เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
MINEGraindeThun
Review & Spoil - STAR TREK BEYOND - 'อวกาศ สิ่งที่ต้องแบกรับ และการพบกันครึ่งทาง'
  • ' Space, the final frontier. Theseare the voyages of the starship Enterprise...


    ในบทความนี้ เรากะจะมาเล่าให้ฟังเฉยๆ คือมันยาวมากกกกก ซึ่งใครไม่อยากอ่านอะไรที่มันเวิ่นเว้อก็ปิดเถอะค่ะ เสียเวลาในการอ่านสุดๆ


    เป็นเวลา 8 วันแล้วสำหรับการฉายภาพยนตร์แอคชั่น-ไซไฟภาคต่ออย่าง'Star Trek Beyond' หรือในชื่อไทยก็คือ 'สตาร์ เทรค ข้ามขอบจักรวาล' นั่นเอง

    จริงๆแล้วในตอนแรกที่ชื่อไทยยังไม่ออก เราก็ตั้งชื่อให้เล่นๆว่า 'สตาร์ เทรค สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น' อ่ะนะมีความบัซไลท์เยียร์ไปอีก55555


    ซึ่งตั้งแต่กำหนดวันฉาย เราก็ตั้งตารอคอยชนิดที่ว่านับเดือนนับวันรอกันเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่างก็ทำให้แอบหวั่นใจเล็กๆว่า

    ' อวกาศ พรหมแดนด่านสุดท้าย...
    การเดินทางครั้งใหม่นี้จะเดินทางไปได้ไกลแค่ไหน จะรุ่งหรือจะร่วงกันแน่นะ'

    อนึ่ง ด้วยชื่อของผู้กำกับที่จะมารับผิดชอบหนังภาคต่อนี้ ก็คือ Justin Lin ผู้โด่งดังจากการกำกับหนังฟอร์มยักษ์ซีรีย์ดังอย่าง Fast ทั้งหลายแหล่นั้น ก็ เอาหล่ะหว่า... ภาคนี้คงจะได้เห็นกปิตันคนเก่งพาเอนเทอร์ไพรซ์ซิ่งเป็นแน่แท้ แล้วก็คิดวนไปจนถึงวันฉายนั่นแหละค่ะ (ซึ่งหลังดูจบก็ต้องขอแก้คำพูดและความคิดทั้งหมดทั้งมวลที่ปรามาสแกไว้ เพราะหนังทำออกมาได้ดีจริงๆ)

    ซึ่งในสองภาคก่อนได้  J.J. Abrams เป็นทั้งผู้กำกับและยังเป็นผู้ขุดเอาเทรคมาปัดฝุ่นรีบูท ใส่สีใส่สันซะใหม่ แถมด้วยเลนส์แฟร์อีกสามร้อยโหล เพิ่มความวิ้งวั้งสะท้านลูกตากันไป

    แต่ในภาคนี้ เจเจขยับไปนั่งแท่นโปรดิวเซอร์แทนค่ะ....


    เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ...


    เรื่องเปิดมา เป็นเหตุการณ์ที่อยู่ระหว่างภารกิจ 5 ปีของยานเอนเทอร์ไพรซ์ ต่อจากภาคก่อนเป็นเวลาถึง 3 ปีครึ่ง (ก็ใครมันจะไปเจอเหตุการณ์พีคๆได้ทุกปีล่ะจริงมั้ย ไม่งั้นก็ต้องเป็นฉบับTOSแล้วแหละเนอะ) และด้วยเวลากว่าสามปีนี้ ก็ทำให้อะไรๆเปลี่ยนไปอย่างที่ตัวเคิร์กได้เกริ่นไว้ในต้นเรื่อง ทั้งความสัมพันธ์ของลูกเรือ  บางคนก็ต้องลาจากคนที่รักและบ้านที่อบอุ่นมา เพื่อเป้าหมายของชีวิตที่แปรผันสู่อวกาศที่ไร้ขอบเขตและความแน่นอนในภารกิจนี้ และนี่เองก็เป็นเหตุให้กัปตันของเรา 'ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหนและกำลังไขว่คว้าหาอะไรกันแน่' ได้แต่นั่งปลงตกและคิดที่จะลาออกจากการเป็นกัปตัน ไปนั่งตีพุงเป็นนายพลอยู่หลังฉากแทน

    พ่อหนุ่มน้อยรัสเซียคนเก่ง ฉลาดปราดเปรื่อง และมีอายุน้อยที่สุดในยาน 'เชคอฟ'
    ในหนังเราจะได้เห็นพัฒนาการของเขาที่แบบ...แม่เจ้า!! เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ผ่านไปสามปี จากหนุ่มน้อยหน้าใสกลายเป็นหนุ่มขี้หลีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่เปิดเรื่องมาก็โดนสาวไล่ออกจากห้องเลยจ้ะ (จะสงสารดีมั้ยเนี่ย) แถมมีการซ่อนเหล้าชั้นดีไว้ในล็อกเกอร์ด้วยนะ ร้ายกาจ!! แต่เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

    แต่สิ่งทำให้เรายิ้มได้ไม่สุด ก็คงเป็นเพราะ Anton Yelchin ตัวนักแสดงนั้นได้ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิตไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกและเสียใจให้กับทั้งครอบครัว เพื่อนนักแสดง รวมทั้งแฟนๆอย่างเราเป็นอันมากเลยค่ะ (ทั้งที่อีกแค่เดือนเดียวหนังก็จะเข้าฉายแล้วแท้ๆ)


    เอาล่ะกลับมาที่หนัง...


    ซึ่งเนื้อเรื่องช่วงต้นจะเป็นการกลับมาเติมเสบียงที่ ยอร์คทาวน์
    เป็นดาวเคราะห์จำลอง เหมือนทาวน์ที่ห่อหุ้มด้วยกระจกใส (แต่ไม่น่าจะใช่กระจกนะ น่าจะได้เห็นกันใน Trailerแล้ว) ที่นี่ต่างจากโลกตรงที่นอกจากมนุษย์ก็จะมีเอเลี่ยนที่เขาเครมว่ามีถึง 53 สายพันธุ์อยู่รวมกัน นั่นแหละค่ะ  และความตื่นตาทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกทลายลงด้วยความตื่นตูมของคุณหมอแมคคอยที่ว่า "ดูแล้วมันไม่น่าเครียดเลยรึไง อย่างกะสโนว์โกลบที่รอเวลาแตกชัดๆ" ตอนนี้ก็คือหลุดขำพรืดอ่ะค่ะ สมเป็นแกจริงๆ55555

    เมื่อยานเข้าเทียบ ลูกเรือทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน บ้างก็มีครอบครัว เพื่อน หรือคนที่รักมากรอรับอยู่ก่อนแล้ว คาดว่าที่ยอร์คทาวน์น่าจะเป็นที่อาศัยของครอบครัวทหาร และเป็นที่ตั้งโรงเรียนของสตาร์ฟลีทด้วยแหละ (เห็นมีนักเรียนทหารชุดแดงเดินกันให้ว่อน)

    และบางคนคงได้ข่าวมาสักพักก่อนหนังจะฉายซะอีกว่า ซูลู นั้นเป็น เกย์ และบ้างก็ยังไม่เก็ทว่าทำเพื่ออะไรใช่มะ? คืองี้ นี่มันก็ 2016 แล้วอ่ะนะ...

    อนึ่งผู้กำกับเขาต้องการทำเพื่อเป็นเกียรติให้กับ George Takei ผู้รับบทซูลูในซีรีย์TOS ที่เปิดตัวว่าเป็นเกย์ในปี 2005 อีกประการคือ เขาต้องการจะสื่อว่าการเป็น LGBT นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอีกต่อไปในสมัยนั้น เขาก็อยู่กันมาแบบนี้ตั้งร้อยสอยร้อยปีแล้วอ่ะ โลกก็ยังไม่แตก มนุษย์ก็ยังไม่สูญพันธุ์นะ อะไรงี้

    ซึ่งในหนังเราจะได้เห็นครอบครัวฮิคารุ (แฟนหนุ่ม+ลูกสาว) มารอรับคุณซูลูกลับบ้านนั่นเอง


    'เพราะหน้าที่นั้นสำคัญกว่าทั้งความรักและความรู้สึก'

    ตัดมาที่อีกด้าน เราจะเห็นความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างคุณต้นเรือ หนูผีหูแหลม สป็อค กับ อูฮูร่า
    ด้วยเหตุที่ว่าดาวของสป็อคได้ถูกทำลายไปตั้งแต่ภาคแรก ชาววัลแคนจึงต้องอพยพไปสร้างดาวใหม่คือ ดาวนิววัลแคน ซึ่งแต่เดิมท่านราชฑูตสป็อคก็เป็นคนที่คอยดูแลในด้านนั้น เขาก็อยากจะกลับไปช่วย ปั๊มลูกปั๊มหลาน ฟื้นฟูดาวของเขาด้วยอีกแรง แต่ไม่ทันไรสป็อคก็ได้รับข่าวร้ายว่า ท่านราชฑูตได้จากไปเสียแล้ว เขาจึงลังเลว่าควรจะลาออกไปสานต่องานของท่านดีมั้ย

    สปีชในฉากจะประมาณนี้ล่ะค่ะ...

    "ขอบคุณที่ท่านนำข่าวนี้มาบอกผม ขอให้ยั่งยืนและรุ่งเรือง" สป็อคกล่าวขอบคุณกับผู้นำสารสองคน เมื่อทั้งสองเดินจากไป เขาพินิจดูสารในมืออยู่ชั่วครู่และทอดสายตาผ่านหน้าต่างไกลออกไป มีเพียงภาพสะท้อนของอวกาศอันเวิ้งว้างและความสับสนที่เด่นชัดในดวงตาของสป็อคเท่านั้น

    ฉากนี้คือ โหวง ของจริงค่ะ เนื่องด้วยปู่ Leonard Nimoy ผู้รับบทเป็นท่านราชฑูตสป็อค (และสป็อคมาตลอดตั้งแต่TOS) นั้น ได้เสียชีวิตจริงๆตั้งแต่ปี 2015 ด้วยวัย 83 ปี เราเกือบจะร้องไห้แล้วค่ะ ทั้งสงสารตัวสป็อคแล้วก็รำลึกถึงปู่นิมอยด้วย เรียกได้ว่าอินกับหนังที่สุดในชีวิตก็คราวนี้ล่ะค่ะ

    และหลังจากนั้นก็เข้าเนืื้อเรื่องหลัก...

    เมื่ออยู่ดีๆ ทางกองยานก็ได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือจาก เอเลี่ยนสาวปริศนา ที่มาพร้อมกับยานชูชีพของเธอ (ที่ตอนแรกตกอกตกใจกันเพราะเป็นยานที่ไม่ระบุสัญชาติ) และแน่นอนว่าทางสตาร์ฟลีทก็ต้องสาวที่มาที่ไปกันสักหน่อย.... จึงได้ความว่าเธอเป็นนักสำรวจทางวิทยาศาสตร์จากภารกิจสำรวจเนบิวลาที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อน (ไม่ได้สังกัดกับสหพันธ์นะคะ) และยานของเธอเกิดขัดข้องขอให้ส่งคนไปช่วยที แต่เนบิวลานั่นน่ะอยู่ไกลและอันตรายมากนะ ต้องขอยานที่มีสมรรถนะดีที่สุด เขารีเควสมางี้ก็แน่ล่ะค่ะ กัปตันของเราก็ออกหน้าเองว่า เอนเตอร์ไพรส์น่ะดีที่สุดในกองยานแล้ว ตามสูตร

    คือ... ไม่ใช่ว่าพระเอกโง่เชื่อนางแบบไม่ลืมหูลืมตานะคะ ลองคิดดูก่อน ถ้าเกิดปฏิเสธที่จะช่วยเหลือนาง ดีไม่ดีอาจจะก่อให้เกิดสงครามระหว่างสมาพันธ์กับฝั่งที่นางสังกัดอยู่ก็ได้นะ (เรายังไม่รู้นี่ว่านางมาจากไหน) และเจ้าเนบิวลาที่จะไปเนี่ยก็ไม่เคยได้รับการสำรวจมาก่อน จริงๆก็ไม่ต่างจากการทำภารกิจดั้งเดิมของยานอยู่แล้ว การตอบตกลงจึงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลยจริงมะ?

    บอกเลยค่ะว่าขึ้นชื่อว่าหนังแอคชั่นก็เป็นธรรมดาที่จะมีพล็อตที่ไม่ค่อยแปลกตา เน้นบู๊อยู่เป็นนิจ เราคงเอาไปเทียบกับ Interstellar หรือเรื่องอื่นๆไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าใครอยากได้พล็อตแปลกใหม่ก็อย่าหวังไว้สูงเลยค่ะ บางทีแค่ดู Trailer ก็ปะติดปะต่อจนรู้เรื่องหมดแล้วก็มี เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องคร่าวๆก็ตามนี้นะคะ...

    มาถึงเนบิวลา ระหว่างเดินทางไปยังยานที่ขัดข้อง (ที่ตกในดาวใกล้ๆนั้น)  ยังไม่ทันไรยานเอนเทอร์ไพรซ์ก็ถูกจู่โจมจนหนีไม่รอด ยานที่จู่โจมเข้ามามีมากมายมหาศาล ลูกเรือต่างถูกสั่งให้สละเรือ ต่างแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนล่ะทิศละทางในยานชูชีพของตนเอง สุดท้ายก็ถูกจับไปเป็นเชลยหมด (ยานชูชีพของลูกเรือถูกเรียกว่า ยานเคลวิน ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับยานของพ่อเคิร์กค่ะ)

    ตัวเคิร์กที่เป็นกัปตันก็ต้องอยู่ส่งลูกเรือให้ออกไปครบก่อน แล้วจึงขึ้นยานหนีออกมาเป็นคนสุดท้าย เราจะเห็นฉากนี้ใน Trailer เป็นฉากที่กัปตันมองยานตัวเองพังพินาศและค่อยๆร่วงลงสู่พื้นในที่สุด
    แม้จะเป็นฉากเล็กๆที่ค้างไว้ไม่ถึง 10 วินาที แต่ คริส ไพน์ กลับแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าและสายตาได้ดีมากๆ อารมณ์แบบ...ทั้งที่อยากจะร้องไห้มันซะตรงนั้นแต่ก็เข้มแข็งเกินกว่าจะร้องอ่ะ เศร้าแทนเลย

    ทำไมมันถึงจู่โจมยานน่ะเหรอคะ ก็เพราะของสิ่งนึงบนยานนี้แหละค่ะ (ออกมันตั้งแต่ต้นเรื่องเลย)

    ซึ่งมันก็คือ อินฟินิตี้เจ็มอีกเม็ดยังไงล่ะ!!!  ------ มันคือชิ้นส่วนอาวุธโบราณน่ะค่ะ (ชื่ออะไรจำไม่ได้)

    'ฉันไม่เข้าใจเลย ที่มันโจมตีเราเพราะมันอยากได้ ของอะไรก็ไม่รู้ที่ขนาดเอเลี่ยนตัวจิ๋วยังไม่เอาเนี่ยนะ' เสียงโวยจากคุณหมอแมคคอย หลังจากตกลงมาที่ดาวพร้อมกับสป็อค

  • เราชอบภาคนี้ตรงที่ให้ลูกเรือแยกกันนี่แหละค่ะ ประมาณว่า รวมกันเราอยู่แต่ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?
    นี่แหละความแปลกใหม่ของภาครีบูทล่ะ สำหรับภาคนี้เรื่องการกระจายบทนั้น ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีมากๆ จากที่เราเคยเห็นพวกเขาแค่จิ้มปุ่มนู้นปุ่มนี้มือเป็นระวิง เพื่อหาสาเหตุว่า ทำไมเราถึงยังไม่วาร์ป!? แต่ในเรื่องเราจะได้เห็น การทำงานเป็นทีมจริงๆ ที่แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ลูกเรือแต่ละคนก็รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรอย่างไร จึงจะรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ไปได้

    และเขาอยู่กันเป็นคู่นะคะ ทำให้บทไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด
    ดร.ปากจัด และระมัดระวังจนเกินเหตุ (ขี้กลัว) พบกับ วัลแคนผู้อยู่กับตรรกะตลอดเวลา ซึ่งถ้าเขาทั้งสองไม่ได้ตกลงมาพร้อมกัน คาดว่าสป็อคคงตายตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วล่ะค่ะ เพราะบาดเจ็บหนักอยู่

    อีกด้านคือกัปตันเคิร์กที่กำลังเสียศูนย์ (ทั้งเสียยาน+ลูกเรือ) และลูกเรือหนุ่มน้อยอัจฉริยะเชคอฟ ประมาณให้กัปตันบู๊ไป ผมบุ๋นเองครับ ทั้งสองตกลงมาพร้อมกับ คาลาร่า (เอเลี่ยนสาวยานเสียอ่ะแหละ) ซึ่งสุดท้ายก็เป็นไปตามคาด นางนั่นแหละเป็นพวกตัวร้าย และด้วยผลกรรมที่ทำไว้ หลังจากถูกเปิดโปงนางก็ตายอนาถอย่างสาสม (ยิ้มเยาะเลยค่ะ ณ จุดนี้ หึ...)

    และเหมือน ใน Trailer จะเห็นว่าสก็อตตี้นั่งตอปิโดแบบในภาคสองออกมาคนเดียว แถมมาตกที่ดีซะด้วย ตรงขอบหน้าผาค่ะ ป้าด!! กระตุกทีนึงนี่ก็ได้ดิ่งลงไปเฝ้ายมบาลแล้ว! ดีนะที่รอดมาได้... (สกิลตัวเอกสุดๆ) แล้วก็ตามนั้น เขาลงมาเช็คดูเศษซากที่เหลือของตอปิโด ก็ได้พบเข้ากับ เจลาห์ โดยบังเอิญ อ๋อ พอดีนางมาเก็บเห็ดน่ะค่ะ ล้อเล่นๆ ก็มาเก็บซากตอปิโดนี่แหละ (นึกถึงหนูเรย์ใน Star Wars 7 เลยเนอะ)

    คือโคตรบังเอิญที่ทั้งสองคนเก่งเรื่องซ่อมๆเหมือนกัน ทำให้สนิทกันได้อย่างรวดเร็ว สก็อตตี้เรียกนางว่า 'สาวน้อย'ด้วยแหละ ให้อารมณ์พี่น้องน่ารักดี นางพาเขามาที่บ้านของนาง ที่จริงๆแล้วก็คือยาน USS Franklin ของสตาร์ฟลีทนี่แหละ แต่มันได้หายสาญสูญไปกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว!! และยานที่น่าจะพังไปตั้งนานแล้วลำนี้ ก็กลับมาใช้งานได้ด้วยฝีมือการซ่อมของเจลาห์ ขาดอยู่ก็แค่ระบบบีมวาร์ป จุดนี้ทายซิใครจะเป็นคนช่วยซ่อม?

    อีกด้านนึงซึ่งถูกจับเป็นเชลยก็มี อูฮูร่า ซูลู ลูกเรือคนอื่นๆ รวมทั้งคีนเช่อ (เจ้าตัวเล็กของสก็อตตี้) ที่ช่วยกันพยายามหาทางติดต่อกับสตาร์ฟลีทเพื่อขอความช่วยเหลือ
    จริงๆแล้วทั้งสองคนก็ติดต่อสำเร็จนะคะ แต่ตัวโกงดันหัวไวเปลี่ยนตำแหน่งสัญญาณไป ล่อให้กองยานเอายานออกมาเปล่าๆ จนที่ยอร์คทาวน์เรียกได้ว่าแทบไร้การป้องกันเลยทีเดียว โอ้ยยย ไม่น่าฉลาดเลย!!

    เพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะรอดได้ก็คือ ช่วยตัวเองค่ะ!!

    และหลังจากนั้น เคิร์กกับเชคอฟก็ได้มาเจอกับสก็อตตี้ และเผอิญจับสัญญาณติดต่อจากดร.ได้พอดี ก็คงจะเดากันออกตามใน Trailer แล้วนะคะ ว่าฉากที่สป็อคบีมหายไปน่ะ ฝีมือใคร....

    ซึ่งตอนนี้ก็เป็นฉากฮาอีกฉากนึงเลยค่ะ เป็นความนกของหมอแมคคอยที่หันมาแล้วไม่เจอใคร55555


    จริงๆฉากระหว่างที่สป็อคกับหมอแมคคอยอยู่ด้วยกันนี่โคตรพีคเลยนะคะ ทั้งโหด มัน ฮา แต่ที่พีคจริงๆแบบ เห้ย!แบบนี้ก็ได้เหรอ นั่นคืออะไรรู้มั้ยคะ....

    'สป็อคหัวเราะ' ค่ะ กรี้ดดดดด นี่ถ้าไม่เกรงใจคนทั้งโรงนี่ลุกขึ้นไปตะกุยจอแล้วนะคะ
    ถึงแม้จะเห็นแซคคารีที่แสดงเป็นสป็อคหัวเราะจนชินตาแล้วเถอะ แต่นี่มันสป็อคค่ะ!สป็อค!!! โอ้แม่เจ้า คุ้มแล้วมั้ยกับเงินที่บินออกจากกระเป๋า แค่มาดูวัลแคนเพ้อเพราะพิษบาดแผลก็พอใจแล้ว...

    แล้วเรายอมใจทักษะในการแปลมุขมากเลยค่ะ คือเราดูทั้งพากย์ไทยทั้งซาวน์แทร็คเลย
    จำได้ว่ามันมีที่หมอโบนส์บ่นว่า Sh*t (= เฮงซวย/ห่วยแตก แปลตรงๆคือ ขี้ นั่นล่ะ) แปลเป็น ขี้ฮก ก็เข้าใจเลือกคำดี รับกับที่สป็อคจะถามต่อพอดีว่า "ผมไม่เข้าใจว่าอุจจาระเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง" 555555 โถ สป็อคเอ๊ยยยย

    กลับมาที่ด้านตัวร้ายของเรา พี่แกมีนามว่า ครัลล์ อายุอานามก็ปาไปร้อยกว่าปีแล้วค่ะ ได้มาจากการดูดพลังของสิ่งมีชีวิตอื่นมาเป็นของตัวเอง (ตอนที่บุกยานเอนเตอไพรส์ลูกเรือก็โดนสูบจนแห้งเลย บรื๋ออออ) ส่วนเป้าหมายอย่างแรกก็เหมือนที่บอกไป ว่าอยากได้ชิ้นส่วนอาวุธโบราณบนยานเพื่อมาล้างแค้นสหพันธ์ค่ะ ส่วนล้างแค้นเรื่องอะไร อยากให้ลองเดาจากสปีชกับอายุของพี่แกเอานะ

    'พวกแกคิดว่ารู้จักคำว่า การเสียสละ จริงๆงั้นเหรอ? สมาพันธ์สอนแกว่าอย่าสร้างความขัดแย้ง แต่ในโลกที่ไร้การต่อสู้ นายจะไม่ได้รู้จักตัวตนจริงๆของมันหรอก...' อะไรประมาณนี้แหละจำไม่ได้

    และเราจะได้เห็นพี่แกแสดงแสนยานุภาพของ'อาวุธ' ที่ประกอบจากชิ้นส่วนที่ไปบึ้มเอามาจากยานด้วย โคตรน่ากลัวเลยอ่ะ แพร่ได้ตามอากาศและฆ่าได้เฉพาะสิ่งที่มีชีวิต ถ้าเอาไปปล่อยในยอร์คทาวน์สิ่งมีชีวิตก็ต้องตายหมด เหลือไว้แค่เมืองเปล่าๆให้ยึดอ่ะ โหดร้ายมาก!!

    แล้วก็ถึงคราที่ต้องช่วยเชลยแล้วค่ะ เคิร์ก สป็อค โบนส์ เชคอฟ สก็อตตี้ รวมทั้ง เจลาห์ ที่ตอนแรกกะจะไม่เอาด้วย (เพราะนางมีอดีตฝังใจกับครัลล์ค่ะ) ร่วมกันวางแผนบุกฐานเพื่อช่วยพวกลูกเรือออกมา

    แล้วปฏิบัติการณ์ fast & furious ก็ได้เริ่มขึ้น เปิดมาด้วยการดริฟมอไซค์เป็นตัวล่อของกัปตันเคิร์ก (ฉากกรี้ดมาก บอกเลยว่าแคปเท่ห์โคตรๆ) โดยมีเจลาห์โดดไปเป็นสไนเปอร์คอยยิงไอ้พวกลูกกระจ๊อกที่ขวางทาง และตัวหลักก็คือ โบนส์ กับ สป็อค ที่ต้องไปช่วยพวกลูกเรือ ซึ่งในตอนสุดท้ายเราจะได้เห็นฉากสู้กันระหว่างเจลาห์กับมานัส (สมุนเอกของครัลล์) อีกทั้งยังเป็นการล้างแค้นมานัสไปด้วยในตัว

    เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งลูกเรือและกัปตันก็อยู่กันครบแล้วบนยานแฟรงคลิน แต่ก็ติดปัญหาโลกแตกของเรื่องที่ว่า 'ทำไมเรายังไม่ไปไหนอีก!?' (คุณซูลูก็โดนแขวะไปตามระเบียบ) จากนั้นก็ต้องอาศัยการเคลื่อนที่แบบโปรเจคไทล์อีกนิด กับการติดแหล่ไม่ติดแหล่ของยานอีกหน่อย สร้างความหวือหวาในการขึ้นบิน (ซึ่งก็ไม่ต้องลุ้นอ่ะค่ะ เพราะยังไงก็คงจะบินขึ้นได้อยู่แล้วแหละ555)

    จากนั้นยานก็รีบวาร์ปกลับมาที่ยอร์คทาวน์ ตามก้นกองยาน ฝูงผึ้ง ของครัลล์มาติดๆ

    ในภาคนี้ก็เปลี่ยนรูปแบบการวาร์ปอีกแล้วค่ะ สองภาคก่อนจะเหมือนกับรูหนอนมีแสงเป็นสายๆ แต่ในภาคนี้เหมือนกับการแหวกห้วงอวกาศคล้ายๆเรือที่แล่นไปตามน้ำมากว่าอ่ะ คือแลดูเป็นน้ำเอามากๆ (แต่สวยไปอีกแบบนะ)

    และก่อนที่จะเข้าถึงยอร์คทาวน์ ก็ต้องฝ่ายานรบเป็นหมื่นเป็นแสนที่ขวางทางอยู่ก่อน และด้วยรูปแบบ ฝูงผึ้ง นี้ก็มีจุดอ่อนอย่างใหญ่หลวงที่ 'พวกมันคิดเองไม่ได้ มันทำตามคำสั่งอย่างเดียว เพราะงั้นเราจะรบกวนสัญญาณคำสั่งมันซะ ฮ่าๆๆๆ' เจลาห์นางก็จัดให้ตามคำขอ ด้วยการปล่อยคลื่นแทรกความถี่สูง ที่จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากเสียงเพลงนี่แหละ ส่งให้พวกมันระเบิดเป็นจุนกันไปทั้งฝูง ฉากนี้ตระการตามากค่ะ ทั้งเสียงทั้งแสง ได้แต่กู่ร้องในใจว่า เหยดดดดดด ให้มันได้อย่างงี้!!!

    โดยเพลงที่นำมาบึ้มยานมันก็คือเพลง Sabotage (วินาศกรรม) ของ The Beastie Boys ค่ะ (เป็นเพลงเดียวกับที่เคิร์กเปิดในรถตอนภาคแรกด้วย แคปเลยบอก 'It's a good choice' )

    เมื่อกองยานวินาศสันตะโรไปเรียบร้อย ก็เหลือแค่ตัวหัวหน้าแล้วล่ะค่ะ ซึ่งพี่แกดันพริ้วเจาะเข้ายอร์คทาวน์นำไปได้ก่อน แต่พระเอกก็เทพไง เลยซิ่งยานไปดักหน้าทัน ก็โดนชนเข้าอย่างจัง(ยานพี่แกอ่ะเละ) แต่ครัลล์ดันถึกหนีรอดไปได้ จะเอาอาวุธไปปล่อยเข้าระบบหมุนเวียนอากาศเพื่อให้แพร่กระจายไปทั่วทั้งยอร์คทาวน์

    ------ ตัดไปตอนจบเลยละกันค่ะ --------

    และฉากจบสุดท้ายก็คงไม่วายแฮปปี้เอนด์ ลูกเรือต่างก็ละจากภารกิจไปรักษาตัวระยะยาว ตัดมาที่เคิร์กซึ่งเพิ่งจะได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า การเป็นนายพลอะไรนั่นน่ะ มันจะไปสนุกตรงไหนกัน!? (เหยดดด นี่สิ เจมส์ ที. เคิร์กตัวจริงของเรา!!) และอีกด้านหนึ่ง สป็อคที่เพิ่งได้รับข้าวของที่เหลือไว้ของท่านราชฑูตสป็อค ก็ได้พบเข้ากับรูปนี้ค่ะ

    ฮื้ออออ ฉากนี้น้ำตาคลอเลย ตื่นตันใจที่มีโยงเข้ากับภาค TOS คงเพราะเนื่องในวาระครบ 50 ปีของสตาร์ เทร็ค และยังเป็นรำลึกถึงปู่นิมอย + นักแสดงคนอื่นๆด้วย ส่วนตัวสป็อคก็คงคิดได้ว่า การสานต่องานของท่านราชฑูตที่แท้จริงแล้ว ก็คือการอยู่เคียงข้างกัปตันและลูกเรือของเขาต่อไปนั่นแหละ...

    เป็นอันว่าทั้งเคิร์กและสป็อคก็ยังคงเป็นกัปตันและต้นเรือต่อไปค่ะ เย้!!!

    และฉากส่งท้ายของเรื่องนี้ ก็คืองานเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กับกปิตันคนเก่งของเรา (ที่สั่งไม่ให้โบนส์บอกใครแต่แกก็บอกหมด555) เจลาห์ก็ได้ประจำการในสตาร์ฟลีทอย่างที่ควรจะเป็นค่ะ ดีใจด้วย! และในช่วงนี้พวกเขาคงไม่ต้องเจอเรื่องพีคๆไปอีกสักระยะ จนกว่ายานลำใหม่จะสร้างเสร็จ ก็คือยาน USS Enterprise-A นั่นแหละ!! เรื่องถูกปิดท้ายด้วยสปีชอมตะประจำซีรีย์ ซึ่งสองภาคก่อนได้ปู่นิมอยเป็นคนร่าย แต่ภาคนี้ลูกเรือทุกคนสลับกันพูดปิดค่ะ

    'Space, the final frontier. Theseare the voyages of the starship Enterprise. Its 5-year mission: to explorestrange new worlds, to seek out new life and new civilizations, to boldly gowhere no man has gone before.'

    และในท้ายเครดิต ก็ไม่ลืมที่จะมีประโยคไว้อาลัยให้แก่สองนักแสดงอันเป็นที่รัก ผู้จากไปของเรื่องด้วย


    In loving memory of Leonard Nimoy

    for Anton


    เราออกหลังจากเครดิตไว้อาลัยจบ เลยไม่ทันฟังเพลง Sledgehammer ของ Rihanna ค่ะ

  • และก็มาถึงท้ายสุดของบทความนี้... (ซึ่งน่าจะถึงตั้งนานแล้ว คือโคตรยาวเลย)

    Star Trek Beyond ภาคนี้เราให้ 8.5/10 ค่ะ

    - 1 ด้วยความที่ดำเนินเรื่องไวไปนิด + สตอรี่ของตัวร้ายยังไม่เป็นที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับข่านในภาคสองนะ (แต่ก็หักมุมใช้ได้อยู่)
    - 0.5 ด้วยความที่กล้องส่ายค่ะ โดยเฉพาะตอนสู้ คือปวดหัวมาก (รู้สึกไม่โอเคเลยตอนดูไอแมกซ์ ทั้งที่บางฉากเป็น Close-up แท้ๆยังส่ายเลย)

    ส่วนด้านเนื้อเรื่องหลักๆเราไม่ผิดหวังค่ะ เพราะไม่ได้หวังให้มันมีอะไรมากกว่านี้

    และขอชมด้านการกระจายบท ตัวนักแสดง การแสดง คอสตูม ฉาก ซีจีเอฟเฟค และซาวน์ประกอบด้วยค่ะ เฟอร์เฟ็กต์มากๆ และองค์ประกอบอีกอย่างที่ไม่ปรากฏในเรื่องก็คือ อภิมหาเลนส์แฟร์ อย่างที่คิดค่ะ สบายตาและไม่คุ้นตาในคราเดียวกัน (แต่เราก็ว่ามันก็วิ้งๆดีนะ แค่เยอะไปนิด555)


    Talk ก่อนจากสักหน่อยว่า...

    ภาคนี้นักแสดงหลักๆอย่างคริสไพน์ กับ แซกคารี ที่คนนึงเหมือนจะซูบลง ส่วนอีกคนเนื้อเยอะขึ้นเป็นกอง (แย่งกันกินรึเปล่าเนี่ย) + เริ่มมีริ้วรอยตามวัยแล้วอ่ะเนอะ อยากให้พวกเขาดูแลตัวเองมากขึ้นอีกนิดนึง

    สำหรับภาค 4 ที่น่าจะมาในเร็วๆนี้ ได้ข่าวว่าจะดึง คริส เฮม กลับมารับบทเป็นจอร์จพ่อของจิม + การเสียสมาชิกอย่างแอนตันไป เราก็นึกไม่ออกเลยค่ะว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน

    ส่วนที่ติดใจอยู่อย่างเกี่ยวกับพากย์ไทย คือ พี่ณัฐ คนพากย์ประจำของคริส ไพน์หายไปไหนคะ? คือเปลี่ยนคนพากย์อยู่คนเดียวทั้งเรื่อง ไม่ใช่พากย์ไม่ดีนะ แค่ฟังแล้วแปลกหูเฉยๆ (เราดูมันทั้งพากย์ไทยทั้งซาวด์แทร็กนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องตกใจ)

    และเหมือนจะได้ยินเพื่อนๆเรา + หลายๆคนบ่นว่า ทำไมภาครีบูทถึงไม่เป็นการผจญภัยบนดาวต่างๆเหมือนในซีรีย์บ้างล่ะ จะว่าไงดีอ่ะ.... คือเราต้องเข้าใจว่าหนังกับซีรีย์มันต่างกันอ่ะ หนังมีเวลาจำกัดแค่ 120 นาทีกว่าๆ (เทียบกะซีรีย์ก็ประมาณ2-3ตอนเอง)

    แต่ถ้าอยากได้ซีรีย์ขนาดนั้น เขาก็กำลังจะมีให้ชมค่ะ เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปีของสตาร์เทรคซีรีย์

    รู้สึกจะชื่อว่า STAR TREK DISCOVERY จะเริ่มออกอากาศผ่านทางช่อง CBS ในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งมีเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการเดินทางของยาน U.S.S. Discovery (NCC-1031) ซึ่งตัวละครหลักๆอย่างลูกเรือยังไม่ปรากฏ และตัวกัปตันก็อาจจะเป็นได้ทั้งผู้หญิง ชาวผิวสี LGBT หรือลูกครึ่งเอเลี่ยนอะไรต่างๆ ยังไงก็ลองติดตามข่าวกันต่อไปนะคะ


    'Live long and prosper'

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------
    The cover picture by  Annarettberg



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in