เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Train To Busan &xLife: เอเลี่ยนสายพันธุ์มฤตยูNutchamat Hansut
วิว Train to Busan: รถไฟขบวนด่วน ปะทะ ซอมบี้เกาหลีความเร็วสูง
  • ชื่อเกาหลี : 부산행 (Busanhaeng)
    ชื่อไทย : ด่วนนรก ซอมบี้คลั่ง
    ประเภท : ภาพยนตร์เกาหลี
    แนว : แอคชั่น / ดราม่า / ระทึกขวัญ
    ผู้กำกับ : Yeon Sang-Ho
    ความยาว : 1 ชั่วโมง 58 นาที



    เรื่องย่อ Train to Busan

    ผู้จัดการกองทุน Seok-woo (Gong Yoo จาก Coffee Prince) ปกติไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกสาว Su-an (Kim Su-ran) แต่เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของลูก เขาจึงจำต้องพาเธอไปเยี่ยมแม่ของเธอหรือภรรยาเก่าของเขาที่ปูซาน

    แต่เช้าวันดังกล่าวเกิดโรคระบาดทั้งเมืองและมีผู้หญิงที่ติดเชื้อดังกล่าวลอบขึ้นรถไฟ KTX 406 มาและแพร่เชื้อซอมบี้ให้คนบนขบวน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ Seok-woo จะต้องทำหน้าที่พ่อ ปกป้องลูกสาวและตัวเองให้รอด

    นอกจากสองพ่อลูก ผู้ร่วมขบวนยังมี สองสามีภรรยาซึ่งตั้งครรภ์ Sang-hwa (Ma Dong-suk) กับ Sung-kyung (Jung Yu-mi), นักเบสบอลไฮสคูลและเชียร์ลีดเดอร์สาว Young-guk (Choi Woo-sik) กับ Jin-hee (นักร้องสาว So-hee Wonder Girls), ผู้บริหาร Yong-suk (Kim Eui-sung), คุณยายสองพี่น้อง, และชายจรจัดที่แอบขึ้นมาหนีซอมบี้บนรถไฟ




    รีวิว วิเคราะห์ วิจารณ์ Train to Busan

     

    เราชอบหนังซอมบี้และดูมาหลายเรื่อง กล้าพูดเลยว่า Train to Busan สนุกมาก ดีงามทุกวินาที สำหรับเรา นี่เป็นหนึ่งในหนังซอมบี้ที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ความดราม่าสไตล์เกาหลีที่เรียกน้ำตาคนดูได้ชนิดไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรือความบู๊ระห่ำที่ทำคนดูลุ้นจิกเบาะแทบลืมหายใจ จนถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของซอมบี้ฉบับวิ่งไวทะลุนรก (fast & fierce) แบบซอมบี้ใน World War Z ที่ Brad Pitt สู้รบปรบมือเมื่อสามปีก่อน

    จะว่าไป คอนเซ็ปต์ของ Train to Busan อาจจะคล้าย World War Z ที่มาผสมกับ Snowpiercer (หนังเกาหลีที่ใช้นักแสดงนำฮอลลีวูด ซึ่งนำทีมโดย Chris Evans หรือ Captain America) คือเป็นรถไฟที่บรรจุผู้รอดชีวิตจากหายนะของโลกไว้ เนื้อเรื่องแอบสะท้อนการแบ่งแยกชนชั้นและเสียดสีจิกกัดพวกทุนนิยม แต่เพิ่มเติมคือ Train to Busan มีซอมบี้เป็นหายนะ และบนขบวนก็มีหายนะนั้นอยู่ด้วย

    ตัวละครในเรื่องทั้งหมดก็จะบ้านๆ อย่างเช่น คนแก่ คนท้อง เด็ก นักเรียน นักธุรกิจ พนักงาน คือเป็นคนธรรมดาๆ มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเก่งเลิศเลอมาจากไหนทั้งนั้น ทุกคนก็จะมีวิธีการเอาตัวรอดในแบบของเขา มีความรักตัวกลัวตาย จนบางทีรู้สึกว่า คนนี่แหละจะน่ากลัวกว่าซอมบี้เสียอีก ดูแล้วรู้สึกว่าหนังมันเข้าถึงเราได้ ต้องลุ้นเอาใจช่วยไปกับทุกตัวละคร ว่าเขาจะรอดไหม? แต่บอกเลยว่า เดาไม่ได้จริงๆ สำหรับเรื่องนี้.. นอกจากความระทึก หนังก็ยังมีแทรกดราม่า และก็ถือว่าเป็นดราม่าอันสุดประทับใจในเวลาสั้นๆ ที่สามารถเรียกน้ำตาคนดูได้อย่างแน่นอน!


    จะเห็นได้ว่า ในขณะที่หนังหลายเรื่อง โดยเฉพาะหนังฝั่งฮอลลีวูดกำลังขมีขมันกับการสร้างหนังเกี่ยวกับ racial หรือ gender discrimination แต่หนังกิมจิของฝั่งเอเชียเราโฟกัสที่ economic discrimination อย่างมีนัยสำคัญ

    แล้วประเด็นคือ Train to Busan เขาทำถึง เขานำพาคนดูไปสำรวจความเป็นมนุษย์ในตัวเราได้อย่างดี หลายคำพูดและการกระทำของตัวละครมันช่างทิ่มแทงเหลือเกิน กล่าวคือ หนังเอาตัวละครต่างชนชั้นมาอยู่ด้วยกันในสถานการณ์ที่คับขัน ซึ่งจะเค้นสัญชาตญาณดิบหรือด้านมืดของมนุษย์กันออกมา (แล้วยิ่งสเกลของหนังมันแคบและไปไหนไม่ค่อยได้นอกจากบนรถไฟ ก็ยิ่งรู้สึกกดดัน)



    ตัวละครเด่นในเรื่องหลายตัวเป็นคนชายขอบหรือคนที่สังคมมักมองว่าเป็นภาระ ตั้งแต่เด็ก สตรีมีครรภ์ คนสูงอายุ และคนจนจรจัด (ณ ที่นี้ เห็นขาดก็แต่เพศที่สาม) ซึ่งแน่นอน หนังเลือกวางคนเหล่านี้เป็นตัวละครฝ่ายขาว โอบอ้อมอารี เสียสละ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ในขณะเดียวกัน หนังก็วางตัวละครชนชั้นกลางหรือคนรวย ๆ เช่น ผู้บริหารต้องเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด ถึงแม้ต้องเหยียบหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรอดมันก็ทำ

    ซึ่งอีตาผู้บริหารที่เป็นคนไม่ดีที่สุดในเรื่องนี้อาจจะเสมือนกระจกสะท้อนอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าของพระเอกของเราก็ว่าได้ (ซึ่งปัจจุบันก็เป็นผู้จัดการกองทุน เป็นปลิงดูดเลือดอยู่แล้ว) แต่โชคดี พระเอกก็คือพระเอก ย่อมมีพัฒนาการ และ #พ่อก็คือพ่อ



    อย่างไรก็ตาม ด้วยความเอเชีย ก็จะไม่แปลกที่เราจะไม่เห็นสตรีเพศเป็นฮีโร่ ในเรื่องนี้พวกเธอก็จะเป็นบุคคลแสนดีที่น่ารักที่ต้องให้คุณพ่อหรือคุณแฟนมาช่วยเหลือ ปกป้อง และดูแลไปนั่นแหละ

    หน้าที่ฮีโร่ผู้เสียสละก็เป็นของทีมพระเอก อย่างทีมคุณพ่อโอปป้า Coffee Prince, ว่าที่คุณพ่อบึกบึน, และนักเบสบอลหน้าหล่อที่ละม้ายคล้าย เจมส์ มาร์ แต่คิวบู๊ของพวกเขาก็เท่ มัน(ส์) และแมนมาก ยอมรับ





    โดยสรุป ประทับใจมาก เนื้อเรื่องดี โปรดักชันดี แสดงดี เลอค่า บันเทิง สนุก งดงาม ไร้ที่ติ แต่ถ้าอยากให้ติก็คงติเรื่องเดียวคือ CG บางฉากก็เท่านั้น (แต่ก็ไม่ได้ติอะไรมาก เพราะปกติเห็นของหนังไทยมาเยอะ และอันนี้โดยรวมมันก็ออกมาค่อนข้างเนียน) เอาเป็นว่าให้ 9.5/10 ก็แล้วกัน (แต่ในใจ นี่พูดเลย 10! 10! 10!)







  •             รีวิว Life: เอเลี่ยนสายพันธุ์มฤตยู


    LIFE เป็นหนังที่ถ้าตัดสินแค่จากเทรลเลอร์ มันเป็นหนังที่โคตรน่าดู เพราะหน้าหนังเป็นหนังทริลเลอร์ไซไฟอวกาศ มีเอเลี่ยน (ที่ยังไม่เปิดเผยหน้าตาให้โลกเห็นในเทรลเลอร์) และมีดาราเบอร์ใหญ่อย่าง Jake Gyllenhaal (ผู้เข้าชิงออสการ์จาก Brokeback Mountain), Ryan Reynolds (ผู้เข้าชิงลูกโลกทองคำจาก Deadpool), และ Rebecca Ferguson (นักแสดงหญิงดาวรุ่งจาก MI5 – Rogue Nation) เป็นแม่เหล็ก โดยเฉพาะหน้าของ Jake Gyllenhaal ที่ทำให้เราหลงคิดว่าหนังเรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ธรรมดา

    แต่เอาเข้าจริง LIFE เป็นหนังไซไฟธรรมดาเรื่องหนึ่ง ไม่มีอะไรแปลกใหม่หวือหวา ดูเป็นหนังอวกาศเกรดบีหรือพูดตรง ๆ ก็คือดูทุนไม่สูง (ไม่รู้ใช้ไปกับการจ้างนักแสดงเกรดเอหมดหรืออย่างไร) แสงสีเสียงและโปรดักชั่นดูซอมซ่อมาก มองในแง่ดีคือ มันก็สมจริงในแง่ยานอวกาศลำนี้ดูใช้มาแล้วเยอะจริง ไม่ได้ใหม่แกะกล่องเนียนกริบเหมือนในหนังไซไฟหลาย ๆ เรื่อง

     

    LIFE เป็นเรื่องของทีมนักวิทยาศาสตร์บนยาน ISS ที่พบเซลล์จากดินดาวอังคารที่เสมือนมีชีวิตได้ 1 ตัว และศึกษามันบนยาน Hugh Derry (Ariyon Bakare) ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นจนมันมีชีวิต ชาวโลกตั้งชื่อให้มันว่า Calvin แต่ไม่นานมันก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้น ฉลาดขึ้น และอันตรายขึ้น ทำให้ Hugh และคนในยาน ได้แก่ Miranda North (Rebecca Ferguson), David Jordan (Jake Gyllenhaal), Rory Adams (Ryan Reynolds), Sho Murakami (Hiroyuki Sanada), และผู้การ Ekaterina Golovkina (Olga Dihovichnaya) ต้องพากันสู้และหนีเอาตัวรอด

    LIFE = “Alien” + “Gravity” กล่าวคือ ก็มีเอเลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดที่ตามล่าตามฆ่ามนุษย์ทุกคนบนยาน แต่เพิ่มประเด็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเข้าไป ประมาณว่าเอเลี่ยนมันฆ่าคนไม่ใช่เพราะมันดุร้ายซะทีเดียว หากแต่เป็นเพราะมันต้องเอาตัวรอด ส่วนพวกมนุษย์ทั้งหลาย… แน่นอนว่า ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด หาทางกลับโลกโดยสวัสดิภาพ โดยที่ต้องไม่ถูกเอเลี่ยนฆ่าตายกลางทางและต้องไม่พาเอเลี่ยนลงมายังโลกด้วย

    ในส่วนของประเด็น survival นั้น ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจาก Gravity แต่ที่ไม่เข้าใจคือ หนังเรื่องนี้ทำทีหลัง Gravity ตั้งหลายปี ใจคอจะไม่ทำออกมาให้ดีกว่าของเก่าเขาหน่อยหรอ ในส่วนของความทริลเลอร์ของเอเลี่ยน เราว่าไม่ค่อยน่ากลัวหรือถึงกับลุ้นจิกเบาะอะไร พอดูได้ไปเรื่อย ๆ แต่ยังไงก็แอบเสียดายที่หนังไม่มีอะไรแปลกใหม่เลยนั่นแหละ ส่วนของความกดดัน ก็ไม่เท่า Gravity เพราะในเรื่องนี้ยานกว้างใหญ่กว่า ตัวละครเยอะกว่า ก็ร่วมด้วยช่วยกันหนีเอเลี่ยน ไม่ได้มีนางเอกหนีตายเครียด ๆ อยู่คนเดียวทั้งจักรวาลเหมือน Gravity

    ตัวละครบางตัวมาไม่ค่อยเต็มอิ่มสักเท่าไหร่ และสุดท้ายก็เดาไม่ยากว่าใครจะได้เป็น survivors ถึงแม้ในส่วนของตอนจบของหนัง LIFE มีความตั้งใจชัดเจนว่าเขาพยายามจบเรื่องอย่างมีอะไร แต่จากใจของคนดูหนังอย่างเรา เราพูดเลยว่า มันไม่โอเค มันไม่น่าประทับใจ และไม่มีอะไรน่าจดจำ (แต่บางคนอาจจะชอบตอนจบแบบนี้ก็ได้ ก็ไม่รู้สินะ)

    คะแนนตามความชอบส่วนตัว 6.5/10 (ตอนแรกว่าจะให้ 7 นะ แต่พอเจอหนังจบแบบนี้ หักคะแนนนาทีสุดท้ายไปเลย 0.5 แต้ม)

    LIFE เข้าฉาย 23 มีนาคม 2017 ในโรงภาพยนตร์



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Anuson Ngamsub (@fb6153076720089)
รีวิวได้น่าสนใจ อ่านแล้วอยากไปตามดูเลยอ่ะ!!