เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Journey แล้วเจอคำตอบTorn Marom
Slow Life Boy from Thailand | Citadel of Qaitbay, Alexandria, Egypt
  • Citadel of Qaitbay คือป้อมปราการสำคัญในเมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งสร้างและตั้งชื่อตามสุลต่าน Ashraf Sayf al-Din Qaitbay เพื่อคอยปกป้องอียิปต์จากการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมันในสมัยนั้น รวมไปถึงศัตรูจากชาติอื่นๆในอดีตอีกเช่นกัน หลังจากโดนกองเรือของอังกฤษโจมตีอย่างหนักในปี ค.ศ. 1882 พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองอเล็กซานเดรียเสียหาย โดยเฉพาะบริเวณป้อมปราการที่เสียหายอย่างหนักเพราะโดนปืนใหญ่ยิงเต็มๆเนื่องจากเป็นด่านหน้า ซึ่งไม่ใช่แค่ด่านหน้าของเมืองแต่เป็นของประเทศอียิปต์เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากนั้นอังกฤษก็ยึดครองอียิปต์ได้สำเร็จ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1922 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดการเรียกร้องอิสรภาพจากกลุ่มชาวอียิปต์ที่รักชาติ อังกฤษก็ได้ให้เอกราชคืนแก่อียิปต์ และช่วงเวลาระหว่างนั้นป้อมปราการแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นทั้งบ้านพักของกษัตริย์ Farouk และพิพิธภัณฑ์ของกองทัพเรือ ก่อนที่สุดท้ายในปี ค.ศ.1984 ทาง Egyptian Antiquities Organization ได้ซ่อมแซมครั้งใหญ่จนป้อมปราการกลับคืสู่สภาพเดิม

    อีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองนี้คือสีรถมันจ๊าบซะเหลือเกินน
    ไปช่วงนี้คนก็จะน้อยๆหน่อย
    วันนั้นเราตั้งใจจะไป Citadel of Qaitbay เป็นสถานที่สุดท้าย ก่อนหน้านี้ได้เช็คเวลาปิดในหนังสือช่วยชีวิตนักท่องเที่ยวอย่าง Lonely planet และแอพพลิเคชั่นสามัญประจำบ้านอย่าง Google Map และได้คำตอบมาว่าป้อมปราการแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมถึงเวลา 17.00 น. เราตั้งใจจะไปถึงเวลาบ่ายสามโมงและเดินเล่นอีกสองชั่วโมงจนถึงเวลาปิดเพราะมั่นใจท้องฟ้าในเวลานั้นต้องสวยแน่ๆ แต่พอไปถึงที่ขายตั๋วก็เจอสถานการณ์คล้ายๆกับอีกหลายสถานที่ที่ไปมาในประเทศนี้ นั้นคือเวลาปิดไม่ตรงกับที่บอกใน Google Map! ซึ่งทุกครั้งที่เกิดหตุการณ์ยังงี้เวลาปิดมักจะไวกว่าที่อากู๋บอกเสมอ แต่!! ที่นี่ดันปิดช้ากว่าที่อากู๋บอก 2 ขั่วโมง!!! จังหวะนั้นคือดีใจมากก เพราะอะไรนะหรอ เพราะสำหรับคนที่ชอบเดินชิว เดินไปเรื่อย เดินวน และเดินหลงอย่างเรารู้สึกว่าสามารถ slow life ได้เต็มที่ แถมวันนั้นก็ไม่รู้จะไปไหนต่ออีกด้วย การใช้เวลาสี่ชั่วโมงเต็มที่ป้อมปราการขนาดใหญ่อายุ 500 กว่าปี และได้ดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็น่าจะฟินอยู่
    ในกำแพงจะมีโถงทางเดิน
    เขาว่าห้องนี้แต่ก่อนเป็นคุก (เอ๊ะ เห็นห้องที่ว่ากันไหมนะ)
    ก่อนจะไปเดินทัวร์ก็ขอแวะห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งห้องน้ำจะอยู่ติดกับทางเข้าเลย พอไปถึงหน้าห้องน้ำก็เจอคุณลุงที่น่าจะเป็นคนทำความสะอาดนั่งอยู่หน้าประตูเมื่อเห็นเรา ลุงเขาก็ชูเลขสอง ไม่ใช่บอกให้ถ่ายรูปแต่จ่ายกูมาก่อน 2 ปอนด์ จังหวะนั้นเราก็หยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเพื่อพบว่ามีแต่แบงค์ร้อย… ละลุงก็บอกว่าไม่มีทอนๆ เราก็บอกไปว่ามีแต่แบงค์ร้อย ลุงเลยให้เราเข้าไปทำธุระก่อน ไอเราก็คิดว่าลุงให้เข้าฟรีเลย พอเดินออกมาก็เจอลุงคนเดิมยื่นเงินพร้อมกับแบมืออีกข้างรอรับแบงค์ร้อยจากเรา เราเลยขอนับเงินจากลุงก่อน ปรากฏลุงมีเงินทอนให้ 77 ปอนด์ แน่นอนเราจะไม่ยอมเสียเงินประมาณ 42 บาท (1 อียิปต์ปอนด์ประมาณ 2บาทนิดๆ) ในการเข้าห้องน้ำแน่นอน สุดท้ายเราก้ไม่ได้ให้และเดินออกมา ซึ่งมองไปรอบๆป้อมปราการก็ไม่เจอร้านขายของอะไรสักร้านให้เราได้แลกเงินหรือแตกแบงค์เลยด้วยสิ ที่เห็นมีแต่ กำแพง หอคอย และต้นปาล์ม…

    กล้องพร้อม แสงพร้อม คนพร้อม โลชั่น (ทามาแล้ว) พร้อม ลุย!พื้นที่ใน Citadel of Qaitbay จะแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆคือ ตัวหอคอย ความสูง 4 ชั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ) และตัวกำแพงที่ล้อมรอบหอคอย ซึ่งเราเลือกที่จะเดินอย่างหลังก่อนเพราะมันใหญ่มาก รวมถึงมันมีชั้นใต้ดินที่ประกอบไปด้วยหลายห้อง จากนั้นเราก็จะเดินขึ้นไปสำรวจข้างบนกำแพง และจบลงที่ตัวอาคาร ป้อมปราการสำคัญอายุห้าร้อยกว่าปีของประเทศอียิปต์จะหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เลื่อนลงไปดูกันได้เลย!
    สวัสดีทะเลเมดิเตอร์เรเนียน : )

    ตลอดเวลาที่เราเดินถ่ายรูป จะมีคนอียิปต์เข้ามาทักทายเราเสมอ ซึ่งคนส่วนมากที่เราเจอที่นั้นก็ไม่ใช่คนเมืองอเล็กซานเดรียแต่เป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศของอียิปต์ บ้างก็พูดภาษาอังกฤษได้ บ้างก็พูดไม่ได้ แต่บทสนทนาส่วนมากมักจะเริ่มด้วยการที่เขาถามเราว่ามาจากประเทศไหน ซึ่งเราจะให้เขาทาย และหลังจากที่ปฏิเสธไปว่าเราไม่ได้มาจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซีย และในที่สุดก็ได้เฉลยว่ามาจากไทย หลายๆคนก็จะพูดกลับมาเสียงเดียวกันว่า “ว้าว ประเทศไทยสวยมาก อยากจะไปเที่ยวบ้าง” ร้อยทั้งร้อยจะตอบมายังงี้จริงๆ เราก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขาได้มาเที่ยวเมืองไทยเขาจะมองประเทศไทยเหมือนเดิมไหม จะชอบกว่าที่คาดหวัง หรือวันกลับจะคิดในใจตัวเองว่าลาแล้วลาลับอย่าได้เจอกันอีกเลยไทยแลน์แดนคอมโพรไมซ์ อีกอย่างหนึ่งที่เราเจอบ่อยมากนอกจากคคนมองก็คือคนขอถ่ายรูปด้วย เขาคงแปลกใจที่เจอไอหนุ่มตาตี่แบกกล้องเดินวนไปมาอยู่คนเดียวจนอยากจะบันทึกภาพร่วมความทรงจำไว้ด้วยกัน แต่เรายินดีถ่ายกับทุกคนที่มาขอแบบดีๆเสมอนะ มีคุณลุงคนหนึ่งน่ารักมากเลย เรื่องมันเริ่มมาจากมีครอบครัวหนึ่งมาขอเราถ่ายรูปด้วย ละสักพักก็มีคนลุงคนนี้ค่อยๆกระดึ๊บๆเข้ามาในเฟรมเพราะต้องการจะถ่ายรูปด้วย ฮา พอถ่ายเสร็จคุณลุงก็เข้ามาหาเรา คุณลุงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่แสดงท่าทางบอกประมาณว่าให้เรารออยู่ตรงนี้หน่อย จังหวะนั้นเราก็งงๆแต่ถามว่ายืนรอไหม รอ! ไม่นานนักคุณลุงก็กลับมาพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่งที่เราคิดว่าน่าจะเป็นหลาน เราเลยถึงบางอ้อว่าอ๋อจะให้หลานมาถ่ายรูปกับเรา แต่เปล่าเลย ลุงเรียกหลานให้มาถ่ายรูปให้ตัวลุงกับเรา ฮาา
    ทุกประเทศต้องมียังงี้เสมอ (ลองซูมอ่านดูกัน)
    นอกจากนี้ก็เจอคนที่ขอให้ถ่ายรูปให้โดยใช้กล้องเราถ่ายพอสมควร ใช่ครับอ่านไม่ผิดหรอก ปกติจะเจอคนที่ขอให้ถ่ายรูปให้โดยใช้กล้องของตัวเองใช่ไหมครับ แต่ที่นี่เราไม่เจอยังงั้นเลยน่ะสิ แต่ก็เหมือนเดิมครับถ้าเขาขอดีๆเราก็พร้อมถ่ายให้อยู่แล้ว แต่ครอบครัวที่น่ารักที่สุดที่เราเจอคงไม่พ้น ครอบครัวของน้องโซฟี ครอบครัวนี้มีกันหกคน พ่อ แม่ ลูกชายสามคน และน้องโซฟี ลูกสาวคนเล็ก ระหว่างที่เรากำลังเดินสำรวจตัวหอคอย แรกๆเราเดินสวนกับลูกชายทั้งสามคนบ่อยมาก เพราะในอาคารจะมีช่องรับแสงขนาดเท่าตัวคนตอนนั่งยองๆอยู่เต็มไปหมด ละมันเป็นจุดยอดนิยมที่คนชอบมาถ่ายรูปตอนนั่งละมองออกไปชมวิวทิวทัศน์ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกัน แน่นอนว่าทั้งสามหนุ่มก็ตามเก็บทุกชอตทุกมุมตามทุกรูปที่น่าจะเจอได้จาก #citadelofqaitbay ในไอจี ด้วยเหตุนี้เราจึงเดินสวนกับครอบครัวนี้บ่อย จนกระทั่งเราได้ทำเลเหมาะตรงมุมหนึ่งในหอคอยที่มีช่องหน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นคนที่เดินไปมาบนกำแพงข้างนอกและมีฉากหลังเป็นน้ำทะเลสีฟ้าสดใส เราก็ไปนั่งอยู่ตรงนั้นสักพักเผื่อจะมีคนเดินผ่านเผื่อเราจะเก็บได้สักชอตสองชอต ระหว่าที่เรารออยู่นั้นอยู่ดีๆก็มีคนมาสะกิด เราหันไปก็เจอครอบครัวที่ว่ายืนอยู่ ตอนแรกคิดว่าเขาจะขอให้เราออกจากมุมนั้นเพราะเขาอยากได้รูป ก็ถูกครึ่งผิดครึ่ง เพราะเขาอยากได้รูปจริงแต่เขามาขอให้เราถ่ายให้ โดยคุณพ่ออยากได้รูปกับน้องโซฟี เรากดไปห้าหกรูปได้และทุกรูปคือน้องซนมากอยู่ไม่นิ่งเลย แต่ก็ยิ้มทุกรูปนะ ละมีรูปหนึ่งที่น้องตบหน้าคุณพ่อขณะที่รอยยิ้มสดใสน่ารักยังคงปรากฏเด่นชัดบนใบหน้า ฮาา จากนั้นเราเลยขอถ่ายรูปรวมให้ครอบครัวนี้เพราะเรารู้สึกว่าพวกเขาน่ารักต่อกันและกันมาก ดูจากรอยยิ้มก็รู้สึกได้ถึงความสุข จนทำให้เราอดคิดถึงการไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวยังงี้ไม่ได้ ตอนนั้นเราก็เลยตั้งใจกับตัวเองในใจว่าหลังกลับมาไทยต้องไปเที่ยวพร้อมกันทั้งครอบครัวยังงี้บ้าง! (ปัจจุบันที่เขียนอยู่นี้ยอดคนติดเชื้อโควิดสะสมพึ่งทะลุหนึ่งล้านคน คงต้องอีกสักพักแหละเนอะกว่าจะได้เที่ยว)
    ช่องรับแสงอันใหญ่
    ช่องรับแสงอันเล็ก
    หลายครั้งที่เดินผ่านห้องเก่าๆในหอคอยที่ประกอบร่างสร้างขึ้นมาจากอิฐบล็อคหลายก้อนเป็นเวลานานหลายร้อยปี เราก็ชอบพาตัวเองไปในอดีตผ่านการจินตนการว่าห้องนี้เคยเป็นห้องอะไรมาก่อน เคยเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้างในห้องนี้ เราว่านี่เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของสิ่งที่เรียกเวลา มันสามารถทำให้สถานที่หนึ่งมีเรื่องราวเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ทำให้คนๆหนึ่งมีความทรงจำหลากหลายเรื่อง และที่สำคัญไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลก มันก็ยังคงเดินหน้าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้คนส่วนมากที่มาเที่ยวป้อมปราการแห่งนี้กันจะนั่งรับลมทะเลกันอยู่บนกำแพงไม่สนใจเวลาที่เดินไปเรื่อยๆ (ยกเว้นเวลาปิด) ปล่อยให้เวลาทำหน้าที่ของมันไปส่วนพวกเขาก็ซึมซับบรรยากาศ ณ ห้วงเวลานั้นให้ได้มากที่สุด และไม่ใช่แค่เราที่รอกะมาอยู่ยาวยันเวลาปิดเพื่อหวังจะดูพระอาทิตย์ตก เพราะพอถึงเวลาปิดเราก็พบคนจำนวนมากเดินออกมาพร้อมๆกับเรา

    หลังจากใช้เวลาอยู่ 4 ชม. Citadel of Qaitbay ก็ได้กลายเป็นสถานที่ที่เราชอบที่สุดใน Alexandria ไม่ว่าจะด้วยลมเย็นๆที่พัดมาตลอด สถานที่ที่ใหญ่มีที่ให้เราได้เดินเล่นรอบๆ หรือกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่เราชอบที่นี้ แต่เราคิดว่าเหตุผลหลักจริงๆคงเป็นเพราะเราให้เวลากับสถานที่แห่งนี้ เราไม่ได้รู้สึกต้องเร่งรีบเลยสักนิด เราสามารถให้เวลากับสถานที่แห่งนี้ในได้นานที่เรารู้สึกพอใจ และยิ่งเราให้เวลากับสถานที่นี้เท่าไหร่ เราก็ยิ่งได้รู้จักมันมากขึ้น ผ่านความสบายของผู้คนที่มานั่งรับลมจากทะเล ผ่านความสุขครอบครัวที่มาเที่ยวพร้อมหน้ากันในวันหยุด ผ่านกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ในอิฐบล็อกซึ่งตั้งอยู่ที่เดิมมากว่าห้าร้อยปี และผ่านการเดินทางของคลื่นทะเลหน้าป้อมปราการที่เดินทางไปทั่วโลกและกลับมาผ่านที่นี่อีกครั้ง ป้อมปราการที่เราได้รู้จักในวันนั้นอาจไม่ได้เหมือนป้อมปราการในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ของผู้คนที่ไปที่นั้น จากนักรบสู่นักท่องเที่ยว จากกำแพงป้องกันศัตรูสู่ประตูเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่สุดท้ายที่แห่งนี้ก็ยังเป็น Citadel of Qaitbay ที่อยู่มาแล้วกว่าครึ่งสหัสวรรษและจะคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆไม่ว่าจะด้วยบริบทใดก็ตามแต่ที่เวลาจะพัดพาไป
    แสงสุดท้ายของวัน

    สามารถดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ I snap, You smile | Facebook ฝากติดตามด้วยนะครับ!

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in