เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
the summer is gone.sunset cruisin'
unlock thesis 0%

  • วิชาตัวสุดท้ายในฐานะนิสิตชั้นปีที่ 4 คือธีสิส 

    สิ่งที่เห็นแค่ชื่อก็พอจินตนาการออกถึงความกดดันและความเครียดได้เอง โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาบอก แม้ว่าจะได้ยินรุ่นพี่พูดถึงมันมาตลอดสองสามปีนี้ก็ตาม 

    ตอนแรกที่ยังไม่ได้เจอจริงจัง เรายังพอมีหวังว่าตัวเองจะผ่านมันไปได้ชิล ๆ แบบที่ไม่ต้องแบกรับความเครียดอะไรมากมาย ก็แค่ธีสิสเองมั้ย เดี๋ยวพอถึงเวลาก็คงรู้เองว่าอยากทำอะไร เราปลอบใจตัวเองด้วยอะไรแบบนี้มาตลอดช่วงเวลาที่ปิดเทอมหนึ่ง

    แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย 

    การนำเสนอรอบแรกของเราผ่านไปด้วยสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราเลือกเสนอวรรณกรรมเยาวชนที่เกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการ และประเด็นการกลั่นแกล้ง ตอนนั้นเรารู้อยู่แก่ใจว่าพล็อตยังไม่โดนใจแต่ก็ลองเสี่ยงดู แต่พอโดนจี้จากคณาจารย์ก็ทำให้ยิ่งเห็นเลยว่าหัวข้อที่เสนอไปมันมีช่องโหว่อยู่มาก แถมยังไม่โดดเด่นจากงานอื่น ๆ ที่เคยเห็นสักเท่าไหร่ 

    หลังจากพรีเสร็จก็ได้แต่คิดว่าจะเอายังไงต่อ  เพราะสัปดาห์ถัดไปต้องส่งหัวข้อเพื่อได้ที่ปรึกษา เราลองคิดพล็อตต่อยอดจากเดิมอยู่หลายแบบ บางทีก็มีไอเดียใหม่ ๆ แวบเข้ามาด้วย แต่พอมันไปต่อไม่ได้ก็ได้แต่ตัดทิ้ง สิ่งที่เราทำช่วงนั้นมีแค่คิดใหม่ ตัดทิ้ง คิดใหม่ ตัดทิ้ง วนอยู่แบบนั้นจนเครียดไปหมด

    ในที่สุดเราก็ได้แต่ส่งหัวข้อใหม่ไป โดยที่ไม่รู้ใจตัวเองเลยว่าอยากทำหรือเปล่า 

    แน่นอนว่ามันไม่เวิร์ค หลังจากประกาศอาจารย์ที่ปรึกษาได้ไม่นาน ภายในทีมก็มีการนัดแนะเรื่องการปรึกษาไอเดียธีิสิสกับอาจารย์ รอบแรกเราพูดวนไปวนมา จนสารภาพออกไปว่าจริง ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ซึ่งอาจารย์เองก็ไม่ได้แปลกใจแถมยังดูออกตั้งแต่พรีรอบแรก อีกทั้งยังให้กำลังใจและให้เวลาเราไปคิด แล้วค่อยมาเริ่มคุยกันใหม่ 

    โชคดีที่เราไม่ได้โดนอาจารย์กดดัน แต่ทางตรงข้ามคือเรากดดันตัวเอง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มมีโครงเรื่องเป็นชิ้นเป็นอัน ตัวเรายังนอนถามตัวเองอยู่ว่าอยากทำอะไรกันแน่ เราคิดแบบนั้นทุกวัน จนบางทีก็คิดว่าหรือจะดรอปแล้วเอาเวลาช่วงที่หยุดไปถามตัวเองให้มันแน่นอนกว่านี้  แต่เรียกว่าโชคดี(น่าจะได้) ที่ไม่ได้ตัดสินใจแบบนั้น  ต้องขอบคุณลูกตาลกับเกวเพื่อนสองคนที่ให้คำปรึกษาในช่วงที่เราแย่ที่สุด คอยบอกว่างานเราที่ผ่าน ๆ มา เป็นแบบไหน แล้วเราทำอะไรแล้วน่าจะดี ซึ่งอะไรพวกนี้เป็นแรงใจสำคัญมาก ๆ ที่ทำให้คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองอย่างเราผ่านมันไปได้ อีกทั้งกำลังใจที่มาจากอาจารย์ก็มีส่วนมากเหมือนกัน 

    จะว่าคิดออกฉับพลันก็ดูเหมือนจะดูบังเอิญไปหน่อย 

    เราคิดพล็อตนี้ได้หลังปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งตอนนั้นตัวเองยังคงมีภาวพเครียดอยู่ เราได้คำแนะนำมาว่าให้ออกไปใช้ชีวิิตข้างนอกบ้าง มันจะช่วยให้สมองโล่ง บวกกับวันนั้นเรามีแพลนจะไปไหว้พระพิฆเนศอยู่พอดี เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปที่เซนทรัลเวิร์ล หลังจากไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นแรงใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็ใช้เวลาที่เหลือไปเดินเล่น เจอคน กับอ่านหนังสือในห้องสมุด จู่ ๆ ไอเดียที่ไม่รู้มาจากไหนก็วิ่งเข้ามาในหัว ตอนนั้นเราได้แต่คิดว่าพรที่ขอเป็นจริงแล้ว 

    หลังจากกลับมาที่ห้องก็เริ่มนำไอเดียที่มีอธิบายให้เพื่อนฟัง ค่อย ๆ คิดไปทีละขั้นตอน ซึ่งเพื่อนที่รับฟังในตอนนั้น (เกว) ก็ช่วยถามคำถามจนอุดช่องโหว่ของพล็อตของเราจนเกือบหมด ในที่สุดก็ออกมาเป็นโครงเรื่องใหญ่ ๆ ที่สามารถนำไปเสนอกับอาจารย์ได้ 

    เราส่งไฟล์โครงเรื่องหลัก ๆ พร้อมกับธีมให้อาจารย์ที่ปรึกษาดู ซึ่งธีมที่ส่งไปคือ ปลดล็อคคนเป็น ปลดปล่อยคนตาย ช่วงที่รอฟีดแบ็กกลับมาก็ลุ้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ว่ามันจะผ่านไหมเพราะว่าหากไม่รอดอีกเราก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว รอการตอบรับอยู่สองวันอาจารย์ก็ตอบกลับมาว่าพล็อตนี้โอเค ครูซื้อ 

    เรารู้ซึ้งถึงประโยคที่ว่าหายใจเข้าเต็มปอดก็วันนี้

    พอกลับมาคิดดูดี ๆ แล้ว ไอเดียล่าสุดไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่เราเสนอหัวข้อครั้งแรกเลย เราชอบเรื่องวิญญาณ เรื่องมิตรภาพของคนสองคน สุดท้ายเราก็วนกลับมาทำสิ่งที่ตนเองเคยคิดไว้แบบไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้พล็อตมันลึกขึ้น และมีที่มาที่ไปมากกว่าเดิม 

    หลังจากการเสนอไอเดียผ่านที่ปรึกษาผ่านไป คราวนี้เรารู้ตัวแล้วว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองเครียดอีกก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น งานจะไม่คืบหน้าเพราะเราหัวตัน ไม่แน่ใจว่ารอบนั้นเป็นเพราะพรของพระพิฆเนศที่เราศรัทธาอยู่แล้ว หรือเพราะการออกไปข้างนอกมันทำให้สมองโล่งจนทำให้เรามีไอเดียเข้ามาในหัว  (สำหรับตัวเองก็คิดว่าเป็นเพราะทั้งคู่) แต่สิ่งที่เจอในช่วงนั้นก็ทำให้เรามีวิธีบาลานซ์ชีวิตตัวเองกับงานมาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้

    และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นธีสิสของผู้หญิงคนหนึ่ง













Views