เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
See u off at MelbourneDeawpiairro Dos
See you off at Melbourne
  • คำนำ

    ผมไม่ใช่นักเขียนเค้าเรียกว่าอะไรนะ “มือสมัครเล่น”เออนั่นแหล่ะหรืออะไรก็แล้วแต่

    เอาเป็นว่าแค่เขียนได้ และในสักวันคงจะเขียนเป็น(ถ้าย่อหน้ามั่วๆ กูออกตัวละนะ)


    ที่จริงผมเป็นเซลล์แมน หน้าที่ส่วนใหญ่คือ “ขายของ” เคยขายมาหลายอย่างเสื้อผ้า ต้นไม้ ไส้กรอก กาแฟ ประแจ ดอกสว่าน ไขควง ไฟฉาย ไก่ทอด สติ๊กเกอร์ จนมาจบที่เป็นผู้ชายขายน้ำมันหล่อลื่น......ในปัจจุบัน  


               อืม.....ที่ว่ามานั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะเขียนสักนิด

               ก็อย่างที่บอกผมไม่ใช่นักเขียน ผมไม่รู้จริงๆว่าไอ้ตรงคำนำนี่เค้าเขียนอะไรกันและในขณะที่กำลังเขียนคำนำอยู่นี่เรียนท่านผู้อ่าน ผมยังไม่มีเนื้อหาใดๆเลยสักบท


    โดยปกติ ผมไม่แน่ใจว่ามันต้องเขียนเนื้อหาในเล่มก่อน แล้วค่อยมาเขียนคำนำ เหมือนในแผนธุรกิจที่เขียนลวกๆ สมัยเรียนมหาลัย ที่ต้องเขียนบทสรุปผู้บริหารตอนท้าย แล้วมาจัดเรียงใส่เล่มไว้ข้างหน้า

    เป็นแบบนั้นรึป่าว?

  • เฮ้ย! แต่คำนำก็ต้องเขียนก่อนสิไปเขียนทีหลังมันก็เป็นคำตามอ่ะดิ ???


    ชั่งเถอะ  กลับมาที่เนื้อหาดีกว่า


    เรื่องที่จะเขียน จะเรียกว่าเป็นงานเขียนอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตผมก็ได้

    เพราะก่อนหน้านั้นดูแล้วเป็นแค่ความคิดสะเปะสะปะ สั้นกุด ตื้นเขิน จับต้องไม่ได้

    และแน่นอน ไม่เคยมีใครได้อ่าน


    สรุป....มึงก็ยังไม่ได้บอกว่ามึงจะเขียนอะไรในเล่ม 555

    เอ้าบอกสิ บอก


    “ผมจะเขียนถึงดินแดนในฝัน”..............ที่นั่น......





    Melbourne: Australia



  •     

             สิบโมงครึ่งสนามบิน Melbourne(T2)ชายหนุ่มหญิงสาวลากกระเป๋าออกจากสนามบิน

    ดิ่งตรงเข้าหาเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์

            

             หวัดดีผมจะซื้อ ไมกิการ์ดได้ที่ไหน

             คุณจะไปไหน

             เข้าเมือง

             ใช้ไมกิไม่ได้วันนี้รถไฟ  s#@o*&f!+

                

             คือเจ๊ฝรั่งพูดเร็วมากฟังไม่ทันจริงๆ แต่พอเข้าใจว่าวันนี้รถไฟหยุดวิ่ง

    จะเข้าเมืองต้องนั่งสกายบัสอย่างเดียว 

            

              สกายบัสเป็นรถสีแดงคันโตที่วิ่งรับส่งระหว่างสนามบินกับสถาณีรถไฟ

    เซาธ์เทินครอส ซึ่งมันแพงมากกกก จนฉี่ออกทางหูเลยทีเดียว สนนราคาก็ 18AUD

    ขาดตัวห้ามต่อรอง

            

               หมดกันฝันสลาย หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็ง

    หาข้อมูลการนั่งรถเข้าเมืองแบบคนพื้นที่ โดยขึ้นรถเมล์ต่อรถไฟเหมาจ่าย

    ประมาณ7AUD กว่าๆเท่านั้นฮือ.........

  •           เอาวะมาครั้งแรกมีประสบการณ์แบบนักท่องเที่ยวไปก่อนแล้วกัน

             

              ขณะรถวิ่งเข้าเมือง สีหน้าของเหม่งดูกังวล แม้จะยังหันมายิ้ม

    แต่แววตาเศร้าซึมเห็นได้ชัด

     

             ระหว่างนั่งมองวิวทิวทัศบ้านเมืองประหลาดตา ดอกหญ้าสีเหลืองสวย

    เหมือนเอาคอนแฟล็กมาโปรยบนพื้นสีเขียวตามเนินเขา แล้วค่อยๆ

    เปลี่ยนเป็นภาพตึกอาคาร ห้างร้านเมื่อเข้าเขตเมือง ซักพักเราก็มาถึงที่หมาย

     

            รถเมล์สกายบัสสีแดงคันใหญ่ วิ่งเทียบชานชลา ผู้โดยสาร หัวแดงหัวดำ

    พากันลุกจากที่นั่งไปหยิบกระเป๋าในช่องวางแล้วจ่อคิวลงที่ประตู ก็ไม่รู้ว่าจะรีบกันไปไหน

       

            เราลากกระเป๋าพะรุงพะรังลงจากรถ มีเจ้าหน้าที่ชุดดำชี้นิ้วบุ่ยใบ้

    ให้เราเดินตรงไปที่เคาเตอร์ เราพะยักพะเย้อยืนต่อคิวสักพัก ก็ได้มายืนอยู่หน้าช่องเคาเตอร์เล็กๆ

    ซึ่งมีป้าฝรั่งแก่และอ้วนนั่งตัวเต็มเก้าอี้อยู่ในนั้น ตู้เคาเตอร์สีแดงนั้นดูแคบไปถนัดตา

  •           จะไปไหนป้าถาม

              ผมจะไปสเปซโฮสเทล

              สเปซโฮสเทล..........ป้าอ้วนตะโกนข้ามหัวเราไปบอกลุงอ้วนอีกคน

             

               ลุงอ้วนคนนั้นก็กวักมือเรียกเราหยอยๆ ให้ไปขึ้นรถบัสสีแดงคันเล็กที่จอดรออยู่

               นี่เป็นบริการของทางสกายบัส ที่จะไปส่งผู้โดยสารถึงหน้าโรงแรม.....ฟรี!....หรอ?

    ที่จริงก็รวมอยู่ในค่าตั๋ว 18AUDแล้วหล่ะ

             

              ถ้าใครไม่ได้ใช้บริการก็ถือว่ายกประโยชน์ไป

              ยกไปไหน?    ไม่รู้สิ......

             

               เนื่องจากนี่เป็นการมาออสเตรเลียครั้งแรกและเป็นครั้งแรก

    ที่ตกหลุมรักไปหมด รักแรกพบจริงๆ


              อากาศเย็นยะเยือก อาคารเก่าๆสไตล์ยุโรปกับคนต่างชาติยุบยับ

    ตามท้องถนนที่นี่สะอาดและ เป็นสัดส่วนดูมีระเบียบ


              แม้จะมีภาพเลอะๆอยู่บ้าง เช่นมีสีกระป๋องพ่นกราฟิตี้เป็นอักษรที่อ่านไม่รู้เรื่อง

    อยู่ทั่วไปหมด แต่ก็แปลกตาดี 

  •            บนเกาะกลางถนนและบนทางเท้า เต็มไปด้วยงานศิลปะรูปร่างประหลาด

              

               เป็นงานปั้นบ้าง งานเชื่อมบ้างบางอันถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่าเป็นงานศิลป์

    เหมือนใครเอาอะไหล่เก่าของเครื่องอะไรสักอย่างมาทิ้งข้างถนน

              

                ตัวอาคารสถานที่ ก็มีทั้งเก่าใหม่มีทั้งที่การตกแต่งดูมีแนวทางชัดเจน

    และที่ตกแต่งแบบระบุสไตล์ไม่ได้ ปะปนกันจนดูมั่วๆแต่

             

              โคตรจะ ลงตัว

              โคตรจะ เป็นตัวของตัวเอง

              โคตรจะ เมลเบริ์น

               ........

  •           ร้านส้มตำแห่งหนึ่งในเมืองชลบุรี...........

    “อ้วน....เค้าว่าเค้าจะไปเรียนต่อ.....เค้าว่าจะไปเรียนภาษาที่ อเมริกา......”

              ตอนแรกผมประหลาดใจ ถามย้ำว่าจริงหรอ พูดจริงป่ะเนี่ย

    แต่ดูสีหน้าจริงจังของเค้าแล้วไม่ต้องรอคำตอบก็รู้เลยว่าจริง 

             

              ผมออกอาการ...ดีใจ...แฟนผมคงคิดว่าหืมพอบอกจะไม่อยู่นี้

    ดีใจออกนอกหน้าเลยนะ ทำไมไม่ทำหน้าเศร้าแล้วอ้อนว่า อย่าไปๆ

    เหมือนแฟนคนอื่นเค้าฟะแง่งงงง  

              

             สำหรับคนอื่นคงใช่ แต่สำหรับผมระยะทาง หรือ ความห่าง

    ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเลย ผมมักห่วงเรื่องความสุข และอนาคต

    ของคนที่ผมรักมากกว่า

           

            หลังจากผ่านชีวิตมาระยะหนึ่งซึ่งก็คือทั้งชีวิตของผมนั่นแหล่ะ

    ผมพบว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรหรือสิ่งไหนเป็นของเราเลย

  •          ทุกอย่างมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จิตวิญญาณเราเอง 

    ก็แค่ผ่านมาอาศัยกายหยาบในโลกนี้แล้วก็ผ่านไป


             แล้วก็ค้นพบอีกว่าเมื่อเราดูแลสิ่งที่ผ่านเข้ามาหาเราให้ดี

    ให้เต็มที่มันจะเกิดความรู้สึกที่เรียกว่าความสุข 


            ผมจึงพยายามดูแลคนคนนี้ให้ดีที่สุดให้เค้ามีความสุขที่สุด

    ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อความสุข ของตัวผมเอง....


            ดั้งนั้น ความห่าง ระยะทาง หรือความกังวลว่าคนรักจะเปลี่ยนใจ

    จึงมีน้อยมากสำหรับผม


            ผมมีเป้าหมายที่ไกลกว่าความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากนัก

    ผมต้องการจะทำให้เค้าเป็นคนที่มีความสุขที่สุด คนหนึ่งในโลก

     

           และก็เป็นความเชื่อของผมเองอีกล่ะ ว่าคนเราจะมีความสุขในโลกนี้ได้

    มันก็ต้องรู้จักโลกนี้ก่อน และใจต้องกว้างพอที่จะโอบรับมันไว้

  •           เคยได้ยินว่าถ้าเลี้ยงจระเข้ในตู้ปลามันจะไม่โต

             

              ผมคิดว่าจิตใจคนเราก็เหมือนกัน หัวใจและความคิดของเรา

    มันคงไม่อาจเติบโตขึ้นได้จากการใช้ชีวิตในกรอบแคบๆ และรูปแบบสังคมเดิมๆ

     

              คือโดยส่วนตัวนอกจากกรอบรูปแล้วผมจะไม่ชอบกรอบทุกอย่าง

    กรอบที่ทำให้เราโฟกัสกับบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็ขังเราไว้ในขณะเดียวกัน 

      

               ถ้าจะต้องมีกรอบก็อยากให้มันมาพร้อมสิทธิ์ในการเลือก

    เลือกว่างช่วงนี้จะมีหรือไม่มี จะใช้หรอไม่ใช้ จะคิดจะทำในกรอบหรือนอกกรอบ

    (สิทธิ์ในการเลือกสิทธิ์ในการเลือกๆๆๆๆๆๆ)

     

                เพราะแบบนั้นเวลาเจอใครทำอะไร ที่กระโดดออกจากทิศทางวนลูปซ้ำๆของตัวเอง

    แล้วก้าวออกไปในแนวทางที่แตกต่าง แล้วก็ไม่ได้ทำร้ายใคร ผมจึงมักจะตื่นเต้น

    และสนับสนุนเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน

  •             ผมตื่นเต้นดีใจ ที่แฟนจะไปเรียนไกลบ้าน....ไกลออกจาก บริบทเดิมๆไกลออกไป

    ไกลออกไป บริบทเปลี่ยนชีวิตก็เปลี่ยน


                ผมไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าเค้าจะมีความคิดแนวนี้

      เหม่ง(ชื่อที่ผมใช้เรียกแฟน มุ้งมิ้งมั๊ยล่ะ)ไม่ใช่คนแบบผม ที่ชอบล่องลอยไปไหนมาไหน

    ไม่ห่วงหน้าใยหลัง ไม่แยแสโลกา รอบข้าง 

     

                 โดยปรกติ เค้าเป็นคนติดบ้าน ติดเพื่อน ติดแม่ ติดครอบครัวติดที่เดิมๆ

    ไม่ค่อยชอบทำอะไรแปลกใหม่ ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้กระโดดไปไกลจากความเป็นตัวเค้า

    ซึ่งน่าจะมีความกดดันพอสมควร

      

                 แต่อย่างว่าแหล่ะครับก่อนจะผลัดขน......เราไม่รู้หรอก ว่านี่เป็ดหรือหงส์………

    (ข้อความนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับทีมลิเวอร์พูลทั้งสิ้น)

     

                 โอ้โหย........ หล่อสาดดดด

                  แต่ว่าเฮ้ย! คิดแบบนี้จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าดีใจแฟนไม่อยู่

    หนูร่าเริง อะไรงี้ ไม่มีหร๊อกกกกกกกกกก

  • Space Hostel Melbourne

                

              อากาศประมาณ10องศา โอ้ บระเจ้าผมจะต้องแลกด้วยอะไร ถ้าอยากให้ประเทศไทยได้มีช่วงเวลาแบบนี้บ้าง

              ช่วงเดือนกันยาของเมลเบริ์นอากาศยังเย็นกำลังดี ดีจริงๆ ดีชิปหาย

     

              มองออกไปนอกหน้าต่างฟ้าทึมๆ ตึกเก่าๆ ถนนโล่งๆในใจก็คิดว่าที่นี่มันสวยจังวะ

    น่าจะมาซื้อบ้านอยู่นี่สักหลัง เห็นเค้าว่าราคาประมาณ10-20ล้านระดับเราสบายๆอยู่แล้ว 

     

              เอาล่ะมึง ตื้นๆลืมมันซะ.....

     

               เราพักที่โฮสเทล แต่เป็นโฮสเทลที่ค่อนข้างใหญ่และสะอาดสะอ้านเป็นระบบ

    นอกจากห้องน้ำรวมแล้วที่เหลือก็เหมือนโรงแรมปกติดีๆนี่แหล่ะ


               และหลังจากจัดการสิ่งของทั้งหลายให้เข้าที่เข้าทางแล้ว เราจึงเริ่มออกเดินทาง

      ทำภารกิจตามหาห้องเช่าระยะยาว เปิดบัญชีธนาคาร และเบอร์โทรศัพท์ ตามแผนที่เราได้วางเอาไว้

  •           

               แผนคืออะไรสักอย่างที่คุณตั้งใจจะทำ และพยายามจะทำตามนั้น

    และพบว่าในท้ายที่สุดสิ่งที่เราได้ทำ มักไม่ค่อยใกล้เคียงกับที่วางไว้เท่าไหร่


               บางครั้งดีกว่า บางครั้งแย่กว่า ซึ่งเราจะไม่มีโอกาสรู้เลยถ้าไม่ลองทำ

     

              แต่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในจักรวาล และทีมงานอเวนเจอร์ทุกท่าน

    ครั้งนี้ ...มันง่ายกว่าที่คาดคิด ม๊ากกกก มากกกก


                เราได้เปิดบัญชีธนาคาร ตามที่ตั้งใจไว้  ได้เบอร์โทรศัพท์ และห้องเช่าระยะยาว 

    ในอาคารเลขที่ 1 ถนน Elizabeth (โลเคชั่นดีฝุดๆ)


                ทั้งหมดเราจัดการได้ในเวลาภายในเวลาเพียงสองวัน (จากที่วางไว้ 5วัน)

    อัฒจันทร์ใจไทยแลนด์มากๆ

     

                 เมื่อหมดความกังวลไปได้หลายเรื่องเราจึงตัดสินใจออกเดินเที่ยวกัน

     

  •           ตามถนนหนทางในเมืองนี้ เต็มไปด้วยร้านอาหารไล่เรียงตั้งแต่ญี่ปุ่น เวียดนาม

    ไทย จีน อินเดีย ยุโรป  ไปถึง อเมริกัน เริ่มจากตะวันออก วนรอบโลก ไปถึงตะวันตก


              ที่นี่เหมือนแหล่งรวมชนทุกชาติไว้ด้วยกัน สารพัดชาติ สารพัดภาษา

    อิรุงตุงนัง ฟังดูน่าวุ่นวาย แต่เชื่อเถอะที่นี่ไม่วุ่นวายเลย  


               เหมือนกับว่าเราทุกคนหนีความวุ่นวาย มาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง

    และตัดสินใจว่าจะไม่นำนิสัยที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายนั้น ติดตัวมาด้วย


               ที่นี่ทุกคนมาสร้างวัฒนธรรมใหม่  แปลก เปิด มีส่วนร่วม และ ลงตัว

    ที่นี่เป็นบ้านของ Cosmopolitan อย่างแท้จริง

     

              ผมตื่นเต้นแทบทุกอย่างที่ได้พบ ผู้คนที่เต้นแร้งเต้นกาตามถนน เหมือนคนบ้า

  •           โฮมเลส นอนข้างทางที่แต่งตัวดีมากๆ และอ่านหนังสือเล่มหนาเตอะ

    (ที่บ้านเรา คนจบป.ตรียังไม่ค่อยอ่านหนังสือด้วยซ้ำ)

     

              เจอฝรั่งหัวทอง ที่ก้มโค้งตอนที่เดินกระทบกัน และคนจีนที่ดูสุขุมและไม่เอะอ่ะโวยวาย

    (ยกเว้นพวกนักท่องเที่ยว)


               ความหลากหลายของที่นี่ทำให้เราไม่รู้สึกเป็นตัวประหลาด เพราะทุกคนแปลก

    แตกต่างกันหมด เหมือนไม่มีใครเป็นเจ้าของดินแดน และไม่มีใครเป็นคนต่างถิ่น

    และเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่จะพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะต่างคนต่างสำเนียง แม้จะพูดภาษาอังกฤษก็จริง

     

             ทำให้พนักงานขาย พ่อค้าแม้ค้าในเมืองนี้ มีความพยายามในการเข้าใจลูกค้าอย่างอย่างยิ่งยวด

    ทำให้เราไม่อึดอัด ในการใช้ภาษาอังกฤษ with แกรมมั่วของเราและภาษาใบ้ ในการทำธุรกรรมต่างๆ


             

  •           ตลอดเวลาที่เดินในเมืองนี้ เราต้องพาลพบศิลปะประหลาด อย่างที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้

              บางชิ้นก็เป็นรูปเป็นร่าง

      

              บางชิ้นเป็นแค่รูปทรงที่อธิบายไม่ได้

     

             บางชิ้นเล็ก บางชิ้นอันเท่าบ้าน


              บางอันเหมือน เศษซาก อะไรก็บอกไม่ถูก

     

              แล้วก็มีหลายชิ้น ที่เราเห็นแล้วต้องคิดในใจว่า ไอ้ของแบบนี้เราก็ทำได้

      แต่ก็อย่างที่รู้กัน

           

              คนเราต่างกันตรงที่......ลงมือทำ กับ ไม่ลงมือทำ นี่แหล่ะ.......


  •               เหม่ง ไม่ค่อยสดใสร่าเริงเหมือนปกติถึงจะดูตื่นเต้นบ้าง

    แต่ก็แสดงออกถึงความกังวลได้ชัดเจน 


                  หลังจาก เหม่งตัดสินใจไปเรียนต่อ คิดว่าจะไปอยู่บ้านญาติที่อเมริกา

    เพื่อเรียนภาษาสักหกเดือน จึงติดต่อหายายที่นั่นยายดีใจมากที่หลานสาวจะไป

    แต่สุดท้ายก็ดีใจเก้อ.......


                 เพราะผมใช้ google สกรีนพื้นที่อย่างละเอียดติดต่อโรงเรียนที่นั่นทุกโรงเรียน

    และพบว่าเมืองเงียบสงบที่ยายอาศัยอยู่ห่างจาก ฟิลาเดเฟียไปสองสามชั่วโมง

    ที่ชื่อว่าแลงคาสเตอร์ นั้นไม่มีโรงเรียนที่สามารถออก เอกสาร I20ให้เราได้เลย

     

                  และเราจำเป็นต้องใช้เอกสารนี้ในการขอวีซ่านักเรียน

      ทางโรงเรียนใกล้บ้านยายแห่งหนึ่งแนะนำให้เราทำวีซ่าท่องเที่ยวไป

    มันเป็นการทำผิดเล็กน้อย เพราะวีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้อนุญาตให้เรียนหนังสือ

    ซึ่งเราก็คิดว่าผิดเล็กน้อยก็ไม่ควรทำ

  •             เราจึงมองหาทางออกใหม่ ใกล้กว่าและกฎระเบียบไม่ยุ่งยากเท่าอเมริกา

    และอาจจะกลั่นออกมาจากปมในอดีตของผมเพราะที่นั่นคือประเทศในฝันของผม

    ออสเตรเลีย..........


                ผมใช้วีธีการเดิมคือกูลเกิ้ล หาข้อมูลเมืองทุกเมืองโรงเรียนทุกโรงเรียนและ

    เปรียบเทียบทุกวิธีการหาช่องทางที่ดีที่สุดแต่เชื่อเถอะมันไม่ดีที่สุดหรอก...

     

                แต่มันจะน่าพอใจและจงพอใจแม้จะพบวิธีการที่ดีกว่าหลังจากนั้นก็ตาม

     

                ความยากคือ ถ้าไปที่นั่น เหม่งจะต้องฉายเดี่ยวไปคนเดียว ไม่รู้จักใคร

    พูดภาษาไม่ได้  ไม่รู้จะเริ่มยังไง และคงจับต้นชนปลายไม่ถูก


                 ดังนั้น หลังจากเหม่งเลือกเมลเบริ์น ลาออกจากงาน และสมัครเรียนที่โรงเรียนฟิวชั่นอิงลิซ 

      ผมจึงตัดสินใจว่า      ผมจะไม่ไปส่งเค้าที่สนามบิน....


                  แต่จะไปส่งที่เมลเบริ์นเลย.........ผมต้องไป ผมต้องไป

  • Fitzroygarden

     

               อากาศเย็นกำลังดีต้นไม้ยังไม่ผลิใบ แต่หญ้าเขียวหนานุ่น อยากจะวิ่งไถลกลิ่งไปกลิ่งมา


               ดอกหญ้าพองๆกลมๆที่พร้อมจะลอยเมื่อถูกลมพัดพา เคยเห็นแต่ในหนัง.....อ่า  

    ที่นี่มันความฝันชัดๆ


               “...อ้วนเหม่งจะกลับ เหม่งกลับกะอ้วนนะ เหม่งไม่อยากอยู่คนเดียว....”

     

              ความสวยงามของตึกรามบ้านช่องสวนสวย อากาศดี ไม่ได้ทำให้เค้าดีขึ้นเลย

    มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เรามาถึง

              “โฮมซิก”

              เป็นอาการที่รุนแรงมากน้อยตามแต่บุคคล.....ในกรณีของเหม่ง

    ต้องบอกว่ารุนแรงไม่น้อยเลยที่เดียว เพราะเริ่มมีอาการตั้งแต่ล้อเครื่องบินแตะรันเวย์

             

  •            ผมไม่รู้จะพูดอะไรหรือทำยังไงเพื่อให้เหม่งรู้สึกดีขึ้น ได้แต่พูดคำน่าเบื่อซ้ำไปซ้ำมา

    เหม่งต้องสู้นะ เหม่งเก่งอยู่แล้ว เหม่งทำได้เหม่งต้องอดทน เหม่งต้องทำให้ทุกคนภูมิใจ

     

                ก็เท่านั้นแหล่ะ ผมรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ผมต้องพยายามหาอะไรมาดึงดูดความสนใจ

      ชี้นกชี้ไม้ นั่นบ้านกัปตันคุก โน่นน้ำพุสวยมาก เดี๋ยวเราไปที่เซนท์กิลด้าบีชกันเนอะ

    ไปดูเพนกวินกันนะ

     

                 ถึงแม้ทุกอย่างที่ทำ.....จะแค่ ทำให้เค้าฝืนยิ้มได้...มันก็ยังดี


  • ว่าด้วยเรื่องกิน

                อาหารจานเดียวที่นี่ ราคาส่วนใหญ่จะ ประมาณ10AUD +- ซึ่งก็สมเหตุสมผล
    กับค่าแรง 15AUD ต่อชั่วโมง

     

               ซึ่งเร็วๆนี้อาจจะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 17AUD เนื่องจากมีการหยุดงาน

    ประท้วงค่าแรงในหลายหน่วยงาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรถไฟหยุดงานในวันที่เรามาถึง

    พวกเค้าหยุดเรียกร้องค่าแรงน่ะเอง


              เราสองคนพากันกินอาหารหลายแบบหลายชาติ หลายร้าน เหมือนดังจะมุ่งสำรวจ

    เข้าไปในโลกแห่งปากท้องของเมลเบริ์นและเราได้พบว่าอาหารไทยที่นี่ไม่ถูกปากและแพงมาก

    ส่วนอาหารที่ถูกมากจนรู้สึกขัดกับ สามัญสำนึก นั่นก็คือข้าวปั่นญี่ปุ่น (ที่ไทยโคตรแพง)

     

              และยังมารู้ทีหลังอีกว่าปลาทอดในร้านอาหารจีนนั้นถูกเหลือเชื่อ

              ที่สำคัญอาหารหนึ่งจานของคนที่นี่คนบ้านเราส่วนใหญ่ที่กินน้อยๆคงกินไม่หมด


  •           ซึ่งแม้ว่าผมเป็นคนไทยส่วนน้อย ที่กินสวาปามระดับทีมชาติ

    แต่บางมื้อก็ยังต้องขอใส่กล่องกลับบ้าน....

             

               และถ้าหากยูอยากจะเฮฟอะไรที่ราคาถูกกว่านั้น

    ต้องอาศัย การช่วยตัวเอง .....


               หมายถึงการทำกินเองหน่ะ

     

              ซึ่งคุณจะต้องพึ่งซุปเปอร์มาเก็ต..........ซุปเปอร์มาเก็ตที่นี่มีสองเจ้าประชันกัน

    คล้ายโลตัสกะบิ๊กซีอันหนึ่งคือโคล อีกอันคือ วูเวิธส์ซึ่งราคาแต่ละสาขาไม่เท่ากัน

    และของในทุกๆสาขาจะสลับกันลดราคา


               ถ้าจะเอาให้ถูกจริงๆต้องเดินรอบเมือง ซื้อไอ้นี่สาขานี้ ซื้อไอ้นั่นสาขาโน้น

    ซื้อไอ้โน่น ไปอีกสาขานึงได้ของถูก และออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน

     

             

  •          แม้ว่าสินค้าต่างๆนานาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศจะแพงกว่าประเทศเรามาก

    แต่ออสเตรเลี่ยนเมดก็ถูกเหลือเชื่ออีกแล้ว

              อะไรก็ตามที่ทำที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อแกะและ เนื้อจิงโจ้ ที่ไทยไม่มี

    (ใช่สิบ้านเราไม่มีจิงโจ้นี่หว่าที่ออสมีเนื้อหมามั๊ยล่ะ)


              เนื้ออันไหนที่ไทยมีราคาที่นี่ก็เท่าๆที่ไทย หรือบางอย่างถูกกว่า 

    “เหม่ง....รอดตายแล้ว”


              ไอศกรีม โฮมเมดสโตร์แบร์นที่นี่ หนึ่งกิโลกรัมคิดเป็นเงินไทยประมาณ 75บาท 

    “เหม่ง....รอดตายแล้ว”


               ผักผลไม้มาเวลาดีๆ ราคาก็จะได้ใกล้ๆกะที่โลตัสบิ๊กซีบ้าน และนมวัวนมถั่วเหลืงที่นี่

    บางทีถูกกว่าท๊อปซุปเปอร์มาเก็ต

    “เหม่ง....รอดตายแล้ว”

              การจะทำแซนวิสขนาดใหญ่หนึ่งชิ้นด้วยตัวเองโดยการซื้อของจากซุปเปอมาร์เก็ตนั้น

    สามารถคุมต้นทุนให้ไม่เกิน 50บาทไทยได้ไม่ยากเย็น

    “เหม่ง....รอดตายแล้ว”

    “เหม่ง....รอดตายแล้ว”

  •             สารภาพเลยว่าก่อนมากังวลเรื่องค่าครองชีพมาก....


                หาข้อมูลสารพัดจากอินเตอร์เน็ตตรงบ้างไม่ตรงบ้าง แต่พอมาถึงจริงๆ

    ก็หมดห่วงไปได้หลายอย่างว่ากันตรงๆทุกอย่างง่ายเหลือเชื่อ


                 ตั้งแต่สมัครเรียนขอวีซ่า จัดกระเป๋า จองโรงแรม เดินทาง เปิดบัญชี

    หาห้องเช่า ง่ายไปหมด คิดย้อนกลับไปว่าถ้าเราไม่ได้ลงมือทำอคติในใจ

    มันก็คงยังจะทำให้เราเชื่อว่ามันยากอยู่ แต่พอมาอยู่ตรงนี้แล้วคิดว่าเดินทางรอบโลก

    ก็คงไม่ยากแล้ว  มุมมองมันเปลี่ยนจริงๆ


                กลับมาเรื่องอาหารการกินอีกนิดมีปมเล็กๆแต่เคืองใจ เหมือนทรายหยาบ

    ที่ดิ้นไปมาในรองเท้า

     

             นั่นคือถ้าคุณสั่งผัดกระเพราที่นี่คุณจะได้ผัดใบโหระพา

    ไม่ว่าจะร้านไหน

  •            ผมไม่ได้ทรมานใจที่ไม่ได้กินผัดกระเพรา


               แต่ทรมานใจที่ทุกร้านไทยพร้อมใจกันทำแบบนี้ แล้วฝรั่งที่มันมาสั่งกิน

    มันก็จะเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาหารไทย และไม่มีวันได้ดื่มด่ำ กับสุดยอดอาหาร


               อันเป็นหัวใจหลักในการดำเนินชีวิตของปวงชนชาวไทย

    นี่มันปิดกั้นวัฒนธรรม ชัดๆ

    เวอร์ไปนั่น......จริงๆไม่สำคัญอะไรหรอก


               คือมารู้ทีหลังว่าที่นี่ใบกระเพราแพงมาก....และไม่สามารถเอาไปทำเมนูอื่นได้

    แต่โหระพานี่ได้สารพัดเมนู


               ดังนั้นไหนๆแล้ว ก็เลยทดแทนใบกระเพราไปด้วยเลย


    เหมือนกับที่ใครบางคนเคยบอกว่ามะนาวแพงให้ใช้มะม่วงแทนไปก่อนหน่ะ.......อืม


  •             เราสองคนพากันตระเวนไปทั่วเพื่อเป็นการฝึกฝนขึ้นรถลงเรือ

    จริงๆไม่มีเรือ มีแต่แทรม รถไฟ รถเมล์


                ที่นี่การเดินทางส่วนใหญ่ในเมืองและชานเมืองแทรมจะเป็นพระเอกของเรื่อง


                แทรมคือรถรางชนิดหนึ่งสมัยก่อนกรุงสยามเราก็เคยมี แต่ยกเลิกไปนานโขแล้ว

    ไม่รู้ทำไม


                แทรมวิ่งไปตามรางด้วยหลักการง่ายๆคล้ายๆรถบั๊มคือมีเสาต่อขึ้นไป

    ปะกะสายไฟฟ้าที่อยู่บนหัว และวิ่งรูดสายไฟไปเรื่อยๆโดยมีรางเล็กๆบังคับเส้นทาง

     

                เป็นเทคโนโลยีเดิมๆที่ใช้ได้ดี และค่าก่อสร้างน่าจะประหยัดกว่ารถไฟฟ้ามาถึงมั๊ยเธอ

    ของบ้านเราอย่างมหาศาล


                แล้วทำไมเราไม่ใช้หรือมันถูก โครงการมันจะเล็ก งบมันจะไม่มาก แล้วคอมมิชชั่นมันจะน้อย.....

    เอ้ยๆๆพูดอะไรออกไป ตบปากสามที่เพี๊ยๆ ๆ ....

  • การเดินทางไม่ว่าจะรถเมล์รถไฟ หรือ แทรมจะใช้บัตรใบเดียวกันเรียกว่า ไมกิมีทั้งแบบเติมเงินและรายเดือน ซึ่งค่าโดยสารก็ถูกมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชากร


             เวลาขึ้นก็ทัชขึ้นคล้ายแตะคีการ์ดเวลาเข้าคอนโดเวลาลงก็ทัชลงระบบจะหักเงินในเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้เราเองไม่ต้องคิดมาก 

     

            ถามว่ามีคนไม่ทัชมั๊ยมีสิ ต่างชาติก็มีคนไม่ดีเหมือนกัน ถึงจะมีคนเลว แต่มันก็ทำชั่วกันน้อยเพราะอะไรรู้มั๊ยกฎหมายเค้าจริงจังไง


             เป็นรูปธรรมจับต้องได้ รวดเร็ว และ ไม่ดิ้นไปดิ้นมา จับปุ๊บ ปรับปั๊บ ป้าบๆเลย ใครไม่ทัชโดนจับได้ จ่าย 70AUD ตรงนั้นเลยถ้าไม่มีจ่ายไปจ่ายทีหลัง โดนอีกเรทนึง

     

             ไม่มีเงินสดไม่เป็นไรเจ้าหน้าที่มีเครื่องรูดบัตร ครบในแบบที่คุณไม่ได้ตามหา.....

  • Stkilda beach......

     

                มาชายหาดในวันคลื่นลมแรงแรงแบบพัดหัวล้านเปิดไปข้างนึงเลย

      แถมอากาศอยู่ที่ประมาณ 3 อาศาบ้ารึป่าววะเนี่ย


                ถึงว่าไม่มีคนเลยแถวนี้ยังกะเมืองร้าง แต่ไหนๆก็มาแล้ว เดินตากลม

    ให้ม้าแตกเล่นซะหน่อยอยู่ได้ประมาณ 15นาที สุดท้ายไม่ไหว คนบ้านนอกชาวไทยสองคน

    ไม่ได้เตรียมตัวมารับอากาศแบบนี้ จึงรีบขึ้นแทรมกลับเลยเอาแค่ให้รู้ว่า อ่อ...

    หาดมันหน้าตาเป็นแบบนี้นะ


                อธิบายถึงมันนิดนึง หาดนี่อยู่ห่างจากเมืองกะคร่าวๆไม่น่าเกิน 15นาที

    สำหรับการนั่งแทรมออกจากเมืองมา ที่นี่เป็นที่ตั้งสวนสนุกลูน่าพาร์ค และเป็นที่สิงสถิต

    ของเหล่าเพนกวินตัวน้อย ทางก่อนลงหาดก็มีร้านค้าบาร์อยู่มากมายซึ่งวันนี้เราได้เห็นแต่ป้าย

              

                 ว่าแต่ไอ้เพนกวินที่เค้าว่ากันมันอยู่ไหนนะ?

                 ช่างเถอะหนาว....ไม่ไหวละ

                 ฝากไว้ก่อนนะเพนกวินเดี๋ยววันหลังกรูมาใหม่.....


              

  •           การมาครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังจะเดินทางไปเที่ยวไหนเลย วางแผนให้เวลาทั้งหมด

    ไว้กับกิจธุระที่ต้องทำ


              แต่อย่างที่บอกไป ว่าง่ายเหลือเชื่อ ทุกอย่างจบได้ไวยังกะมาม่ากึ่งสำเร็จ

    ดังนั้นแล้วเวลาที่มีเหลือมากมายโดยปราศจากแผน จึงได้นำพาคนสองคน ให้สะเปะสะปะ

    ป่วนเปี้ยนไร้จุดหมาย มั่วซั่ว ไปทั่วเมือง .........

     


  • Victoria Market

                

                หนึ่งใน สถานที่เดอะมัส ของเมลเบริ์น เราเดินจากที่พักมาที่นี่จะว่าไกลก็ไกล

    ไม่ไกลก็ไกล งงมั๊ย ผมก็งง 555 จริงๆก็ถือว่าไกลพอสมควรแต่ด้วยอากาศแสนจะเย็น

    เย็นซีดดดด ของที่นี่ เดินไกลแค่ไหนก็ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อย

     

                ไม่เหมือนที่เมืองไทย เดินออกจากซอยไปเซเว่นไม่กี่ร้อยเมตร หัวนี่มันเยิ้มล้านแตก

    หน้าตาหมองคล้ำและเป็นประจำคือ จั๊กแร้เปียก อาบน้ำออกไปหอมๆกลับมา

    นึกว่าซื้อมะพร้าวบูดมาด้วย ........


                แต่อยู่ที่เมลเบริ์นนี่ไม่อาบน้ำสามวันก็น่าจะยังหอมอยู่ แต่ก็ไม่รู้นะ

    ที่พักมีน้ำอุ่น เลยไม่ได้ลอง 

                กลับมาที่ Victoria Market  คล้ายจตุจักรบ้านเรา แต่ไม่ใหญ่เท่า

      มีทุกอย่างยกเว้นสากกะเบือกับเรือรบ เพราะเท่าที่เดินดูไม่เจอนะ

                แล้วที่นี่เวลาใกล้ปิดผักผลไม้ขายถูกอย่างกะให้ฟรี ทำเหมือนชาตินี้

    จะไม่กลับมาขายอีกแล้วปิดกิจการไปเลย หรือเค้าอาจจะใส่ใจเรื่องความสดมาก

    จนไม่อาจทำใจขายผลไม้ข้ามวันได้ อันนี้ก็ไม่รู้นะ

     

                แต่ก็มีบางประเทศในโลกที่ขายข้ามสัปดาห์

    ถ้าสัปดาห์แล้วยังขายไม่ได้ก็ฉีดฟอร์มลีนแม่มเลย............ประเทศไหนวะ?

  •             อีกอย่างที่โดดเด่นมากมายสำหรับที่นี่คือร้านกาแฟ

    โอโหร้านกาแฟที่ว่าฮิปๆเท่ๆที่สยามประเทศ ชิดขวาไปเลย...........   ทำไมไม่ชิดซ้าย?


    "เผื่อใรคไม่รู้ ณขะนี้แผ่นดินเกิดเรานั้นโม้นเยีองไปทงา ขวา

    กราชิด ซ้าย จึงเป็นเอรื่งยากเยน็และตอ้งะรวังตัวยิ่ง"


                ไปค้นในเนตเจอมาว่า ที่นี่ เครซี่กาแฟกันเป็นบ้าเป็นหลัง บาริสต้านี่เป็นอาชีพสาวกรี๊ดคล้ายดาราและน่าเคารพสรรเสริญดังภิขุสังโค ร้านกาแฟแต่ละร้านเค้าจะมีความเป็นยูนีคคคคมากๆ

                

                  หลายๆร้าน จะมี เมียงู ที่เป็นซิกเนเจอร์ของตัวเอง สไตล์การตกแต่งมีที่มีเอกลักษ์

    และบาริสต้า หล่อเหี้ยๆ(คำอื่นสื่อไม่ถึงจริงๆ) ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยบอกตรงๆ อิจฉา

    (นี่เป็นเหตุผลนึงที่ชอบกาแฟ 7 ที่จะกล่าวต่อไป )


              ส่วนร้านกาแฟ ที่เป็น เชนอย่างสตาร์บัคคนออสซี่จริงๆไม่กินจะมีก็แต่นักท่องเที่ยว

    กับประชากรแฝงเท่านั้นที่ทำให้สตาร์บัคดำรงค์อยู่ได้

  •            ส่วนตัวผมไม่ใช่คอกาแฟขนาดแยกแยะได้ว่า อันไหนดีไม่ดี หอมไม่หอม

    ดื่มไปก็ไม่รู้หรอกว่าอราบิก้าหรือ โรบัสต้า ผมรู้แค่ว่าอันนี้กูชอบอันนี้กูไม่ชอบ.....


               ผมชอบกาแฟ7ที่นี่มาก มันเป็นตู้อัตโนมัติเหมือนallคอฟฟี่ใน7ที่บ้านเรานั่นแหล่ะ

    ที่นี่อยากกินกดเอาอยากเมากดเอง ไม่มีพนักงานกดให้ 


               แต่ที่โดนใจคือโอ้ววววววถูกมาก 1AUDหรือ25บาทเท่าที่บ้านเราแต่ได้ปริมาณเยอะกว่า

      มาอยู่นี่อากาศหนาวๆได้ถือถ้วยกาแฟร้อนๆ  โอ้วฟินนนกระดกยก เช้า กลางวัน เย็น

     

               แน่ล่ะว่านำพามาซึ่งอาการนอนไม่หลับ ก็เลยนั่งเซิฟกูลเกิ้ลนั่งหาข้อมูลเมลเบริ์น

    ไปเรื่อยเปลื่อย......

  •            จนเช้าประมาณตีห้าเหม่งยังหลับอยู่ ผมเดินออกมาจากที่พัก

    ฝ่าความมืดและแสงไฟสลัวผ่านอาคารสวยงานโอ่อ้า ลงเนินมาตามถนนรัสเซล


               อากาศเย็นเฉี๊ยบดูจากแอปตรวจอากาศในโทรศัพท์ความเย็นอยู่ที่7องศา

    เดินผ่านเสียงรถกวาดขยะวิ่งเสียงหงึ่งๆเจ้าหน้าที่ทำงานกันแต่เช้ามืด

     

              ระหว่างทางเดินผ่านย่านผับบาร์ เจอนักท่องราตรีมากมายกะลังทยอยกลับบ้าน

     

             ที่นี่มาเที่ยวต้องแต่งตัวดีผู้ชายส่วนใหญ่ใส่สูทรองเท้าหนัง ผู้หญิงใส่ราตรีจัดเต็ม


             ส่วนใหญ่ฟังสำเนียงแล้วน่าจะเป็นเกาหลี.....ในตัวเมืองCBDนี่ไม่ค่อยมีฝรั่งหรอกครับ

    ส่วนใหญ่ก็เกาหลี ญี่ปุ่น จีน และ อินเดีย

  •          ตอนวนกลับผมเดินฝ่าลมหนาวและฝูงชนชาวเกาหลีหญิงชายกลุ่มหนึ่ง ที่ยืนออกันอยู่

      ผมค่อนข้างตกใจเพราะ ทุกคนหันมองผมเป็นตาเดียว

     

            ได้แต่คิดในใจว่า .....

            คงเพราะผมนั้น ...หล่อมาก หน้าตาดี ละม้ายคล้าย แจจุงนักร้อง วงดงบังชิงกิ ....ถุย!

    ไม่ใช่หรอกครับ น่าจะเพราะผมดูเหมือนไอ้บ้าห้าร้อย ซึ่งจริงๆก็น่าจะบ้ามากกว่าห้าร้อย

    เพราะใส่กางเกงขาสั้น กับเสื้อยืดยับๆที่ดึงออกจากกระเป๋าเดินทาง ลากรองเท้าหูหนีบ

    เดินล้วงกระเป๋า ท่ามกลางอากาศ 7 องศา........อ่า....ขนหน้าแข้งตั้งชูชัน

     

            คือตอนเดินออกมาไม่คิดว่ามันจะหนาวมากจริงๆ คือไม่ได้คิดอะไรเลย 

    ก็เกิดในเมืองร้อน ประเทศโลกที่สามที่ขาดแคลน สิทธิ์การเดินทางอย่างยิ่ง ต้องเสียตังค์ขอวีซ่า

    ราคาแพงแม่งเกือบทุกประเทศก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหน.....มันก็ไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวกับอากาศแบบ

    นี้เยี่ยงไร......

  •          หลังฝ่าฝันอากาศหนาวและหนุ่มสาวราตรีกลับมา ผมงีบหลับได้สักพัก
    ก่อนจะตื่นมางั่วเงีย ทำตัวเหมือนพระเอกมิวสิก
    "เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน เงียบๆคนเดียวและไม่อยากตื่นง่วงชิปเลย"


              มองออกไปจากหน้าต่างที่พักตึกสวยฝั่งตรงข้ามนั่น คือมหาลัย RMITที่สุดจะโด่งดัง

    นึกย้อนไปถึงวันเก่า ที่ใฝ่ฝันจะมาเรียนที่นี่

     

             ไม่ใช่ RMIT หรอกครับที่ไหนก็ได้ในออสเตรเลีย

    สมัยเด็กๆผมได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการมาเรียนต่อประเทศนี้

    มันสนุกสนานและเต็มไปด้วยเรื่องตื่นเต้นแล้วก็เก็บมันไว้ในความฝันมาตลอด

            

             ได้แต่คิดว่ามันไกลตัวมากๆชนชั้นกลางค่อนล่างอย่างเราจะได้ไปเรียนเมืองนอก

    ตอนนั้นแค่จบมหาลัยก็ดีใจมากแล้วแม้ว่าผมจะไม่เคยเป็นคนที่อยู่ในกรอบ

    แต่ความคิดและวิสัยทัศก็แคบเหลือเกินไม่เคยมองเห็นความเป็นไปได้ อะไรเลย

            

     


  •             แล้วไอ้ความคิดที่คับแคบนั่นแหล่ะที่ทำให้เราหลบอยู่ในที่แคบหลบอยู่ในที่แคบความคิดก็ยิ่งแคบ

    วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น จนกว่าเราจะผลักตัวเองออกจากโลกที่คุ้นเคยนั่นแหล่ะ

    ......หนีไปซะ..........หนีไป......

  • Yarra River

                สายน้ำที่ไหลผ่านเมืองเมลเบริ์น เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงาม

    เมื่อความงดงามนั้นมันหล่อเลี้ยงหัวใจคนได้ มันก็มีประโยชน์


                เมื่อมันมีประโยชน์ ก็ย่อมมีคนมาหาประโยชน์ ตึกอาคารห้างร้าน คาสิโนโรงแรม สถานีรถไฟ

    กระจุกตัวกันอยู่ตรงนั้น งานศิลป์ การตกแต่งสวนสถานที่การแสดงเปิดหมวก ล้วนสุดยอดแห่งความร่วม

    สมัย ไม่รู้เรียกสไตล์อะไร รู้แค่ว่ามันสวย มันสนุก มันลงตัว


                  อีกเช่นเคย ถึงผมจะชอบงานศิลป์ แต่ผมไม่ใช่คนที่บอกได้ว่า นี่มันงานชนิดไหนงานไหนดีงานไหนไม่ดี รู้แค่ว่า อันนี้กูชอบ อันนี้กูไม่ชอบ แค่นั้นเอง


                  ผมคิดเอาเองว่าการเสพงานศิลป์ ดนตรี กาแฟ ไวน์ วิสกี้ เบียร์ ยาสูบหรือ กัญชา......

    ก็แค่เสพมันเข้าไป แล้วค้นหาความพอใจในรสสัมผัส และผลกระทบของมันต่อสมองและจิตใจเท่านั้นเอง


               

  •                แต่กระนั้น การลงลึกรายละเอียด แยกประเภท สร้างสตอรี่ จนเกิดแนวทาง

    เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ เป็นรสนิยม ความเชื่อ เป็นทฤษฎี มีการบันทึกศึกษาและสามารถผลิตซ้ำ มีการ

    พัฒนา และคำอธิบายมากมาย ก็ทำให้ของเหล่านี้เป็นที่ต้องการในตลาดและมีราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ


                 เราให้ราคาน้ำองุ่นบูดบางขวดกันหลักแสนหลักล้าน งานละเลงสีที่เราไม่เข้าใจ เราจ่ายให้มันได้

    เป็นสิบล้านร้อยล้าน ทั้งหมดทั้งมวลเพียงเพื่อครอบครองรสสัมผัสทางใดทางหนึ่ง เท่านั้นเอง......

  • Eureka Tower

     

                เป็นตึกที่สุงที่สุดของที่นี่ มันมีทั้งสำนักงาน ที่พักโรงแรมร้านอาหาร คอมเพล็กอยู่ภายใน

    ชั้นบนสุดเปิดให้ขึ้นไปชม และเก็บค่าเข้าชมเหมือนตึกสูงตามเมืองใหญ่ทั่วๆไป

    ซึ่งผมไม่ใคร่สนใจเท่าไหร่


                  ตึกตั้งตระหง่าน อยู่ทางฝั่งเซาท์แบงค์ ซึ่งคือฝั่งตรงข้ามที่มีแม่น้ำยาร่ากั้นกลางกับโซน CBD

     เข้าใจไปเองว่าที่เรียกเซาท์แบงค์ เพราะสมัยก่อนมันไม่มีอะไร เค้าจึงเรียกว่าที่ว่างฝั่งใต้รึเปล่าแต่ทุก

    วันนี้มันไม่ได้ว่างแล้ว

     

                เท่าที่ดูแถวนี้น่าจะเป็นย่านอยู่อาศัยของคนค่อนข้างมีเงิน มีโชว์รูมรถหรู ๆ คอนโดสูงๆ อยู่เต็มไปหมด แต่ก็เงียบสงัด สงบ และเหมาะสมกับการพักอาศัย เป็นอย่างยิ่ง

    “ฮาโหลป๊า โอนเงินมาสัก40ล้านดิ๊ จะซื้อคอนโดที่นี่สักสองห้อง”

    ...เออ...ตื่นเหอะ ตื่น

     

  • มาอยู่นี่ผมยังไม่เคยเห็นรถติดไม่ว่าจะเป็นวันไหนก็ตาม

    ปริมาณรถที่นี่น่าจะน้อยและคนส่วนใหญ่ก็ไม่นิยมใช้


              ก็ระบบขนส่งมวลชน เค้าถึงแทบทุกที่ ยกเว้นว่าจะออกไปนอกเมืองไกลๆ

    ตามอุทยานต่างๆซึ่งไกลม๊ากกกกเป็น 100 กิโล จึงจำเป็นต้องใช้รถ


               แล้วรถก็ไม่จำเป็นต้องมีประดับไว้เป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล เหมือนที่คนบ้านเราเข้าใจกัน

    ที่สำคัญค่าจอดในเมืองแพงหฤโหดมาก เพราะมันแพงกว่าค่าตั๋วเหมาจ่าย ขนส่งมวลชนทั้งวันซะอีก

     

               ขับก็ขับเอง น้ำมันก็เติมเอง เสียก็ซ่อมเองแถมค่าจอดแพงกว่าค่ารถโดยสารประจำทาง.......

    ขึ้นรถโดยสารประจำทาง ที่แสนสะดวกสบายและปลอดภัย ดูฉลาดกว่ากันเยอะเลย

  • State Library of Victoria

                สถานที่สุดโปรดของผม ไม่ได้มาอ่านหนังสือหรอกครับ

    หนังสือน่าสนใจ หลายหมื่นเล่มที่นี่ทำอะไรผมไม่ได้

     

               เพราะมันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมอ่อนแอซะเหลือเกินอ่านไปแปลไปมันก็ไม่สนุก

    ดังนั้น สิ่งที่มาทำกันที่นี่คือ

    1 นอนครับ เป็นที่ๆหลับสบายมาก ยิ่งถ้าได้นั่งเก้าอี้ที่มีเฮดโฟนเปิดเพลงคลาสสิกกล่อมเบาๆ หลับน้ำลายไหลล่ะครับ

    2 นั่งเล่นที่สนามหญ้าด้านหน้า จุดนี้อยู่ตรงข้ามกับห้างเซนทรัลเมลเบริ์นผู้คนขวักไขว่ไปมา

    การได้นั่งในสนามหญ้านุ่มๆ แดดอุ่นๆอากาศเย็นๆ เฝ้าดูผู้คนนี่ก็คงเป็นการเสพบรรยากาศอย่างหนึ่งล่ะครับ ฟินจุง

    3 เล่นเน็ต ไม่ต้องบรรยายอะไรมากครับ ที่นี่มีวายฟายแรงๆใช้ได้ฟรีครับ

     

                   

  •             เหม่ง เดินกุ่มมือผมแน่นเราเดินกลับที่พักหลังจากเอาสัมภาระไปไว้ที่ห้องเช่า

    ที่เหม่งจะต้องอยู่ยาวอีกหลายเดือน


                เราเดินฝ่าผู้คนไปตาม ถนนสวอนตันผ่านร้านกาแฟหอมๆ ร้านไก่ทอด ร้านของฝาก

    ร้านเครื่องสำอางและร้านเสื้อผ้าสวยๆ แต่เหม่งคงไม่ได้รับรู้เรื่องเหล่านั้นเลย


                   เด็กหญิงตัวเล็กๆ หน้าซึ่มกระทือ เดินกุมมือผมโดยไม่ได้พูดอะไร  จนถึงที่พัก แล้วล้มตัวลงนอนจากความเหนื่อยล้า

                   หลังจากเก็บข้าวเก็บของและไปอาบน้ำกลับมา ผมพบว่าเด็กหญิงคนนั้น......กำลังร้องไห้.....

     “พรุ่งนี้ อ้วนก็กลับแล้ว เหม่งไม่อยากอยู่คนเดียว

    เหม่งคิดถึงอ้วน เหม่งคิดถึงแม่ เหม่งไม่อยากอยู่คนเดียว”


  •               ความสงสาร พวยพุงเข้ามาในหัวใจจนจุก หน้าอกผมร้อนผ่าว ผมอยากจะกลับไปเอากระเป๋า แล้วพรุ่งนี้เรากลับบ้านด้วยกัน


                  ผมอยากจะบอกว่า กลับเนอะ กลับบ้านกัน......แน่นอนหล่ะ เราทำแบบนั้นไม่ได้......เราก้าวออกมา เพื่อการเติบโต


                   และการเปลี่ยนแปลงนั้นมักจะทรมาน มันจะทดสอบ ทดสอบ และทดสอบเรา สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ เมื่อลงมือทำอะไรสักอย่างที่ยากเย็น

                   นั่นคือพรุ่งนี้มันจะไม่มีวันเหมือนเดิม  ผมไม่มีคำปลอบใจ ไม่มีคำพูด

    ในหัวตอนนี้ ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำอะไรไม่ได้ ผมได้แต่กอดเค้าเอาไว้.......


  •                 มันอึดอัด ถึงผมเองจะเป็นคนที่อยากให้เค้ามาแต่ความห่วงความกังวลมันก็มีไม่น้อย 

    ความพะวงความกลัวต่างๆนาๆ 

                   ผมจึง ......ร้องไห้ออกมา......

                    มันเหมือนความรู้สึกได้ถูกส่งผ่านความเศร้าความกลัวนั้นผมได้แบ่งเบา

    เหม่ง หยุดร้องไห้.....หายใจเข้าเต็มปอด ....

                   “อ้วนไม่ต้องร้องนะเหม่งจะสู้เหม่งจะพยายาม อ้วนไม่ต้องร้อง”

                    เหมือน ความร้อนความเย็น ที่มันจะถ่ายเทหากันจนกว่าจะเกิดสภาวะสมดุล

    เมื่อความกังวลบางส่วนในจิตใจถูกถ่ายเทมาที่ผมมันจึงเหลือพื้นที่ให้ความกล้าไหลเวียนเข้าไป

                    “เหม่งจะสู้นะคะ เหม่งจะพยายาม”

    ........ หายใจลึกๆ หายใจลึกๆ แล้วหลับไปด้วยความอ่อนล้า.......

     


  •               เหม่งมาส่งผมที่สถานี รถเรานั่งกินข้าวกัน และหลังจากมื้อนี้คงอีกนานกว่าจะได้เจอกัน 

    ถ่อยคำกล่าวลาและคำพูดให้กำลังใจ ก็เหมือนทั่วๆไป

                 สู้ๆนะ ดูแลตัวเองด้วย นอนห่มผ้า ระวังเป็นหวัด อ้วนจะโทรหาทุกวันนะ.......ก็ทั่วๆไป

    แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันบอกไม่ถูกจริงๆคงเป็นอาการที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย

                มนุษย์เลยไม่ได้ประดิษฐ์ถ้อยคำไว้สื่อสาร หรืออาจเป็นความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องสื่อสาร

    เพราะมันจะเข้าใจ คนสองคนจะเข้าใจ โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรกัน......

                กินข้าวเสร็จ ผมเดินออกมาส่งเหม่งหน้าสถานี แล้วโบกมือลา..... เหม่งหันหลังเดินไป

    ผมหยุดนิ่ง ในสมองไม่ได้คิดอะไรอะไร

    ก่อนตะโกนตามหลังไป

               “เหม่ง ให้อ้วนไปส่งมั๊ย.”

                เหม่งหันกลับมายิ้มพร้อมน้ำตาคลอ

     


  •              บนรถแทรม ชายหนุ่มหญิงสาวนั่งเคียงข้างกุมมือกันไม่มีคำพูดใดๆเราไม่ได้หวังให้เวลานี้มันยาวนาน ขอแค่ให้มันนานจนถึงที่สุด รถถึงอาคารเลขที่ 1 เอลิซเซอร์เบท

                 เรากอดลาครั้งสุดท้าย ผมยืนมองเธอก้าว ผ่านประตู “สู้ๆนะคะที่รัก”ผมพูดในใจ.......

     ผมหันหลังขึ้นแทรมกลับไปท่ารถ สกายบัส ตรงสู่สนามบินกลับไทย..........

     

                 จริงอยู่ที่สักวันคนทุกคนต้องพรากกันไป

                 แต่ไม่ใช่คราวนี้ นี่เป็นการจาก เพื่อพบกันใหม่....

                 ห่าง เพื่อให้กันและกันได้มีพื้นที่ได้เติบโต

                 มีเวลาได้เรียนรู้ 


                  เหมือนต้นไม้สองต้น ที่ตัดสินใจโน้มลำขยับรากให้ห่างกัน

                  เพื่อที่จะไม่เบียดบังแสงซึ่งกันและกัน รอวันที่เราเติบใหญ่

                  และแผ่กิ่งก้านผสานเข้าหา

                  ได้กลับมาอยู่ร่วมกัน ดังเดิม.........

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in