Tonliew Suparat
ตั๋วรถไฟสีทอง
  • “ถ้าหากเลือกได้ก็คงไปที่ชอบที่ชอบนั่นแหละ”


    เสียงแหลมของหวูดรถไฟดังขึ้น ก่อนที่เจ้ารถเหล็กขบวนใหญ่จะเคลื่อนตัวออกจากชานชะลา รถไฟขบวนนี้ไปที่ใดไม่มีใครรู้ปลายทางแน่ชัด แต่ทุกคนในสถานีพูดคุยกันว่าจะพาไปที่ใดก็ตามที่ใจปรารถนา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหมคงต้องไปถามจากคนขายตั๋วกระมัง

    คนขายตั๋วเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราสีขาวเหมือนปุยเมฆ สองแก้มเขามักเป็นสีแดงระเรื่อ ใบหน้านั้นแต้มด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ เขามาทำงานเวลากี่โมงไม่เคยมีใครรู้ แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นว่าเขากลับบ้านไปตอนไหนด้วยเช่นกัน เขาจะนั่งอยู่ตรงนั้น หลังช่องสำหรับขายตั๋วและรอพบคุณทุกคนด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตร คอยถามว่า “ไปที่ไหนครับ” ด้วยน้ำเสียงสุภาพและอบอุ่น


    ผู้โดยสารในแต่ละวันมีนิสัยและสถานที่ที่อยากไปแตกต่างกัน บางวันเจอผู้โดยสารน่ารัก พวกเขาก็มักจะสามารถบอกสถานที่ที่ต้องการจะไปแก่คนขายตั๋วได้เลยโดยไม่ต้องใช้เวลานาน บางวันเจอผู้โดยสารที่น่าสงสาร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยากไปที่ไหน คนขายตั๋วก็จะช่วยเลือกปลายทางที่คิดว่าเหมาะสมกับพวกเขาให้ ผู้โดยสารบางคนก็เอาใจยาก เรื่องมาก เพราะมีจุดหมายปลายทางหลายที่ที่อยากไป ทำให้คนขายตั๋วต้องเสียเวลาพูดคุยและช่วยเลือกนานทีเดียว บางครั้งก็นานมากเสียจนทำให้ผู้โดยสารคนอื่นเดือดร้อน แต่ไม่ว่าจะเจอผู้โดยสารแบบไหน คนขายตั๋วก็จะช่วยให้พวกเขาได้ตั๋วของตนเองอย่างแน่นอน


    “ขอซื้อตั๋วรถไฟหนึ่งใบค่ะ” เสียงเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นในวันหนึ่งที่อากาศอุ่นสบายและผู้โดยสารในสถานีน้อยกว่าปกติ คนขายตั๋วชะโงกหน้าไปมองก็พบกับเด็กหญิงในชุดสีเขียวอ่อน ลายดอกไม้สีส้ม เขามองเธอครู่หนึ่งแล้วจึงได้ปฏิเสธเธอไป

    “ขอโทษด้วยนะจ๊ะหนู” คนขายตั๋วตอบอย่างสุภาพ “แต่ฉันให้ตั๋วหนูไม่ได้จ้ะ”

    “ทำไมละคะ” เด็กหญิงถาม “หนูพกเงินมาด้วยนะ”

    “วันนี้ตั๋วขายหมดแล้วจ้ะ” เขาตอบกลับไปเช่นนั้น แม้จะรู้ว่ามันอาจทำให้เด็กน้อยเศร้าใจก็ตาม แต่เปล่าเลยเด็กหญิงไม่ได้เศร้าใจสักนิดแต่เธอกลับพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะรีบวิ่งออกไป

    “งั้นหนูจะมาใหม่พรุ่งนี้ค่ะ”


    คนขายตั๋วไปคิดหรอกว่าเด็กหญิงจะกลับมาอีก แต่เธอกลับมาจริง ๆ 


    ในเช้าวันรุ่งขึ้นเด็กหญิงกลับมาขอซื้อตั๋วรถไฟอีกครั้ง ใบหน้าของเธอมุ่งมั่นตั้งใจอย่างที่สุดว่าวันนี้จะต้องได้ตั๋วรถไฟแน่ ๆ แต่คนขายตั๋ยวก็ยังยืนกรานคำเดิมว่าให้ตั๋วไม่ได้จริง ๆ

    “ทำไมวันนี้ก็ยังซื้อไม่ได้ละคะ” เธอถามเขาด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่ในสถานีนี้มีเด็กที่อายุเท่ากันกับเธอ เด็กที่โตกว่าเธอนิดหน่อย แล้วก็เด็กที่อายุน้อยกว่าเธอมาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟตั้งหลายคน แต่ทำไมเธอถึงซื้อตั๋วไม่ได้อย่างคนอื่น ๆ 

    “ยังไม่ถึงเวลาขายตั๋วให้เธอจ้ะ” คนขายตั๋วตอบกลับไปอย่างใจเย็น

    “แล้วเมื่อไหร่ละคะ” 

    “ยังบอกไม่ได้หรอกจ้ะ ขอโทษด้วยนะ”


    วันแล้ววันเล่าที่เด็กหญิงมาที่สถานีรถไฟและขอซื้อตั๋ว ถึงแม้ว่าคนขายตั๋วจะปฏิเสธไปแต่เธอก็ยังคงกลับมาอีกเรื่อย ๆ อะไรหนอเป็นสาเหตุให้เด็กหญิงเล็ก ๆ คนนี้ปรารถนาที่จะซื้อตั๋วรถไฟได้มากขนาดนี้ คนขายตั๋วจึงตัดสินใจถามเธอในบ่ายวันหนึ่ง 

    “หนูน้อย ทำไมเธอถึงอยากซื้อตั๋วรถไฟนักละ” 

    “หนูอยากไปหาแม่ค่ะ” เด็กหญิงตอบ “พ่อบอกว่าตอนนี้แม่ไปอยู่ที่ไกลมาก ๆ มาเจอหนูไม่ได้แล้ว หนูก็เลยคิดว่าถ้าแม่มาหาหนูไม่ได้หนูจะไปหาคุณแม่เอง”


    คนขายตั๋วได้ฟังแล้วก็เข้าใจได้ทันที แต่ต่อให้อยากจะมอบตั๋วให้เธอมากแค่ไหนเขาก็ทำไม่ได้จริง ๆ 


    “ฉันก็อยากให้ตั๋วกับเธอหรอกนะหนูน้อย แต่คงให้ไม่ได้จริง ๆ ”

    “เพราะยังไม่ถึงเวลาเหรอคะ” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองจนดูน่าสงสาร

    “ใช่จ้ะ แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ”

    อาจจะดูใจร้ายแต่การทำงานเป็นคนขายตั๋วก็มีกฏเกณฑ์อยู่เหมือนกัน ต่อให้ผู้โดยสารต้องการเดินทางมากแค่ไหน และต่อให้คนขายตั๋วอยากมอบตั๋วให้พวกเขาเท่าไหร่ แต่หากยังไม่ถึงเวลาที่ผู้โดยสารพร้อมเดินทางจริง ๆ คนขายตั๋วก็ไม่อาจมอบตั๋วให้พวกเขาได้เหมือนอย่างเด็กหญิงคนนี้

    นับจากวันนั้นที่คนขายตั๋วและเด็กหญิงได้พูดคุยกัน เด็กหญิงก็ไม่กลับมาที่สถานีอีกเลย นานหลายเดือนทีเดียวที่เขาไม่ได้พบเธอ คนขายตั๋วมองโลกในแง่ดีว่าบางทีเด็กหญิงคงกลับไปเรียน ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ อย่างสนุกสนาน  แต่เปล่าเลย ทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่คนขายตั๋วคิดสักนิด  เขาได้พบเด็กหญิงอีกครั้งในวันที่อากาศหนาวจับจิต เธออยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้า ใบหน้ากลมที่เคยสดใสก็ดูอ่อนล้าลงไปเพราะความป่วยไข้ เธอเดินมาหาเขา กอดตุ๊กตาหมีเอาไว้แน่นแล้วทักทายคนขายตั๋วด้วยรอยยิ้ม

    “สวัสดีค่ะ” 

    “สวัสดีจ้ะ ไม่เจอกันนานเลยหนูสบายดีไหม”

    “ไม่เลยค่ะ หนูป่วยหนักมากต้องนอนโรงพยาบาลตั้งนานเลยนะคะ”

    “แล้วหนูหายรึยัง”


    ไม่มีคำตอบจากเด็กหญิง มีเพียงการส่ายหน้าน้อย ๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนขายตั๋วเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง 

    “งั้น…. ตั๋วไปหาคุณแม่หนึ่งใบนะ” 

    “หนูไปได้แล้วเหรอคะ” ในดวงตาของเด็กน้อยฉายประกายแห่งความหวังอย่างที่คนขายตั๋วไม่ได้เห็นมานาน เขาพยักหน้าแล้วจัดการออกตั๋วให้เธอหนึ่งใบ เป็นตั๋วรถไฟสีทองเสียด้วย

    “นี่จ้ะ รักษาไว้ให้ดี ๆ นะ แล้วพอขึ้นรถไฟก็อย่าลืมเอาให้คนตรวจตั๋วดูด้วยละ”

    “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากเลย”

    “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะ”


    คนขายตั๋วเเละเด็กหญิงบอกลากันที่ตรงนั้น เขามองดูร่างเล็ก ๆ ของเด็กน้อยวิ่งเข้าไปยังชานชะลาด้านในด้วยใจที่เป็นสุข เขามองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงหันกลับไปขายตั๋วให้แก่ผู้โดยสารคนต่อไปที่ต่อแถวรอซื้อตั๋วอยู่

    “ไปที่ไหนครับ”


    สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีพิเศษ ที่ซึ่งผู้คนมากมายหลากหลายช่วงวัยใช้เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ใจพวกเขาปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง สถานที่ที่ในความทรงจำวัยเด็กที่ปัจจุบันนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว ไม่ว่าคุณอยากไปที่ไหนคนขายตั๋วก็ช่วยออกตั๋วให้คุณได้เสมอ แต่หากคุณไม่รู้ว่าอยากไปที่ใด เขาจะมอบตั๋วสีทองให้แก่คุณ


    ตั๋วที่ระบุจุดหมายปลายทางเอาไว้ว่า ‘ไปสู่สุขคติ’


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in