เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storysasi_tsukidayo
จดหมายถึงฉันในอนาคต (เราจะผ่านช่วงนี้ไปให้ได้)
  • 7 มิถุนายน 2560
    ถึง คุณศศิในอีกห้าปีข้างหน้า

                  สวัสดีค่ะ คุณศศิ ฉันคือเด็กคนหนึ่งที่ชื่อศศิเหมือนคุณ ฉันรู้ว่ามันแปลกที่จะต้องมาพิมพ์อะไรอย่างนี้ แต่ไม่รู้จะเริ่มคุยกับคุณอย่างไรดี หากเป็นเมื่อก่อน เรามักเริ่มการเขียนบันทึกว่า "สวัสดี สมุดที่รัก ไม่ก็ สวัสดีสมุดจ๋า หรือเปล่านะ โอ๊ย...แต่เรียกตนเองว่าคุณนี่แปลกเกิน ใช้คำว่าเธอเนอะ) ฉันเขียนจดหมายนี้ เพื่อบันทึกเหตุการณ์ในช่วงชีวิตหนึ่งของฉัน (และของเธอ) นั่นคือ การฝึกงานของชั้นปี 1 สาขาธุรกิจการจัดการภัตตาคาร ณ ร้านอาหารหรูเกินกว่าจินตนาการของเด็กอย่างเรา เพื่อที่วันหนึ่ง...วันที่เธอหลงลืมอะไรบางสิ่ง วันที่เธอเหนื่อยล้าไม่เข้าใจ วันที่เธอชนกำแพง เธอจะได้เข้าใจว่าเราผ่านชีวิตช่วงนี้ได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่ฉันรับไม่ได้ที่สุดในโลกคือ การที่เธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เรื่อง และเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้เหมือนที่ฉันเกลียด ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเริ่มต้นบันทึกและจดหมายตั้งแต่วันแรกที่ฝึกงานเลยก็แล้วกัน
                   
    Days 1 22/05/60 เขาส่งฉันมาทำอะไรที่นี่...

                  เข้างานเที่ยง แต่กะเวลาเดินทางไม่ถูกเลยออกจากบ้านตั้งแต่ยังเก้าโมงครึ่ง บ้าบอมาก แถมนั่งรถตู้ไปด้วย ยังมีหน้าจะมากลัวกินข้าวเช้าไม่ทันงั้นงี้งู้นอีก เพราะละแวกนั้นของแพง จึงกินแค่โอนิกิริกับชาอู่หลงชุดโปรโมชั่นของเซเว่นตอนนั้น นั่งรถตู้จากเมืองทองไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อต่อบีทีเอสไปสถานีเพลินจิต และเดินต่อมายังชั้น 5 ของ Central Embassy ยุ่งยากเอาเรื่อง แต่ถึงเร็วอยู่ เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง แต่งหน้าใหม่ได้เลยอะ ถูกมองแปลกๆ ด้วย เพราะไม่รู้ว่าเขาไม่ให้พนักงานเข้าห้องน้ำลูกค้า กว่าจะจัดการกับรองเท้าที่กัดจนเราได้แผลก็นานเอาเรื่อง จึงได้เข้าร้าน 11 โมง 40 นาที ตั้งใจจะเข้าร้านพร้อมแทททูท่ี่ได้ทุนเดียวกัน ลงร้านเดียวกัน แต่นางไม่ตอบไลน์เลย เราจึงไปคอยนางที่ร้าน โดยการเดินเข้าไปแนะนำตัวกับชายสวมเสื้อกั๊กทับเสื้อเชิ้ตขาวว่า เราเป็นใคร มีคนสงสัยว่าเราเป็นใครถึงขั้นมาชะเง้อดูหน้าห้องที่เขาให้เราไปนั่งคอยเพื่อนด้วย (มารู้หลังจากนั้นว่าห้องนั้นคือ B1) ทันการประชุมของพนักงานด้วย แนะนำตัวคนเดียวเขินมาก แต่แทททูที่วิ่งเข้ามาในร้านทั้งกระเป๋าคงเขินกว่า เมื่อได้ยืนฟังการประชุมแล้วจึงรู้ว่า...ทุกคนเป็นพม่าหมดเลย...

     แล้วหลังจากนั้นเราก็ถูกย้ายไปยังห้อง VIP อ่าน SOP คอยพี่ฤทธิ์ ผู้จัดการร้านที่จะเข้าบ่ายโมงและอธิบายให้พี่วิท ผู้ช่วยผู้จัดการที่เราเข้าไปแนะนำตัวกับเขาคนแรกฟังว่าเราสองคนไปอย่างไรมาอย่างไรและส่งเอกสารส่งตัวให้ (รอพี่ฤทธิ์จนเกือบหลับ และแทททูหลับไปเลย)

                  เราสองคนเป็นนักเรียนทุนจากสถาบันเอกชนแห่งหนึ่งที่ใช้ระบบ Work bass Education อย่างที่เธอเองก็รู้ (คิดว่าเธอคงเรียนจบนะ เพราะฉันตอนนี้ผลการเรียนไม่เลวเลย เกรดเลขสวยดีจนไม่อยากให้มันขยับ) ผู้ให้ทุนการศึกษาเราคือ บริษัท โนเบิล เรสเตอรองค์ หรือก็คือบริษัทแม่ของร้านชาบูสุกี้ที่เรากำลังจะเข้ามาทำงานนี่ละ คนที่รับเราสองคนเข้ามาก็น้องชายของเจ้าของร้าน ช่วงนี้ที่มหาวิทยาลัยอื่นปิดเทอมคือช่วงฝึกงานของสถาบันเรา นี่ไม่ใช่การทำพารืทไทม์ แต่เป็นการฝึกงานที่มีเกรด เราไม่รู้ว่าสถาบันอธิบายให้พี่ฤทธิ์และพี่วิทฟังแค่ไหน จึงอธิบายไปยาวมากให้ทั้งพี่ฤทธิ์และพี่วิชฟัง

                 หลังอ่าน SOP จบไปรอบครึ่ง ถามนั่นถามนี่ไปมากมาย และอธิบายให้พี่ๆ เข้าใจความเป็นมาแล้ว เขาก็ให้เราออกมาและสังเกตความเป็นไปในร้าน ดูว่าพนักงานทำงานกันอย่างไร จำได้ว่า พี่ฤทธิ์บอกว่า ร้านนี้ต้องใช้ทักษะในการสังเกตค่อนข้างมาก และเราจะให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาอย่างที่สุด ตอนที่เราคิดจะยืนดูอะไรอยู่ห่างๆ แทททูก็เข้าไปชวนพี่มะ หนึ่งในพนักงานคุย พอรู้อะไรคร่าวๆ บ้างว่าเราต้องทำของให้ลูกค้ากินที่โต๊ะเลย อย่างที่เธอรู้นั่นละ...ฉันทำกับข้าวไม่เป็น ทอดไข่ยังติดกระทะ หั่นหอมยังร้องไห้ ตอนแรกฉันกดดันมากเลยที่มากับแทททู เธอพอเข้าใจไหม ทางนั้นทั้งสวยและเก่ง เป็นหัวหน้าสาขา Block A เป็นรองอันดับหนึ่งนางสงกรานต์สถาบัน มีพรสวรรค์ในการจูงใจคน แต่ฉันเป็นที่หนึ่งแค่ด้านการเรียน ค่ายผู้นำที่ผ่านมาราวกับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ในสถาบันอาจารย์ปฏิบัติกับเขาและกับฉันต่างกันมากเหลือเกินจนน่าน้อยใจ (แต่ฉันไม่ได้เกลียดหรืออิจฉาเขานะ เเค่น้อยใจสิ่งที่คนอื่นทำกับเรามากกว่า) แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเข้ากับคนยากมากจริงๆ หากวันนั้นแทททูไม่อยู่ด้วยเราคงลำบาก วันนั้นดีใจจริงๆ ที่มีเขาอยู่ หลังจากนั้นพี่ฤทธิ์ก็พาเราไปดูในครัว ไปแนะนำตัวกับผู้ช่วยฯ ฝ่ายครัวและพนักงานในนั้น เราไหว้เขาไปหมด แต่มีคนไม่รับไหว้เราเพราะคิดว่าเราเป็นพม่า ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม้แต่ตำรวจท่องเที่ยวแถวนั้นก็ไม่คิดว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน

                  หลังจากสังเกตนั่นนี่ในร้านสักพัก คนตัวสูงๆ ผอมๆ คนหนึ่ง อ่านป้ายชื่อแล้วว่า BOY ก็เดินเข้ามาถาม ว่าชื่อของเราเขียนแบบที่เขาเขียนให้เราดูใช่ไหม แล้วไปถามแทททู ร้ายกาจสุดคือบังอาจเรียกเราว่าพี่ ฉันเพิ่งจบปีหนึ่งป่ะ? หน้าฉันแก่เหรอ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นคนไทยอีกเพียงคนเดียวในหมู่เด็กเสิร์ฟที่คนในร้านพูดถึงกัน หลังจากนั้นพี่ฤทธิ์ก็ให้บอยนี่ละว่าสอนเราเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องจับภาชนะและพาเราไปดูรอบๆ ร้าน นอกเหนือจากส่วนอื่นที่พี่ฤทธิ์พาเราไปดูแล้ว ซึ่งบอยลงทุนมากจนพี่ฤทธิ์ส่ายหน้า แต่ก็ดี ไปๆ มาๆ คุยแล้วก็อายุเท่ากัน เพียงแต่ทางนั้นดรอปไปหนึ่งปี จึงเพิ่งขึ้นปีหนึ่ง สาขาวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เจ๋งอยู่ๆ 

                    หลังจากนั้นราวๆ หนึ่งทุ่มมั้ง คุณเอ เจ้าของร้าน พี่กวาง (?) เซนซัง (?) และพี่นุ (ตำแหน่งอะไรกันแน่นะ แต่ละท่าน) ก็มา คุณเอนี่รู้โดยคอมมอนเซนส์ว่าเป็นใคร ฃ แต่ท่านอื่นๆ จนถึงวันที่เขียนไดอารี่ย้อนหลังนี่ก็ไม่รู้ว่าใคร แม้แต่พี่นุ บอยแอบมาแนะนำคร่าวๆ แล้วว่าพี่นุเป็นใคร ขำมากตรงที่บอยพยามยามหาจังหวะมาเมาท์ให้ได้ พอนายมาบอยก็แวบ ยิ้มทีตาปิดเชียว นี่น่าจิ้มตาแบบแปลกๆ แต่การพบกับกันครั้งแรกของฉันกับแททูและพี่นุบันเทิงมากจริงๆ ขณะนั้นเราสองคนถูกส่งไปอยู่โซน U พี่นุก็เดินเข้ามาถามว่าทำงานวันแรกหรือ? และแนะนำตัวกับเราทั้งคู่ด้วยท่าทางแอคทีฟสุดขีดว่า

                    "สวัสดี พี่ชื่อนุนะ ตำแหน่ง...จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน จำได้แค่ว่าทำทุกอย่างเลย แล้วนี่ชื่ออะไรกันบ้าง" 

                    แล้วพี่นุก็สอนฉันยืนใหม่ (ฮา) 

                    ขณะนั้นเข้าใจว่าพี่นุเป็นพ่อหรือพี่ชายของคุณเอ แอบหน้าคล้ายกัน หุ่นก็คล้ายกัน แต่ไม่ใช่ เพราะตอนหลังเขาเรียกเราเข้าไปคุยในห้องวีไอพี และนินทาเจ้านายให้ฟังตั้งมากมายตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณเอยันรุ่นลูกที่ส่อแววจะฮาร์ดคอกันท้้งบ้าน ประมาณว่า
                    
                    "ตอนที่พี่มาทำงานกับเขาครั้งแรกน่ะนะ เมื่อสักสิบปีก่อนมั้ง มีแต่แผนจะทำร้าน แต่ร้านยังไม่มีเลย ตอนนั้นได้แต่มองหน้าเขา แล้วคิดว่าฉันจะฝากชีวิตไว้กับหมอนี่ได้ไหมนี่ แล้วไปหาแหล่งเนื้อที่ญี่ปุ่นด้วยกัน จู่ๆ เจ้าของร้านก็หายไปจากโรงแรม กลับมาอีกที แบกเนื้อมาด้วย" ฉันกับแทททูได้แต่มองหน้ากัน แล้วมองพี่เขาแบบ...หือม์???

                     แล้วพี่นุก็เล่าต่อ "แต่ให้วางใจเถอะว่าเขาเป็นเจ้านายที่ใจดี อบอุ่น เคยมีครั้งหนึ่งพี่จะไปดูงานที่ภูเก็ต แค่พูดเปรยๆ ว่า ไม่รู้แถวนั้นอะไรอร่อย ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ พอได้ยินพี่พูดนี่วางงานเลย แล้วจดรายชื่อร้านให้ บอกด้วยว่าอยู่แถวไหน ใส่ใจมากๆ" 

                     พี่นุพูดอะไรมากมาย ดูเป็นลูกน้องที่ไม่กลัวเจ้านายเท่าไร่ นินทาพี่ฤทธิ์ด้วย พอเขาเข้ามาก็ทำหน้าเฉยแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนียนมากกก ได้คุยกับคุณเอไม่นานหลังจากนั้น เขาบอกว่าอยากคุยกับเราเพราะไม่มีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์ฉันกับแทททูด้วยตนเอง ตอนคุยกับคุณเอก็เล่าอะไรไปเยอะเหมือนกัน เช่นที่ไปที่มาว่าทำไมเราจึงมาพบคุณตักได้ เราก็เล่าย้อนไปไกลว่าเราเคยได้ทุน 50% ของคณะศิลปศาสตร์ญี่ปุ่นนะ แต่เราไม่มีเงินเรียน แล้วเราพบคุณตักพอดี เราคุยกับคุณตักแล้วคณบดีเสนอทางเลือกให้เราว่าระหว่างทุนของซีพี รีเทลลิงค์กับบริษัทนี้จะอยู่กับใคร เราเลือกทางนี้เพราะเราชอบแลละอยากใช้ความรู้ญี่ปุ่นบ้าง ไม่รู้เพราะอย่างนี้หรือเปล่า คุณเอดูเหมือนจะไม่สนใจเราอีกเลย บอกยากเหมือนกัน  แต่ฉันก็ชอบคุณเอ ฉันชอบบรรยากาศที่นี่ ฉันชอบความอบอุ่นแบบแปลกๆ นี้ แม้มันจะแฝงด้วยการช่วงใช้ประโยชน์ต่อกันก็ตาม  ฉันจึงอยากอยู่ที่นี่ให้ได้

    ฉันต้องอยู่ได้ จนถึงวันที่เธอได้อ่่านจดหมายฉบับนี้
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in