เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Major Depressive DisordersEmbrace
2nd Anniversary
  • 27 ธันวาคม 2561

         วันนี้เมื่อ 2 ปีก่อนฉันได้รับวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าแบบรุนแรง ( Major Depressive Disorders ) จุดเริ่มต้นของการรักษาโรคทางจิตเวชในชีวิตของฉันได้เริ่มขึ้นแล้ว ฉันไม่รู้ว่าฉันเพิ่งป่วยแล้วแสดงอาการออกมาทันที หรือมันอยู่กัับฉันมานานจนค่อย ๆ ก่อตัวและโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง มันส่งสัญญาณเตือนผ่านการแสดงออกทางร่างกาย เปลี่ยนการคิดในสมอง เปลี่ยนความรู้สึกในจิตใจ อยู่ราวสองเดือนโดยประมาณก่อนหน้านั้น

        ที่ผ่านมาอาการของฉันขึ้น ๆ ลง ๆ ตามภาวะของตัวโรคเองและจากสิ่งเร้าที่อยู่รายล้อมตัว ฉันปรับยาต้านเศร้า ยานอนหลับ ยาเพื่อปรับอารมณ์ให้นิ่งหลายต่อหลายครั้ง จำนวนยาที่เปลี่ยนไปในการกินบางครั้งแต่ไม่เคยลดลงเลยในร่างกายฉัน มันยังเผาผลาญ ดูดซึม และสะสมหมุนเวียนเป็นวัฏจักรในทุกอณูของสิ่งมีชีวิตธรรมดา ๆ หนึ่งชีวิตนี้ บางครั้งมันก็ปริมาณที่มากจนเกินพอจากการพยายามฆ่าตัวตาย ด้วยการกินยาเกินขนาดนั่นเอง แต่มันก็ไม่ได้ชะล้างออกไปจากการรักษาทางการแพทย์อย่างการล้างท้อง ที่เป็นอย่างนั้นเพราะฉันดื้อแพ่งปฏิเสธการรักษา และที่ฉันสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะถึงมันจะมีปริมาณมากเกินพอแต่มันก็เคยมากพอที่จะส่งให้ฉันจากโลกใบนี้ไป มันแค่ทำให้ฉันไม่ตอบสนองต่อยาบางตัวเร็วขึ้นเท่านั้น ฉันมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเอง และฆ่าตัวตายนับไม่ถ้วน ฉันต้องต่อสู้กับความคิดที่ไม่ได้เป็นเพียงเกลียวคลื่นที่พัดเข้ามา แต่มันคือมวลก้อนของคลื่นความคิดขนาดใหญ่ที่ซัดถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงไม่รู้เท่าไร หลายครั้งที่ฉันสงบมันได้ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่ฉันไม่อาจทัดทานไว้ได้ ฉันลงมือทำเพราะรั้งตัวเองไม่ได้บ้าง บางครั้งก็ทำโดยผ่านการคิดไว้ก่อนล่วงหน้า รู้สึกผิดชอบชั่วดี รู้ตัวดีแต่ก็ยังลงมือทำบ้าง ฉันเคยถูกส่งไปรักษาตัวที่สถาบันจิตเวชเพื่อป้องกันไม่ให้ฉันทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตาย ตลอดการรักษาที่ผ่านมาฉันพบทั้งแพทย์ประจำบ้าน จิตแพทย์ถึง 5 คน (และคงเพิ่มขึ้นในอนาคต) นักจิตวิทยา และผู้ป่วยจิตเวชอื่น ๆ ฉันวนเวียน แวะเวียนอยู่ที่วอร์ดจิตเวชของโรงพยาบาลศิริราชเป็นประจำ ระยะเวลานัดก็เร็วบ้าง ห่างบ้างตามปัจจัยต่าง ๆ ณ ขณะเวลานั้น 

          จนถึงวันนี้แม้ว่าฉันจะยังไม่หาย ฉันยังคง "ขอบคุณ" โรคซึมเศร้าที่เข้ามาในชีวิต เป็นส่วนหนึ่งฉัน ขอบคุณที่สอนให้ฉันรู้จัก เรียนรู้ ยอมรับ และอยู่กับความเจ็บปวดทรมาน ฟังดูอาจจะโลกสวยไปเสียหน่อย แต่เพราะซึมเศร้านี่แหละที่ทำให้ฉันมีชีวิตที่เป็นชีวิต ไม่ใช่ชีวิตที่เป็นเครื่องจักร ใช้หัวใจมากขึ้น เป็นธรรมชาติกับชีวิตเพิ่มขึ้น ฉันไม่ได้จะบอกว่าคนอื่นๆใช้ชีวิตแบบเครื่องจักรหรอกนะ แต่ถ้าฉันไม่ป่วยฉันคงเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลชีวิตไปแล้วอย่างน้อยก็ในชีวิตของฉันเอง ฉันรู้จักคนมากขึ้น ผู้คนที่ในชีวิตปกติแบบไม่ป่วยก็คงยากสักหน่อยที่จะมีโอกาสทำความรู้จัก ฉันได้รับบางโอกาสแต่ก็เสียโอกาสไปบ้างเหมือนกัน ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ มันมีราคาที่ต้องแลกมา ฉัันได้ไปในสถานที่ี่ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ไป ซึมเศร้าคัดกรองคนให้ฉัน ทำให้ฉันสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า "อารมณ์และความรู้สึก" ที่ไม่ใช่การอธิบายออกมาแค่ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ และไม่ใช่ไสยศาสตร์ ฉันมีร่องรอยของการต่อสู้ มีแผลเป็น แผลสด แผลตกสะเก็ด มีรอยร้าวไม่สมบูรณ์แบบที่ยังคงมีลมหายใจ

       ฉันไม่บอกว่า ฉันจะหายจากโรคนี้ สำหรับฉันหายก็ดี หายแล้วกลับมาเป็นใหม่ก็ได้ หายแล้วเปลี่ยนขั้ว ( ไบโพลาร์ ) ก็ได้ หรืออยู่ด้วยกันจนหมดลมหายใจก็แล้วแต่ ฉันไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ฉันหวังว่าการเล่าเรื่องของฉันจะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง อย่างน้อยก็ถือเสียว่าเป็นการฆ่าเวลาในชีวิตของใครบางคนไปสักนิดแล้วกัน 

    เครดิตภาพ http://falkerin.lu/2nd-anniversary-of-falkerin-recruitment-operations-in-luxembourg/
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
overreachpeach. (@debbyjudycooper)
cheering you up naka :)