เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[9Satra Fanfiction] You're My Red Velvet CakeM_Black
[9Satra Fanfiction] You're My Red Velvet Cake

  •            “ เจ้าหนู เลือกเอานะ จะมากับข้า หรือจะอยากอยู่ในป่านี้ “ ร่างในชุดคลุมสีดำมอซอเอ่ยกับสัตว์อสูรที่กำลังแยกเขี้ยวขู่คำรามแม้จะยังเยาว์นัก ผู้เอ่ยถามมิตอบโต้ใดๆ มือข้างนึงที่บาดเจ็บเพราะช่วยเหลือยังคงมีเลือดไหล เรือนกายสีม่วงมีริ้วลายขาวบ่งบอกว่ามิใช่มนุษย์ มิใช่เผ่าเดียวกับที่สังหารเผ่าพันธุ์ตรงหน้าจนเหลือเพียงสกุณเหราตัวน้อยตัวเดียว…


                          ภาพสะท้อนแห่งอดีตเน้นย้ำเตือน

                          การถูกล้างพงศ์พันธ์มิใช่เรื่องควรจำ

                          แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรลืมเลือน


               “ หากต้องการอิสระ ก็จงอยู่ มีชีวิตอยู่แบบที่เจ้าต้องการ เลือกเอา “ เขาเอ่ยอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินหอบข้าวของพะรุงพะรังด้วยมือออีกข้างที่ไม่เจ็บ ร่างสูงชะลูดก้าวข้ามร่างของมนุษย์มากมายที่ตนเพิ่งสังหารจนเกลื่อนกลาด เจ้าสกุณเหราใช้ดวงตาสีอำพันจ้องมอง มันเอาหัวดุนร่างของพ่อแม่ที่นอนตายอยู่อย่างอาลัย ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยไห้ดังกึกก้องป่า ผู้ช่วยเหลือมิหันกลับไปมอง เพียงเดินให้ไวขึ้น กระนั้นใบหน้าใต้ผ้าคลุมก็แย้มยิ้มจาง เมื่อได้ยินเสียงปีกกระพือที่กำลังไล่ตามตนเองมา…


                          .

                          .

                          .


               ไอร้อนลอยออกจากหม้อดินเผาใบเก่าคร่ำครา มือยาวไว้เล็บสีแดงสดบรรจงค่อยๆใส่ผลไม้แห้งๆบางอย่างสีน้ำตาลลงไปในนั้น พร้อมกับเกล็ดผลึกสีขาวอีกถ้วยใหญ่ กลิ่นหอมลอยเอื่อยออกมาจนฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง ผู้ที่กำลังเพลินเพลินกับการปรุงของเหลวสีอำพันไม่เฉลียวใจสักนิดเลยว่าเงามืดนึงกำลังย่างเท้าอย่างเงียบกริบมาด้านหลัง ปากที่อ้ากว้างมีเขี้ยวแหลมคมเด่นชัดในเงามืดที่แดดส่องไม่ถึง… อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกนิดเดียวคมเขี้ยวนั้นก็จะฝังลงบนคอยาวสีม่วง..


               “ หอมจังเลยครับ “ ปากมีเขี้ยวเอ่ยหลังจากฝังรอยจูบที่หลังคอนั่น คนโดนลักจูบหันมา


               “ มามิให้สุ้มเสียง อยากโดนสาปให้เป็นนกกระตั๊วหรือ สกุณเหรา “ เขาเอ่ย พลางปิดฝาหม้อแล้วหันมามองร่างที่สูงกว่าตนเองสักเท่านึงได้


               “ พ่อจ๋า กล้าสาปสกุณด้วยหรือ? “


               “ อยากจะลองดูไหมล่ะ สกุณ “ มือมีเกล็ดแข็งและเล็บคมเงาวับเลื่อนมาจับข้อมือผอมๆเอาไว้ทันก่อนที่จะโดนร่ายมนต์สาป


               “ พ่อจ๋าไม่ดุสกุณสิ จริงๆพ่อจ๋ารู้ใช่ไหมว่าเป็นข้า “


               “ อยู่กันมาเป็นสิบปียี่สิบปี ทำไมข้าจะไม่รู้ เอาเถอะ ปล่อยมือข้า ข้ามีอย่างอื่นที่ต้องทำอีกมาก “ สกุณยิ้มให้เห็นเขี้ยว


               “ พ่อจ๋ามีงานยุ่งอีกล่ะ แต่อย่างว่าละนะ ก็พ่อจ๋าเป็นพ่อมดที่เก่งที่สุดนี่นา พ่อมดชาวทมิฬ “ คนโดนยอถอนใจ


               “ ไม่ต้องมาแกล้งยกยอข้า เจ้านกเอาแต่ใจ ปล่อยมือข้าได้แล้ว “


               “ แล้วถ้าสกุณไม่ปล่อยล่ะ? “


               “ อยากจะโดนสาปจริงๆใช่ไหม สกุณเหรา “ พ่อมดหนุ่มขู่เข้าให้อีกรอบ  สกุณเหรายิ้มแป้นยอมปล่อยมือ


               “ สกุณจะกล้ากับพ่อมดบากได้อย่างไร มีอะไรให้สกุณช่วยไหมล่ะจ๊ะ “ เจ้าตัวดีถาม มองคนมากวัยกว่าตนที่บ่นอุบอิบเป็นหมีกินผึ้งขณะหยิบกองสาส์นงานที่มีลูกค้ามาไหว้วานให้บนโต๊ะ นิ้วเรียวโบกไปมาข้าวของก็ล้วนลอยมาเข้ามือและจัดวางบนโต๊ะอย่างน่าอัศจรรย์


               บาก… พ่อมดชาวทมิฬ อาศัยอยู่กับสัตว์อสูรเผ่าสกุณเหราในย่านชานเมืองติดแนวป่าใกล้เมืองท่าค้าขายอย่างนาคาวรรณ เชี่ยวชาญทั้งศาสตร์การปรุงยา เวทย์มนต์ การสื่อสารกับสัตว์อสูรและสัตว์โดยทั่วไป พื้นเพนิสัยเป็นคนเงียบๆ ชอบขลุกอยู่กับตำราเวทย์ และหาเงินด้วยการค้นหาสินแร่กับสมุนไพรหายากไปแลกเปลี่ยนค้าขายในตัวเมืองมากกว่า ไม่ค่อยมิใครล่วงรู้ประวัติเดิมของพ่อมดตนนี้เท่าไหร่นัก ไม่รู้ถึงที่มาของแผลเป็นบนหน้าและตามลำตัว อาจด้วยนาคาวรรณคือเมื่องแห่งการค้าขาย ขอเพียงมีสินค้า ก็มิมีผู้ใดสนใจถึงที่มาหรือประวัติย้อนหลังกันนัก


               สกุณเหราเองแม้จะมาอยู่ใต้การดูแลของบากตั้งแต่ยังเป็นสัตว์อสูรตัวจ้อยที่ถูกฆ่าเพื่อเอาขน หนังและคมเขี้ยวไปทำอาวุธ จากพวกลักลอบล่าสัตว์อสูรซึ่งเป็นกฏข้อห้ามที่รู้โดยทั่วไป พ่อมดหนุ่มในตอนนั้นช่วยเหลือ ให้อาหาร ให้ความรักจนกระทั่งถึงวันที่ตัดสินใจเลิกร่อนเร่แล้วปักหลังอาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กๆแห่งนี้  ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน มิพรากจากกันแม้แต่วันเดียว เนิ่นนานเป็นสิบปียี่สิบปีไปแล้ว แต่สกุณเหรา หรือ สกุณก็มิเคยได้ล่วงรู้ถึงประวัติของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย…


               “ สกุณ… ช่วยข้ายกหม้อมาวางไว้ตรงนี้ที “ บากเอ่ย ซึ่งคนโดนวานก็ทำตามแบบไม่เกี่ยงงอน


               “ น้ำอะไรจ๊ะนี่ พ่อจ๋า หอมเชียว “


               “ น้ำมะตูม ข้าได้มะตูมแห้งมาจากร้านแม่หญิงทิพย์ในนาคาวรรณ จึงต้มเอาไว้ “


               “ ต้มเยอะจังเลยนะจ๊ะ “


               “ เอาไว้แจกเทศกาลฮาโลวีนน่ะ ข้าได้ยินมาว่าปีนี้นาคาวรรณจัดงานฮาโลวีนเพราะเริ่มมีชาวต่างชาติมาเยอะ ก็คงอยากจะเอาใจแขกบ้านแขกเมืองละมั้ง “ สกุณทำหน้าสงสัย


               “ ฮา.. โล...วีน ?? “


               “ มันเป็นเทศกาลหนึ่งของชาวตะวันตกน่ะ ผู้คนจะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจหรือพ่อมดออกมาร่วมงานเทศกาล ร้านรวงหรือตามบ้านจะประดับประดาของน่ากลัวๆ เสมือนจำลองเมืองหลังความตายขึ้นมา เด็กๆก็จะออกมาขอขนมกัน “


               “ ขอขนม? “


               “ ใช่ เด็กๆจะพูดว่า ทริค ออร์ ทรีต แปลเป็นภาษาเราก็คือ หลอกหรือเลี้ยง ถ้าเจ้าไม่มีขนมให้เด็กๆก็จะแกล้งหลอกเจ้าไง น่าสนุกดีใช่ไหม? “


               “ ฟังดูเป็นเทศกาลที่รื่นเริงดีนะจ๊ะ พ่อจ๋าจะเข้าร่วมด้วยเหรอ? “ บากส่ายหน้า


               “ ไม่ล่ะ คงแค่เอาของไปฝากแม่ทิพย์ เพราะนางเป็นโต้โผใหญ่จัดงาน ข้าก็แค่จะเอาของไปช่วยด้วย ก็ว่าอยู่ว่าจะทำขนมไปด้วย “


               “ ขนมเหรอ? พ่อจ๋าจะทำขนมอะไร กล้วยบวชชีเหรอ? “ คนฟังหัวเราะ


               “ ให้เข้ากับเทศกาลก็ต้องเป็นขนมฝรั่งซี  “


               “ ขนมฝรั่ง อร่อยไหม ทำจากลูกฝรั่งเหรอจ๊ะ “ พ่อมดกายสีม่วงยิ้มอีกครั้ง


               “ มิใช่ดอก แตก็ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้จักนี่นะ ข้าก็มิเคยทำให้กิน จริงๆขนมฝรั่งก็นิยมไม่มากนักในนาคาวรรณ เดี๋ยวจะลองทำให้เจ้ากิน แล้วจะทำให้แจกเด็กๆด้วย ไม่ได้ทำขนมนานแล้ว ไม่รู้ฝีมือจะตกไปไหม? “ สกุณเหราที่ตอนนี้นั่งกับเก้าอี้ท้าวคางมองยิ้มแป้น


               “ นอกจากเป็นพ่อมดแล้ว พ่อจ๋าก็ทำอาหาร ทำขนมเก่งนะ สกุณชอบ “


               “ แต่เจ้าก็ยังไม่เลิกกินเนื้อดิบไม่ใช่หรือไง เอาล่ะ ถ้าจะทำขนมก็ต้องมีของที่ต้องใช้เยอะเลย อืม….คงต้องเข้าเมือง “ สกุณเหราทำตาโต


               “ เข้าเมือง นาคาวรรณใช่ไหมจ๊ะ ไปด้วยยย สกุณไปด้วยนะะะ “ แขนแข็งแรงตรงเข้ากอดเอวของคนมากวัยกว่า ยิ้มร่าเริงส่งสายตาอ้อน


               “ หาเรื่องเที่ยวอีกแล้วนะ ยังไงเจ้าก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว ข้าขี้เกียจเดินเท้า ถึงเราจะอยู่ไม่ไกลก็เถอะ เดินเท้าอย่างไรก็กินเวลาตั้งค่อนวัน “


               “ ขี่สกุณไปก็แป๊ปเดียวเองเนอะะะ “


               “ รู้แบบนั้นก็ไปเตรียมตัว ข้าจะขอจดรายการของที่ต้องใช้เสียหน่อย “


               “ จ้ะ พ่อจ๋าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกนะ “ เจ้านกว่าร่าเริง ก้มลงหอมแก้มทีเผลอใส่อีกฝ่าย เลยโดนเวทย์มนต์เอาตะหลิวปรุงยาเคาะหัวให้จนร้องโอดโอยงอแงใส่




    “ พ่อจ๋าดุจัง “


               “ ไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้เลย “ บากเอ่ยปากไล่ มองตามหลังเจ้าสัตว์อสูรแปลงตัวดีที่ทำปากยื่นปากยาวเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะนั่งลงหยิบปากกาขนนกและกระดาษมาเขียนรายการของ มือยาวหยุดชะงักลงเมื่อถึงรายการของอย่างนึง ภาพความทรงจำในอดีตที่แสนยาวนานหากไม่เคยลืมจากหัวใจแล่นริ้วมาจนต้องชะงัก ตอนนั้นเองที่เขาหยิบจี้ห้อยคอทำจากทองคำเนื้อดีออกมา เมื่อเปิดออกมาจึงได้เห็นเส้นผมสีแดงอยู่ด้านใน แฮร์จิลเวอร์รี่ที่สวมติดกายตลอดมิเคยถอด มันลงอาคมป้องกันการกระแทก น้ำ และไฟอย่างดี  เป็นสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงตนเองไว้กับใครคนหนึ่งในความทรงจำ


    “ ฮาโลวีนเวียนมาอีกแล้วนะ ข้าพยายามจะลืมๆมันไปตั้งนานแล้ว แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไงมันก็ยังกลับมา คงจะมีแต่ท่านที่ไม่เคยกลับมาหาข้า… ทารคา “ บากเอ่ย น้ำเสียงสั่น นานสักพักกว่าจะยอมเก็บจี้นั้นกลับเข้าไป และเตรียมของสำหรับเดินทาง…


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


    นาคาวรรณเป็นเมืองท่าค้าขายเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้ ผู้คนหลากหลายทั้งชาติพันธุ์และต่างเมืองล้วนนิยมชมชอบมาค้าขายแลกเปลี่ยนจนถึงเที่ยวชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมต่างๆ ร้านรวงเต็มสองฝั่งถนน ผู้คนเดินขวั่กไขวกันไปหมด มีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมืองใดๆในแถบนี้ ถึงกับมีคำกล่าวกันทั่วไปทั้งในหมู่ผู้เดินทางและพ่อค้าแม่ขายว่า


                          มิมีสิ่งใดจะหาไม่ได้ในนาคาวรรณ


    นั่นเป็นความจริงแท้ที่สุด เมื่อตอนนี้หนึ่งในสัตว์อสูรหายากตนนึงกำลังขยับปีกใหญ่ของมัน ก่อนจะค่อยๆแปลงกายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งพงศ์พันธ์เดิมคือ สกุณเหรา ผู้คนมองร่างที่สูงสง่าและน่าเกรงขามอย่างสนอกสนใจ จริงอยู่ว่าสัตว์อสูรมิใช่เรื่องแปลกนักในนาคาวรรณ แต่สกุณเหราเป็นสัตว์อสูรที่ค่อนข้างหายากและมีค่ายิ่ง


    “ คนมองสกุณเยอะตามเคย “ เจ้านกบ่น ขณะรอเจ้านายหนุ่มใช้มนต์ย่อส่วนสัมภาระเก็บไว้ในกระเป๋าคล้องไหล่ทำจากหนังตัวระมาด


    “ เจ้าเป็นสกุณเหรา อีกทั้งแปลงเป็นครึ่งมนุษย์ได้ ย่อมดึดดูดความสนใจ อย่าห่างจากข้าล่ะ ถ้าไม่อยากกลายเป็นเกราะแขวนโชว์ในร้านขายอาวุธ “ นายขู่ เจ้าตัวดีทำหน้ายู่ใส่


    “ ข้าไม่ใช่สกุณเหราตัวเล็กๆให้ใครมารังแกอีกแล้วนะจ๊ะ อีกอย่างพ่อจ๋าก็อยู่ พ่อจ๋าจะไม่ช่วยสกุณเหรอ “ บากหัวเราะหึ


    “ ตัวเจ้ามีค่าตั้งหลายอัฐ ใครจะรู้ ข้าอาจอยากได้สัตว์อสูรที่งี่เง่างอแงน้อยกว่าเจ้านะ “


    “ พ่อจ๋า!! “ สกุณท้วงเอาให้ อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือ


    “ ไม่เอาหรอก แค่เจ้าก็พอแล้ว ข้าไม่อยากได้สัตว์อสูร หรือใครมาอยู่ด้วย…. “ ท้ายเสียงเบา สกุณเหราฉงนอยู่ในใจแต่ก็ไม่กล้าถามไถ่ อยู่ด้วยกันมานานพอที่จะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่าหากไม่อยากจะเล่าบากจะมิปริปากใดๆออกมา วันใดที่อยากเล่าก็จะเล่าเอง


    “ ดูเหมือนเมืองจะเริ่มการตกแต่งแล้วนะ “ เขาว่า มองไปรอบๆ โคมแบบจีนในย่านการค้าเริ่มเปลี่ยนเป็นโคมกระดาษรูปร่างแปลกตาสีส้ม วาดหน้าตาเหมือนกระดูก ผู้คนจอแจกว่าเดิมสักเท่านึง อีกทั้งยังมีชาวต่างชาติเดินกันเต็ม สกุณเหราตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่มา และตื่นเต้นหนักที่มีเด็กๆทั้งผมทอง ผมน้ำตาลมารุมล้อมมอง พูดด้วยด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ เจ้านกยักษ์เลิกลั่ก หันไปหาพ่อมดชาวทมิฬที่กำลังอมยิ้มขำอยู่ใต้ผ้าคลุม


    “ พ่อจ๋าา ช่วยด้วย “


              “ สงสัยวันหลัง ข้าคงต้องสอนภาษาต่างชาติให้เจ้าด้วย “ บากว่า ก่อนจะก้มลงบอกเด็กๆด้วยภาษาเดียวกัน พวกเขาทำตาโตร้องอูวหูวใส่สกุณเหราที่ยังยืนงๆอยู่ พ่อมดหนุ่มพูดอีกสองหรือสามประโยคก่อนที่เหล่าตัวจ้อยจะยิ้มหัวเราะโบกมือวิ่งกลับไปทางอื่น


               “ พะ พ่อจ๋าพูดอะไรอ่ะะะ “


               “ ข้าบอกเด็กๆไปว่า วันงานฮาโลวีนเจ้าจะลงมาที่งานเลี้ยงในเมือง เอาขนมมาแจก “


               “ โห น่าสนุกจังเลยจ้ะ “ ผู้มากวัยกว่ายิ้ม


               “ แต่เจ้ามาในร่างสัตว์อสูรนะ สกุณเหราตัวโตๆ คาบตะกร้าขนม น่ารักพิลึก ว่าไหม “ บากพูดพลางหัวเราะร่วน สกุณเหราทำหน้าเอ๋อไปชั่วครู่ก่นจะแหวเสียงลั่น


               “ พ่อจ๋าอ่ะะะ “


    พ่อมดหนุ่มชาวทมิฬยังคงหัวเราะต่อขณะเดินตามทางปูอิฐลาดสีขาว แม้ในเมืองจะเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย แต่เขาก็จำรายละเอียดทุกอย่างรอบกายได้แม่นยำ เดินลัดเลาะโดยมีเจ้าสัตว์อสูรแปลงตัวโตผมสีแดงเพลิงวิ่งตามหลังต้อยๆ ออกจะเป็นภาพน่าเอ็นดูไม่หยอก  อากาศค่อนข้างเย็นแต่แดดยังแรงอยู่


               “ พ่อจ๋าไม่ร้อนเหรอ?  “ สกุณถาม หอบลิ้นห้อย อีกฝ่ายหันมา


               “ ก็นิดหน่อย จริงๆข้าเสกเวทย์ไอเย็นได้ แต่ข้าไม่อยากใช้เวทย์พรำเพรื่อ “


               “ เหรอจ๊ะ เสื้อคลุมก็ไม่ถอด “ ทมิฬหนุ่มหยุดเดิน


               “ ด้วยรูปลักษณ์ของข้า คนเค้าคงจะกลัว ข้าใส่คลุมแบบนี้น่ะดีแล้ว ร้อนมากสินะ ทนอีกนิด เดี๋ยวก็ถึงร้านแม่ทิพย์แล้ว “


               “ จ้ะ ถึงร้านแล้วข้าจะอ้อนแม่ทิพย์ขอน้ำเย็นๆกินสักโอ่ง “


               “ เจ้าเองก็บินมาไกล ถ้าเหนื่อยก็พักอยู่ร้านแม่ทิพย์เถอะ ข้าไปซื้อของเองได้ อา...คนยังเยอะเหมือนเดิม “ เขาทัก เมื่อมาหยุดยืนมองร้านห้าคูหาตรงหน้า ป้ายไม้เก่าแก่มีทองคำเปลวประดับกรอบหรูหรา คนงานทั้งมนุษย์และทมิฬเดินเข้าออกร้านกันขวั่กไขว่ ส่งเสียงโต้ตอบกันหลากหลายภาษา แต่เสียงนึงที่ดังกว่าใครหญิงสาวร่างโปร่งที่ยืนเท้าเอวสั่งงานอยู่ภายในร้าน กลิ่นหอมหวานลอยมาจากกล้องยาสูบของหล่อน ดวงตาสีเขียวหันมาสบกับพ่อมดหนุ่ม เขายิ้มให้


               “ อ้าว จะมาก็ไม่ส่งนกมาบอกก่อน จะได้ต้อนรับถูก “


               “ ไม่ต้องมากเรื่องหรอกน่า ทิพย์ แค่แวะมาซื้อของ “ บากยิ้มบอก เดินตรงเข้ามานั่งตรงที่นั่งรับรองแขกตามความคุ้นชิน สกุณเดินลิ้นห้อยตามมา


               “ แม่ทิพย์ สกุณหิวน้ำจังงงง “ หญิงสาวหัวเราะร่วน


               “ เจ้านกน้อย หิวทุกทีเลยนะ นั่งก่อน แม่ทิพย์จะให้คนเอาน้ำเก๊กฮวยเย็นๆมาให้ “  สัตว์อสูรผมแดงยิ้มเริงร่า นั่งลงข้างๆเจ้านาย หญิงสาวสั่งคนให้นำน้ำมาให้แขกก่อนจะเดินมานั่งด้วย


               “ ร้านยังคึกคักขายดีเหมือนเดิมนะ ทิพย์ “


               “ ก็สมุนไพรหายากมันเยอะขึ้น ก็ต้องยกความดีความชอบให้ท่านนั่นล่ะ “ หล่อนว่า ยื่นแก้วน้ำใส่น้ำเก๊กฮวยเย็นส่งให้ทั้งสอง บากยิ้มรับ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก


               “ จนถึงตอนนี้ท่านก็ยังไม่ค่อยชอบเปิดเผยตนเลยนะ แต่ก็ดีกว่าแต่ก่อนที่ใส่หน้ากาก “ หญิงสาวเอ่ย อีกฝ่ายดื่มน้ำเย็นๆก่อนจึงค่อยพูด


               “ รูปลักษณ์ข้ามันไม่น่ามองนี่นา “


               “ นาคาวรรณเป็นเมืองค้าขาย ท่านก็เห็น เดี๋ยวนี้ทมิฬก็เยอะมากขึ้นแต่ก่อน ท่านมิได้แปลกเสียหน่อย อย่างน้อยๆผัวข้าก็ทมิฬเช่นท่านนะ แผลรึก็มี นี่วันนี้ข้ายังใช้ไปซื้อของเข้าร้านเลยหนา “ ทิพย์เอ่ย หัวเราะอารมณ์ดี บากได้ยินก็อดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ สกุณเหราที่ตอนนี้กำลังเพลินกับน้ำเก๊กฮวยมองเจ้านายหนุ่ม ที่ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น


               “ หิรัญน่ะ ข้อยกเว้น ลองขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเจ้า ไม่มีผู้ใดในนาคาวรรณกล้าทำอันใดดอก หรือไม่ใช่ “ ดวงตาสีเขียวของทิพย์มณฑามองสบดวงตาสีอำพัน ก่อนที่หล่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่


               “ มาลองเป็นคนของข้าไหมเล่า รับรองเลยว่า ไม่มีใครกล้ากับท่านเช่นกัน “


               “ ข้าไม่สิ้นคิดเท่าหิรัญนะ เอาล่ะ เห็นทีต้องรบกวนเสียหน่อย ฝากสกุณเหราไว้ที่ร้านหน่อยเถอะ ข้าจะไปซื้อของทำขนมมาช่วยงานเลี้ยงฮาโลวีนในอีกสองวันข้างหน้านี้ “


               “ พ่อจ๋า สกุณไปได้นะ ไม่ร้อนหรอก “


               “ เจ้าอยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวข้ามา วานเจ้าช่วยดูหน่อยนะทิพย์ อย่าให้ไปซนล่ะ “ ทิพย์หัวเราะ


               “ ไว้ใจได้เลย แต่ว่า ข้าถามนิดได้ไหม ท่านจะซื้อะไรบ้าง “


               “ พวกของแห้งอย่างแป้ง ผงโกโก้น่ะ ข้าจะทำขนมอบมาแจกเด็กๆ ใส่ตะกร้าให้เจ้าสกุณคาบมาแจก “


               “ พ่อจ๋าอ่ะะะ ข้าเป็นสัตว์อสูรนะะะ “ สกุณร้องท้วง เจ้าของร้านสมุนไพรหัวเราะงอหาย


               “ น่าเอ็นดูไม่หยอกเชียว อ๋อ ร้านขายแป้งน่ะ ย้ายทำเลไปทางท้ายเรือนแถวตรอกมืด เดินลัดคงจะไว แต่ที่ไม่มงคลเช่นนั้นอย่าเดินเลาะไปเลย ไปทางตรงคงจะดีกว่า “ พ่อมดหนุ่มพยักหน้ารับ มองสัตว์อสูรของตนเอง


               “ สกุณ อย่าดื้อล่ะ “


               “ ไม่ให้หนูไปด้วยจริงๆเหรอ? “ เขาถาม ทำตาละห้อย


               “ อยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวขากลับเจ้าต้องบินพาข้ากลับอีก จะเหนื่อยเกินไป รอนี่นะ “ บากกำชับก่อนจะดึงผ้าคลุมขึ้นปิดบังหน้าตา เดินออกไปนอกร้าน ทิพย์มองก่อนจะหันมาหาสกุณเหรา


               “ จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมพบปะผู้คนมากที่ควรนะ “


               “ พ่อจ๋าไม่ชอบสังคม แถมยังกังวลเรื่องหน้าตาด้วยจ้ะแม่ทิพย์ “ อีกฝ่ายพ่นควันยาสูบ


               “ ไม่แปลกดอก แค่ที่มาถึงในเมืองได้นี่ก็ถือว่าดีมากกว่าแต่ก่อนแล้ว “ สกุณเลิกคิ้ว


               “ แม่ทิพย์รู้เรื่องบ้างไหม พ่อจ๋ามิเคยเล่าให้ฟังเลย “


               “ เจ้าอยู่กับพ่อมดทมิฬคนนั้นทุกวัน น่าจะรู้นิสัยเขาดี หากไม่ประสงค์จะเล่าก็มิเล่า ข้าเป็นคนนอกคงจะเอ่ยปากมิได้ แต่ว่านะ ข้าคบหามานาน ก็เพิ่งจะมาเห็นยิ้มได้บ้างตอนที่เก็บเจ้ามาเป็นสัตว์อสูรนั่นล่ะ “ ทิพย์มณฑาว่า ยิ้มให้สกุณเหราที่ทำหน้างงๆ


               “ ข้าน่ะเหรอจ๊ะ? “


               “ ใช่ เจ้าโชคดีนะ โดยปกติ พ่อมดน่ะไม่ได้มองสัตว์อสูรแบบที่ท่านผู้นั้นมองเจ้าดอก เขามองเป็นสัตว์ใช้งานสักตัว ทำงานมิถูกใจก็ฆ่าทิ้ง เบื่อหน่ายก็ขายทอดตลาด จะอยู่หรือตายก็มิใช่กงการอะไร น้อยคนนักจะดูแลเจ้า เอ็นดูเจ้ามากขนาดนี้ สกุณเป็น...อืม คนพิเศษของเขานะ “


               “ แต่พ่อจ๋าก็ไม่เคยตั้งชื่อให้สกุณเลยนะจ๊ะ “


               “ แต่ก็มิเคยจิกเรียกด้วยคำหยาบคายใช่ไหม กับข้าเองเขาก็แทนสรรพนามเรียกเจ้าด้วยคำว่า สกุณ มิเคยใช้คำว่ามันหรือไอ้เลยนะ “สกุณพยักหน้า อีกฝ่ายยิ้ม


               “ รอหน่อยเถอะ อีกหน่อยคงจะเล่าให้ฟังเอง “


               “ จ้ะ แม่ทิพย์ “


               “ ….แปลกจริง ดูเหมือนฝนจะตกเลยนะ “ หล่อนเอ่ยขณะลุกขึ้นมองฟ้า นึกห่วงพ่อมดชาวทมิฬคนนั้นขึ้นมาในอก สกุณเหราลุกตามมา


               “ พ่อจ๋าจะเป็นอะไรไหมนะ เป็นห่วงจัง “


               “ นั่นสิ...บรรยากาสครึ้มเช่นนี้ ไม่ดีเลยสักนิด “ ทั้งคู่ถอนใจมองฟ้าที่ตอนนี้เป็นสีเทาขึ้นมาเสียเฉยๆ ลมพัดมาเย็นจนไม่ต้องเดาเลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


               บากเร่งฝีเท้าขึ้นเมื่อพบว่าฝนกำลังไล่หลังมา แม้เขาจะย่อส่วนแป้งเก็บไว้ในกระเป๋าหนังแล้วก็ตาม สุดท้ายธรรมชาติก็ย่อมชนะ เมื่อสายฝนสาดลงมากระหน่ำ จนผู้คนรีบวิ่งหลบเข้าร้านรวงบ้านเรือนกันแทบไม่ทัน พ่อมดหนุ่มจิ๊ปากขัดใจ แม้จะสามารถร่ายมนต์ได้ให้เดินฝ่าฝนไปโดยไม่เปียก แต่เพราะวันนี้ใช้พลังเวทย์มากจนเกินไป หากจะใช้อีกก็คงจะไม่ไหวเอา สุดท้ายจึงเลือกมาหลบฝนตรงชายคาตึกร้างเอาแทน เสียงหัวเราะต่อกระซิก และกลิ่นหอมบางลอยมาจากตรอกด้านใน เมื่อมองเข้าไปจึงพบว่านั่นคือตรอกมืดตามที่แม่ทิพย์ว่า


               ตรอกมืดเป็นคำพูดที่คนทั่วไปในนาคาวรรณใช้เรียกย่านโรงชำเรา หรือสถานค้าประเวณีที่ตั้งอยู่ในสุดของชานเมือง แม้จะไม่เป็นที่ยอมรับนักในสังคมค้าขายของที่แห่งนี้ แต่มันก็เป็นแหล่งทำเงินมากโขมากพอที่ภาคีการค้าจะยอมให้เปิดขึ้นได้ เพียงแต่ต้องมีการเข้มงวดมากขึ้น ทั้งเรื่องสุขอนามัยไปจนถึงการค้าขายทาส บากถอนใจ สมัยนี้ดูจะดีกว่าสมัยที่ตนเองยังเที่ยวร่อนเร่นัก ภาพเลวร้ายบางอย่างยังติดตาไม่ลืมเลือน หากสิ่งนึงที่ก็ไม่ลืมเลือนจากใจกลับแจ่มชัดย้ำเตือนเช่นกัน มือเลื่อนไปรองรับน้ำฝนที่เย็นจัดตรงหน้า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สายฝนก้ยังหนาวเหน็บเหมือนเดิม เหมือนวันนั้น


    วันที่ถูกลากมาจากโรงชำเราเถื่อน

    แม่ตายเพราะถูกทำร้ายขัดขืนมิยอมรับแขก

    ตนนั้นสู้เพื่อจะช่วยแม่เท่าที่เด็กคนนึงจะทำได้

               กระนั้นก็ไม่อาจปกป้องแม่ ปกป้องตัวเอง...

               ถูกทิ้งให้นอนรอความตายจากแผลตามตัว

               หากไม่เพราะ….


    ‘ ไปอยู่ด้วยกันไหม ‘ เสียงนึงดังเรียกสติที่ทิ้งตนเองให้ล่องลอยไปกับห้วงคำนึงในอดีต บากเพ่งสายตามองผ่านสายฝน เหมือนเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้น เปียกปอน นิ่งงัน เลือดสีแดงไหลรินจากอกลงมาจนถึงพื้น ทมิฬหนุ่มตัวสั่น


               “ ….ทารคา? “


               ‘ สัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าจะอยู่ด้วยกัน บาก… ‘


               “ ทะ...ทารคา ทำไม ? ...เจ้า...ตาย ไปแล้ว “ พ่อมดหนุ่มพูดเบาราวกระซิบ โซเซเดินออกมาจนเปียกไปทั้งตัว มือของเงาในสายฝนยื่นมา แย้มยิ้มใต้เงามืดที่บดบังใบหน้า


               ‘ มานี่สิ บาก มาทางนี้ สัญญากันแล้ว ‘


               “ ทารคา… “ บากขยับกายเข้าใกล้ ใกล้มากขึ้นทุกขณะ ใกล้จนไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้ เสียงหวีดร้องของคนมากมายดัง แต่มิเข้าหูพ่อมดหนุ่มที่เปียกโชกไปหมด มือสีม่วงเลื่อนหามือสีมรกตที่รออยู่กึ่งกลางถนน ก่อนที่เสียงบางอย่างจะดังลั่นและบากก็จำอะไรไม่ได้อีก….



    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


    ดวงตาสีทองพื้นดำกะพริบอยู่สองหรือสามครั้งก่อนที่จะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นเต็มที่ ฝ้าเพดานไม้โปร่งแปลกตาทำให้ทมิฬหนุ่มสะดุ้งตัวพรวดด้วยจำได้ว่านี่มิใช่เรือนของตนเอง จังหวะที่กระเด้งตัวนั่นเอง มือข้างนึงก็สัมผัสได้ถึงแรงบีบ เมื่อมองให้ดีจึงพบว่าสกุณเหรานอนหลับอยู่ข้างๆ มือแข็งแรงของสัตว์อสูรจับมือเจ้านายเช่นตนมิยอมปล่อย


               “ สกุณ…? “


               “ อ้าว ท่านตื่นแล้วหรือ? “ ทิพย์เอ่ยทักขณะเข้ามาในห้อง วางถ้วยโอสถลงกับโต๊ะตัวเล็กข้างๆ ยิ้มให้พ่อมดหนุ่มที่ยังดูมึนงงอยู่


               “ ทำไม? ข้ามานอนนี่ล่ะ “


               “ อ๋อ จำไม่ได้ล่ะสินะ คือมีคนบอกว่าท่านจู่ๆก็เดินไปอยู่กลางถนน ยื่นมือเหมือนจะคว้าอะไรสักอย่าง โชคดีนะที่ท่านชะงักแล้วถอยหลัง รถม้าที่วิ่งมามันเสียการควบคุมพอดี ไม่งั้นล่ะ เห็นทีท่านพ่อมดบากจะได้สิ้นชื่อกันก็คราวนี้ “ หล่อนว่า บากขมวดคิ้ว หัวเปวดหนึบ


               “ อย่างนั้นเองหรือ ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ ทิพย์ “


               “ ไม่ๆ ไม่ลำบากเลย ก็ดีท่านไม่เป็นอะไรมาก มีแผลตอนล้มนิดหน่อย เลือดออกอยู่บ้าง เจ้าเด็กคนนี้ทำหน้าเศร้าไม่ยอมห่างท่านเลย น่าเอ็นดูจริงๆ “


               “ อืม ขอโทษอีกที ลำบากวุ่นวายกันไปหมด “


               “ ไม่เป็นไรดอกน่า ก็โชคดีคนของข้าไปพบจึงมาแจ้ง ข้าวของท่านเสียหายบ้างหรือไม่? พอดีข้ารีบพามา มิได้ตรวจสอบก่อน แต่กระเป๋าท่านยังอยู่นะ “ บากชะงัก ยกมือจับสร้อยคอ เขาถอนใจโล่งอกที่พบว่ามันยังอยู่ครบ ก่อนหยิบกระเป๋ามาตรวจอีกทีซึ่งของครบเช่นเดิม ทิพย์มณฑายิ้มมอง


               “ พักเสียที่นี่สักคืนก็ได้ ฝนหนาเม็ด เด็กคนนี้ก็คงบินฝ่าไม่ไหว ถึงไหวก็อันตรายนัก รุ่งสางค่อยเดินทางเสียก็ได้ “


               “ คงต้องกวนเจ้าแล้ว ข้านี่แย่จริงๆ เหม่อไปเรื่อย “


               “ คนเราก็เหม่อกันได้ทั้งนั้น นอนพักเถอะ ข้าไม่กวนแล้ว เรื่องงานเลี้ยงฮาโลวีนน่ะ ถ้าท่านไม่สบายใจอยากจะเข้าร่วมข้าก็มิท้วงอันใด “ อีกฝ่ายสั่นหน้า


               “ ข้าอยากให้สกุณได้ลงมาสนุกบ้าง เด็กคนนี้ตัวติดอยู่แต่กับข้าเสียจนไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกเลย ถึงจะเป็นสัตว์อสูร แต่ก็มีความคิดความอ่านเช่นคนทั่วไป หากวันนึงข้าไม่อยู่ก็จะได้อยู่บนโลกใบนี้ได้ต่อไป “ หญิงสาวยิ้มบางมองมือของบากที่กำลังลูบผมสีแดงสวยอยู่


               “ เหมือนที่ครั้งหนึ่งท่านก็เคยได้รับการช่วยเหลือแบบนั้นใช่ไหม? “


               “ ก็คงจะแบบนั้น เรื่องงานมิต้องห่วงดอกนะ ขนมอบง่ายๆไม่กี่อย่าง ข้าทำได้ เดี๋ยวจะฝากสกุณมาให้เช้าวันงาน “


               “ เอ้า หากท่านจะสะดวกแบบนั้น น่าเสียดายนะ เด็กๆเองก็รอจะ Trick or Treat ท่านอยู่ แต่ท่านไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ข้าขอตัวก่อน พักตามสบายเถอะ “


               “ ขอบใจมากนะ ทิพย์ “


               “ มิเหนือบ่ากว่าแรงสักนิด “ หล่อนตอบก่อนจะเดินออกไป จังหวะเดียวกับที่สกุณเหรางัวเงียตื่นมาพอดี


               “ หือ แม่ทิพย์เหรอ? “


               “ ตื่นแล้วหรือ เจ้านกขี้เซา “ เขาทัก ก่อนจะก้มลงจูบกลุ่มผมหนานุ่มเบาๆ สกุณทำตาโต


               “ พ่อจ๋าาา พ่อไม่เป็นไรใช่ไหมมมมม “


               “ ข้าไม่เป็นไร อย่าเสียงดังสิ เกรงใจคนอื่นเขา “ เจ้าตัวดีงับปากลง ตาสีทองเรียวยาวมองอีกฝ่าย ยกมือมีเกล็ดแข็งและกรงเหล็บแบบเผ่าพันธ์จับแก้มของพ่อมดเกศาสีนม


               “ สกุณตกใจหมด ตอนเห็นพ่อจ๋ามีเลือด “


               “ ก็แค่แผลนิดหน่อย จะว่าไปตะกี้ตอนที่ชะงักเหมือนได้ยินเสียงเรียก เจ้าหรือเปล่า “ สัตว์อสูรหนุ่มสั่นหน้า


               “ เปล่าจ้ะ สกุณเพิ่งเจอพ่อจ๋าก็ตอนคนเขาแบกมากันนี่ล่ะจ้ะ “ อีกฝ่ายพยักหน้า


               “ เข้าใจแล้ว ขอโทษที่ทำให้ห่วงนะ เจ้านกน้อย “


               “ สกุณไม่ใช่นกน้อยแล้วนะ “ คนตัวโตกว่าว่า ทำปากยื่นตามนิสัย


               “ ก็ยังเด็กน้อยเสมอในสายตาข้า “


               “ พ่อจ๋า… “


               “ ว่าอย่างไร “ บากถาม ขณะกำลังถลกชายแขนเสื้อคลุมดูแผล กายของพงศ์นกเคลื่อนมาใกล้...ใกล้เสียจนได้ยินเสียงหายใจ ขณะที่กางแขนออกโอบรัดร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น เสียงสั่น


               “ สกุณ? “


               “ อย่าไปไหนคนเดียวอีกนะจ๊ะ สกุณห่วง “


               “ ข้าไม่เป็นไรแล้ว สกุณ ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ ข้าไม่เป็นไร “ อ้อมแขนของคนน้อยวัยกว่ามิยอมคลายแม้แต่น้อย กลับยิ่งกอดแน่นเสียด้วยซ้ำ


               “ สกุณไม่รู้นะ พ่อจ๋ามีเรื่องอะไรในใจ แต่ขอร้อง อย่าทิ้งสกุณไปนะ “


               “ ...ข้าจะทิ้งเด็กโข่งแบบเจ้าได้อย่างไร “ เขาตอบ ยกมือดึงแก้มใบหน้าคมคายนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว


               “ โอ๊ยยย พ่อจ๋า เจ็บ “


               “ เจ้าต่างหากสกุณ เจ้าไม่เคยทิ้งข้าเลยนะ “ คนกายม่วงเอ่ยบอก หยิบหมอนมาเอนหลังมองไปด้านนอกที่ฝนยังสาดซัดอยู่ สายตาที่ว่างเปล่าทำให้สกุณเหราอดห่วงไม่ได้


               “ ...เห็นเจ้าตอนนี้ก็นึกถึงตัวเอง เพียงแต่ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ข้าไม่งอแงเท่าเจ้า “ สกุณทำหน้างอเง้า


               “ พ่อจ๋าาา ว่าข้าอีกแล้วนะ “


               “ ข้าหยอกเจ้าเล่น รุ่งสางคงได้เดินทางกลับเรือนไปทำขนมแจกงานวันมะรืนนี้แล้ว ไม่รู้ฝีมือจะตกไปมั่งไหม ไม่ได้ทำมาร่วมๆจะร้อยปีแล้วกระมั้ง “


               “ นี่พ่อจ๋าอายุมากขนาดนั้นเลยหรือจ๊ะเนี่ย “ บากยิ้ม ขณะจิบยา


               “ จริงๆข้าก็เลิกนับอายุตัวเองมาตั้งนานแล้ว แต่ก็น่าจะประมาณนั้น ….ว่าไปพรุ่งนี้ต้องรีบกลับจะได้รีบอบแล้วใส่ห่อให้เจ้าเอามาแจกเด็กๆ คาบตะกร้าดีๆด้วยล่ะ รู้ไหม “


               “ พ่อจ๋าา ไม่เอา “


               “ ช่วยข้าหน่อยน่า สกุณ “ คนเป็นนายบอก


               “ ...งั้นสกุณมีข้อแม้ “


               “ ว่า? “


               “ ถ้าจะให้สกุณคาบตะกร้า พ่อจ๋าต้องลงมาร่วมงานอยู่เป็นเพื่อนสกุณ ไม่งั้นนะ สกุณจะกินขนมที่มาแจกให้หมดแล้วกลับเรือน “ เจ้าตัวดีว่าพลางทำจริงจังใส่ บากเลิกคิ้วมอง


               “ ไม่กลัวโดนข้าสาปหรือ สกุณ “


               “ ก็ดีกว่าให้สกุณมาคาบตะกร้าอยู่ตัวเดียวในเมือง คุยกับใครเขาก็ไม่รู้เรื่อง นอกจากแม่ทิพย์กับเจ้าพวกเด็กๆลูกแม่ทิพย์ “ คนฟังระบายลมหายใจเหนื่อยหน่ายใส่


               “ ไหว้วานแค่นี้ไม่ได้เลยนะ เจ้านกยักษ์ “


               “ ไม่รู้ล่ะ ถ้าพ่อจ๋าทำงั้นสกุณจะกินให้หมด! ไม่มางานด้วย! จะงอนพ่อจ๋าด้วย! “ มือสีม่วงยกขึ้นเชิงยอมแพ้


               “ ตกลงๆ ข้าจะมากับเจ้า แต่เจ้าห้ามงอแง ห้ามแยกเขี้ยวขู่พวกเด็กๆรู้ไหม? “


               “ งั้นเก๊าะตกลงจ้ะ “ สกุณยิ้มร่าอวดเขี้ยวแหลม บากยกมือยีหัวให้อย่างหมั่นไส้ก่อนจะตะแคงตัวหันหลังให้เตรียมนอนพัก อีกฝ่ายเป่าเทียนในโคมแก้วดับก่อนจะปีนเตียงมานอนกระแซะข้างๆ


               “ สกุณ เดี๋ยวเตียงหัก “


               “ ไม่หักหรอกจ้ะ ถึงจะเล็กกว่าเตียงนอนที่เรือนเรา แต่ก็กว้างพอให้ข้านอนซุกพ่อจ๋า “ ว่าจบก็ยกมือกอดเอวคนมากวัยกว่าทันที พ่อมดหนุ่มถอนใจรอบที่ล้านแล้วกระมั้งตั้งแต่ยอมอ่อนข้อให้เจ้านกนี่มาอยู่ด้วย


               “ ตัวพ่อจ๋าอุ่นจัง “


               “ ...นอนได้แล้ว เราต้องเดินทางเช้านะ “ นายบ่นใส่ สกุณยิ้มก่อนจะซุกหลังหลับไปก่อนเหมือนเด็กๆ ไม่รู้เลยว่าทมิฬหนุ่มได้หันหน้ากลับมามอง ยกมือขึ้นลูบผมสีแดงและใบหน้าคมคายนั่นด้วยความรู้สึกเช่นไร


                          เจ้าช่างคล้ายเขาอย่างน่าประหลาด

                          ทั้งผมสีแดงเข้ม ทั้งใบหน้าน่ามอง

                          แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็มิใช่เขา…

                          ไม่มีวันใช่ และมิมีวันเป็นเช่นเขา

                          เจ้าอ่อนโยนกว่า  ไร้เดียงสากว่า ร่าเริงกว่า…

                          และเจ้ายังมีชีวิตอยู่กับข้าตอนนี้…


               “ ...ทั้งๆที่พยายามลืม แต่ข้าก็ไม่เคยทำได้ “ เขาเอ่ยเสียงเบาก่อนพยายามข่มตาให้หลับ บอกกับตัวเองว่าเสียงเรียกที่ได้ยินก็แค่หูฟาด และภาพที่เห็นก็แค่ความฟั่นเฟือนของจิตใจที่ว่างเปล่าอันไม่มีวันจะถมเต็มได้ของตนเอง…


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


               “ ถ้ามิสะดวกมาส่ง ก็แจ้งนกอาคมมาเถอะนะ ข้าจะให้คนเดินทางไปรับของมาเอง “ ทิพย์เอ่ยกับพ่อมดหนุ่มที่กำลังขยับเสื้อคลุมเตรียมตัวออกเดินทางแต่เช้าตรู่


               “ ข้ามาได้ ไม่กวนเจ้าหรอก “


               “ ข้าสิกวนท่าน ลำบากท่านต้องมาทำขนมช่วยในงาน “ บากยิ้ม


               “ ทมิฬเช่นข้า หาคนค้าขายด้วยยากนัก ก็ได้เจ้าเป็นคนกลางช่วยเหลือ ตอนมาเมืองนี้ก็ลำบากไม่น้อย ไหนจะเจ้าสกุณอีก ไม่ได้เจ้าช่วยก็แค่พ่อมดจนๆ เร่รอนกับนกโง่ๆอีกตัว “ สัตว์อสูรที่โดนพาดพิงหรี่ตามองนาย


               “ พ่อจ๋าา ว่าสกุณอีกแล้วนะ “


               “ เขาแซวเจ้าเล่นน่ะ เดินทางดีๆ วันนี้อากาศดูเป็นใจ “ ทิพย์มณฑาว่า


               “ อืม ของก็ครบถ้วนแล้ว ถ้าอย่างไรข้าจะมาพรุ่งนี้พร้อมขนมนะ “


               “ อ้าว ตกลงท่านจะมาร่วมงานหรือ? “


               “ ...ก็นะ เจ้าเด็กนี่งอแงมากน่ะ ไม่มาด้วยเห็นทีขนมที่ข้าทำคงไม่ได้ลงมาให้เด็กๆในงานกินกัน ข้ามาได้ไม่เป็นไร “ หญิงสาวถอนใจ


               “ อย่าฝืนล่ะ ท่าน… “


               “ ข้าไหว...เรื่องมันนานแล้วล่ะทิพย์ แผลมันต้องมีวันหายสิ “ ร่างสูงบอก สะพายกระเป๋าหนังตัวระมาด เจ้าของร้านสมุนไพรพยักหน้าแล้วโบกมือลาขณะมองหนึ่งพ่อมดและหนึ่งสัตว์อสูรที่เดินเคียงกันไปท่ามกลางผู้คนมากมายในบรรยากาศของงานฮาโลวีนที่ใกล้มาถึง


               “ แผลน่ะมีวันหาย แต่แผลของท่านมันใหญ่จนถึงแม้จะหายมันก็เหลือแผลเป็นมิใช่หรือ “ ร่างระหงพูดเบาๆราวเอ่ยกับตนเอง ….


    บากตรวจตราข้าวของอีกครั้งก่อนจะออกจากเมือง เมื่อแน่ใจดีว่าทุกอย่างครบถ้วนแล้วก็เอ่ยเรียกสกุณเหราที่เอาแต่ยืนมองของบางอย่างในตู้กระจก เขาเลิกคิ้วก่อนจะเดินไปมองดู พบว่าเจ้าสัตว์อสูรดูจะสนใจเสื้อผ้าแบบตะวันตกพอสมควร พ่อมดหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่นึงก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน เจรจาสักพักก็ออกมาพร้อมห่อชุด ดวงตาสีทองดูเหนื่อยหน่ายแต่ก็อดยิ้มไม่ได้ที่เห็นเจ้าตัวดีลิงโลดกอดเสื้อผ้าแน่น


               “ เด็กหนอเด็ก “ สกุณทำหน้ายู่ใส่ เมื่อพ้นตัวเมืองจึงคืนร่างกลับสู่พงศ์พันธ์เดิมให้นายหนุ่มขึ้นขี่หลัง ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานสู่ฟากฟ้ากลับคืนสู่บ้าน…


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


    กลิ่นหอมค่อยๆลอยออกมาจากหน้าต่างเรือนไฟที่เปิดเอาไว้ หอมหวานนมเนยซึ่งเป็นเครื่องประกอบในอาหารแบบตะวันตก พ่อมดเจ้าของเรือน และเป็นผู้ลงมืออบขนมฝรั่งนี้ด้วยตัวเองนั่งรับลมอยู่ไม่ไกล แม้จะเสียเวลารื้อเตาอบไฟเมืองฝรั่งอยู่ค่อนวัน แต่ก็นับว่ามือยังไม่ตกนัก ผสมแป้ง นวด แต่งสีและกลิ่นแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ได้ที่


               “ พ่อจ๋าาา “ เสียงพร้อมหน้าแป้นแล้นโผล่มาให้คนเป็นนายถอนใจระอาปนเอ็นดูใส่ เขาหันไปกะจะแกล้งดุก็กลับกลายเป็นว่าคำพูดกลืนหายไปแทน


               “ เป็นไงๆ สกุณใส่แล้วสวยไหม? ใส่ยากเหมือนกันนะ แต่สวยดีจ๊ะ เหมาะกับสกุณไหม? “ สัตว์อสูรถาม หมุนตัวเองที่ตอนนี้ใส่ชุดแบบตะวันตกให้บากดู


               “ ...อืม สวย...สวยดี สกุณ เหมาะมาก “


               “ ตอนแรกนึกว่าจะใส่ไม่ได้ซะอีก แต่อย่างที่คนขายบอกเลย พวกยักษ์ที่เป็นตระกูลสูงๆใส่ได้ สกุณก็น่าจะใส่ได้ ...พ่อจ๋า  พ่อจ๋าเป็นอะไร? ทำไมเงียบไป “


               “ ไม่เป็นไร ...ข้าแค่คิดอะไรนิดหน่อย “


               “ ….เหรอจ๊ะ “ สกุณถอนใจ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัยปนระคนอยากรู้ บากมองสบและเข้าใจความนัยนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


               “ อากาศดี งานคืนพรุ่งนี้คงจะสนุก “


               “ จ้ะ...สกุณไม่เคยไปงานเทศกาลแปลกๆแบบนี้มาก่อนเลย เคยไปแต่ลอยโคม ลอยกระทง แถมปกติก็ไปแต่กับบ้านแม่ทิพย์ “


               “ ความผิดข้าเองล่ะ ไม่ค่อยได้พาเจ้าไปเจอผู้คน คงเพราะไม่คุ้นชินกับคนเยอะๆ ทั้งๆที่เคยอยู่ในที่ที่คนเยอะๆมาก่อนนะ “


               “ เยอะกว่านาคาวรรณอีกเหรอจ๊ะ “ สกุณเหราถาม มองคนที่เหม่อมองออกไป มองไปไกลราวกับจะมองให้ทะลุป่าเขาไปยังอีกฝากของเมือง


               “ อืม ก็ไม่เชิง แต่คีรีกัณฑ์เป็นเมืองใหญ่พอตัว ผู้คนเยอะแยะมากมาย ส่วนมากจะเป็นยักษ์ “ เขาว่า แล้วก็เงียบไป สกุณเหราอยู่กับอีกฝ่ายมานานพอที่จะเข้าใจอากัปกิริยาของบากว่าคงลำบากใจที่จะพูด จึงไม่เอ่ยถามต่อ


               “ ….สกุณว่าสกุณไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเลอะเสียก่อนจะได้ใส่ไปพรุ่งนี้ “


               “ เจ้าอยู่ในร่างสัตว์อสูรไม่ต้องใส่ชุดหรอก “ พ่อมดทมิฬเย้า


               “ พ่อจ๋าอ่ะ!! “


               “ ข้าเย้าเจ้าเล่น ก็เอาติดไป แจกขนมเสร็จเจ้าก็ใส่ชุดเที่ยวเสียก็ได้ “


               “ แล้วพ่อจ๋าล่ะ ไม่แต่งด้วยเหรอจ๊ะ “


               “ ไม่ดีกว่า เจ้าแต่งเถอะ ข้าเป็นพ่อมดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นเลย “


               “ แต่งด้วยกันสิจ๊ะ น่านะพ่อจ๋าอ่ะ นานๆที นะ “ เจ้านกอ้อน คนโดนอ้อนถอนใจ


               “ ดูก่อนแล้วกัน ข้าไม่ได้แต่งชุดตะวันตกนานแล้ว นาน...มากๆ “ มือของสกุณเลื่อนมาจับมือของบาก บีบเบาๆ


               “ ….เช่นนั้นสกุณก็ไม่บังคับ เอาที่พ่อจ๋าสบายใจเถอะจ้ะ นะ… ว่าแต่ขนมเสร็จหรือยัง อยากกินแล้ว “


               “ ห่วงแต่เรื่องกินนะเจ้าน่ะ ยังหรอก อบอีกนิดนึง “


               “ หูยย อยากกินแล้ว “ เจ้าตัวดีทำปากยื่นตามนิสัย


               “ รออีกหน่อย อืม...เดี๋ยวไปดูก่อน เพื่อได้แล้ว “ ร่างสูงผอมลุกขึ้นไปเพ่งมองเตาไฟ ยิ้มบางก่อนจะค่อยๆสวมถุงมือหยิบเอาถาดโลหะออกมา ก้อนขนมสีแดงสดหอมฉุยจนสัตว์อสูรกลืนน้ำลาย


               “ หอมจังเลยจ้ะ “


               “ มันเรียกว่าเค้ก… เรดเวเวทเค้ก “ สกุณพยายามจะออกเสียงแต่ก็ลิ้นพันกันจนยอมแพ้ บากหัวเราะก่อนจะเอาก้อนเค้กไปวางบนโต๊ะ จัดการปาดครีมสีขาวที่เตรียมไว้ก่อนลงบนเค้ก อสูรผู้อ่อนวัยกว่ามองคนที่ปากว่าร้างมือจากการทำขนมฝรั่งไปนาน แต่กลับทำคล่องแคล่วเสียจนครู่นึง เจ้าเค้กสีแดงสดไม่ต่างจากผมของตนเองก็มาวางตรงหน้า


               “ ลองชิมดู ถ้าไม่อร่อยเจ้าต้องบอกข้านะ ข้าไม่ได้ทำมันนานมากแล้ว “


               “ จ้าๆ “ เจ้านกหนุ่มรับคำ กำลังจะเอามือควักกินก็โดนคนทำตีมือ เขาควานหาในลิ้นชักหยิบส้อมเงินส่งให้ สกุณทำหน้างง จนบากต้องจำใจหยิบมาใช้แทน


               “ อ้าปาก “ ปากมีเขี้ยวคมอ้ากว้างก่อนที่มือสีม่วงจะตัดเค้กด้วยส้อมแล้วป้อนให้กิน เจ้าตัวดีเคี้ยวๆก่อนทำหน้าเหมือนขึ้นสวรรค์


               “ อะ...อร่อย… “


               “ อย่าโกหกนะ “ คนมากวัยว่ากอดอกมอง


               “ อร่อยจริงๆนะจ๊ะ มัน...อร่อยมาก หอม นุ่ม เปรี้ยวนิดๆ สกุณไม่เคยกินมาก่อน พวกต่างชาติกินกันหรือเนี่ย อร่อยจัง “


               “ อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ? ข้าชิมสิ “ บากตักเข้าปากบ้าง เงียบไปนิดก่อนวางส้อมลง


               “ พ่อจ๋า? “


               “ อร่อยจริงๆด้วยสิ...ก็ถือว่าฝีมือยังไม่ตกนะ ...ทั้งๆที่...ไม่ได้.. “ สกุณชะงักเมื่อเห็นน้ำตาไหลลงมาจากดวงตาสีทองอำพันพื้นดำนั่น


               “ พะ พ่อจ๋า ร้องไห้ทำไมจ๊ะ มีอะไร? “


               “ ...เปล่า สกุณ ข้าแค่...บ้าเอ๊ย.. “ พ่อมดหนุ่มวางส้อมลง ยกมือปิดปาก ภาพนึงปรากฏแจ่มชัดในหัวก่อนที่เขาจะวิ่งพรวดออกไปลานหลังบ้าน อาเจียนเอาก้อนเค้กคำเล็กที่เพิ่งกินไปออกมา สัตว์อสูรผมสีเพลิงรีบตามมาดู


               “ พ่อจ๋า เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? “


               “ มะ..ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร “


               “ ไม่เป็นไรแล้วทำไมอาเจียน มือก็สั่น พ่อจ๋า พ่อเป็นอะไร? บอก...บอกสกุณได้ไหม? “ คนมากวัยกว่าส่ายหน้า


               “ ข้า...ไม่เป็นไร ...พยุงข้ากลับเข้าเรือนหน่อย “ สกุณรีบทำทันที บากเดินมาตรงครัวที่มีเค้กวางไว้ เขาผละจากร่างสูงใหญ่ตรงไปคว้าจานเค้กนั่นเขวี้ยงทิ้งออกไปด้านนอก สกุณเบิกตากว้างรีบห้าม


               “ พ่อจ๋า หยุดนะ ทำอะไรน่ะ นั่นพ่อจะเอาไปงานฮาโลวีนนะ!!! “


               “ ...ฮาโลวีน?..ฮาโลวีนบ้าอะไร ข้าเกลียดมัน เกลียด...ข้าเกลียดฮาโลวีน “


               “ พ่อจ๋า มันเรื่องออะไร ทำไมจู่ๆ? พ่อจ๋า? “ มือมีกรงเล็บของนกแตะใบหน้าที่น้ำตานองหน้า บากมือสั่น ตั่วสั่น กัดปากตนเองจนห้อเลือด


               “ ...ข้าเกลียด…งานนี้ “


               “ ทำไม? บอกสกุณได้ไหม “


               “ ไม่ใช่เรื่องของเจ้าปล่อยข้า!!! “


               “ ไม่...บอกสกุณก่อน ว่าทำไมพ่อจ๋าเกลียดฮาโลวีน ถ้าเกลียดก็ไม่ต้องไปร่วมงาน สกุณจะไปบอกแม่ทิพย์เอง “ บากปาดน้ำตาลวกๆ


               “ จะทำอะไรก็เรื่องของเจ้า ปล่อยข้า “


               “ พ่อจ๋า? “


               “ ออกไป ข้าอยากอยู่คนเดียว “ เขาเอ่ยปากไล่ สกุณไม่ยอมขยับ กลับจะยกมือหาแต่ก็ถูกปัดออก เค้กถูกเหวี่ยงลงเละกับพื้น บางส่วนกระเด็นจนเปื้อนชุดแบบตะวันตกตัวใหม่เอี่ยม


               “ ออกไป!! “ สัตว์อสูรนิ่ง ก่อนจะคุกเข่าก้มลงกวาดเศษเค้กที่เละขึ้นมา


               “ ถ้าพ่อจ๋าไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่สกุณชอบมัน แล้วก็...ถ้าอยากอยู่คนเดียวสกุณก็จะไม่กวนจ้ะ สบายใจแล้วก็ค่อยมาตามสกุณนะ “ เอ่ยจบ สกุณเหราก็เดินออกไปจากครัว ทิ้งให้บากทิ้งตัวหมดแรงนั่งลงกับโต๊ะ สะอื้นเบาๆแต่ผู่ที่เพิ่งเดินออกมาได้ยินชัดแจ้ง…


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪



    ดาวขึ้นเต็มฟ้าขณะที่สัตว์อสูรแปลงนั่งเล่นอยู่บนต้นไม้ คงจะเที่ยงคืนแล้วคะเนเอาจากพระจันทร์ที่ขึ้นอยู่กลางฟ้า สกุณถอนใจ มองก้อนเค้กเละๆในมือที่กินแทนมื้อเย็นไปแล้วครึ่งก้อน ไฟในเรือนติดอยู่ แต่บากมิได้ออกมาตาม เขาเองก็ยังไม่สบายใจพอจะกลับเข้าไป เห็นทีคืนนี้คงได้กลับคืนร่างเดิมนอนที่ป่าเสียแล้ว ขณะกำลังคิดเรื่อยเปื่อยเล็มเค้กไปแก้เบื่อ กลิ่นหอมก็โชยมาจางๆ


               “ กลิ่นนี้? “ สกุณกระโจนลงจากกิ่งไม้ใหญ่ เดินลัดเลาะไปถึงเรือนแต่ก็ยังไม่เข้าไป ยืนลังเลหน้าประตูอยู่นานสองนานจนเมื่อกำลังจะผลักบานไม้ เจ้าของก็เปิดออกมาพอดี


               “ ….เอ่อ “


               “ ...กำลังจะไปตามอยู่พอดี เข้ามาสิ “ บากเอ่ย สกุณไม่สบายใจเท่าไหร่ที่เห็นตาของผู้เป็นนายยังแดงช้ำ กระนั้นเมื่อเดินกลับเข้าไปจึงพบว่าบนโต๊ะมีเค้กสีแดงที่ตกแต่งแล้ว วางเรียงรายในตะกร้าอยู่เต็ม กลิ่นหอมหวานๆอีกกลิ่นลอยมาจากในหม้อเหล็ก


               “ หิวไหม? “


               “ ...นะ นิดหน่อยจ้ะ “ สกุณตอบ นั่งลงกับโต๊ะพอดีกับที่พ่อมดหนุ่มยื่นถ้วยข้าวกับแกงจืดร้อนๆให้ สัตว์อสูรรับมาลงมือกิน ดวงตาก็ชำเลืองมองนายที่ตกแต่งหน้าเค้กที่เหลือไม่พูดอะไรอยู่พักนึง


               “ พ่อจ๋าไม่กินหรือจ๊ะ?  หรือทานแล้ว? “


               “ ไม่หิวเท่าไหร่ เจ้ากินเถอะ กินเสร็จก็...ไปนอนเสีย “


               “ จ้ะ...คงต้องอาบน้ำด้วย “ ดวงตาสีทองพื้นดำมองมา ถอนใจบางๆก่อนจะเดินมาดูรอยเปื้อนใกล้ๆ


               “ ไม่รู้จะซักออกไหม ช่วยไม่ได้นะ “ เขาผละจากสกุณไปยังอีกห้องนึง ก่อนจะกลับมาพร้อมเสื้อผ้าแบบตะวันตกสะอาดเอี่ยมอีกตัวนึงส่งให้ เจ้านกหนุ่มมอง


               “ ลองใส่ดู..ข้าว่าเจ้าใส่ได้ “ สกุณพยักหน้า รีบกินจนเสร็จก็จัดแจงเอาถ้วยชามไปล้าง ถอดชุดที่เลอะออก แล้วหยิบเสื้อมาพิศมอง มันสะอาดแต่ไม่ใช่ของใหม่ กระนั้นก็สวยงามดูมีราคามากทีเดียวดูเหมือนมันจะใหญ่แต่ก็พอใส่ได้ เมื่อเสร็จแล้วจึงเดินออกมาให้เจ้าบ้านชม


               “ เออ...ใส่ได้จ้ะ หลวมแค่นิดหน่อย “


               “ ไม่แปลกหรอก...เจ้าของชุดเดิมเป็นยักษ์ “ สกุณเหรามองนายที่ครานี้มองสบตา วางมือจากก้อนเค้กสีแดงสวย มองเขา...ไม่สิ...มองชุด ชุดที่เจ้าของคงจะเป็นคนสำคัญมาก มากเสียจนยังเก็บเอาไว้ดีขนาดนี้


               “ ...เขาเป็น...คนสำคัญของพ่อจ๋าใช่ไหมจ๊ะ? “


               “ เจ้าเป็นเด็กฉลาด... “ บากว่า ลุกขึ้นไปตักของเหลวสีน้ำตาลส่งให้ ร่างสูงกว่ารับมาก่อนจะค่อยๆกิน มันอบอุ่น หวานหอมประหลาด


               “ นั่นเรียกโกโก้ร้อน “


               “ อร่อยดีจ้ะ “


               “ ...ยักษ์ตนนั้นก็ชอบกิน จริงๆเค้กนี่ก็ชอบ ข้าฝึกทำก็เพราะเขาชอบ “ พ่อมดทมิฬเอ่ย นั่งลงกับโต๊ะจิบโกโก้ร้อนของตนเองบ้าง


               “ ข้าไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับเจ้า แต่เพราะ...ข้าวิ่งหนีอดีตพวกนี้มานานมากๆแล้ว สุดท้ายก็หนีมันไม่พ้น “


               “ ถ้าพ่อจ๋าลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะ “


               “ เจ้าควรรู้ ….ข้าน่ะแต่เดิมโตมาในย่านชำเรา แม่เป็นทาสที่ถูกซื้อมาใช้งาน “ สกุณเลิกคิ้ว


               “ ย่านชำเรา?? “


               “ ซ่องโสเภณีน่ะ ย่านค้าบริการ ที่ที่เจ้าซื้อผู้หญิง...เด็ก หรือแม้แต่ทมิฬเช่นข้าเป็นคู่นอนหรือกระทำอะไรก็ได้ที่เจ้าอยากจะทำ แต่โดยส่วนมาก็ซื้อไปเป็นคู่นอนนั่นล่ะ… ข้าโตมาในนั้น ตอนแรกมันก็ไม่มีอะไร ทมิฬไม่ใช่ของน่าพิศมัยอะไร แต่มันก็มีบ้างที่มีคนพิศมัย แม่ข้าถูกบังคับให้รับแขก แม่ดิ้นรนขัดขืน เพราะเป็นแค่ทาสก็ย่ำยีศักดิ์ศรีกันพอแล้ว ให้ไปบำเรอกามแม่ข้าจึงไม่ยอม นางถูกฆ่าตายต่อหน้าข้า “ น้ำเสียงของบากสั่นและเหมือนอยากจะหยุดเล่า สกุณลุกมานั่งข้างๆ จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้


               “ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ถ้ามัน...แย่ ก็อย่าเล่าเลย “


               “ ไม่ ข้าต้องเล่า… อา..ใช่ แม่ถูกฆ่า ข้าดิ้นรนจะช่วยจนโดนไปด้วย พวกมันซ้อม ทุบตั เอามีดกระหน่ำแทง แล้วลากไปทิ้งในตรอกมืดๆให้ตายเยี่ยงหมาข้างถนน แผลที่เจ้าเห็นนี่ล่ะ… วันนั้นฝนตกข้าจำได้ ตกหนักจนข้าคิดว่าคงตายเสียแล้ว จนทารคามาเจอข้า ยักษ์กายสีมรกต ผมสีแดงเพลิง...ไม่ต่างจากสีผมของเจ้าเลย”


               “ ...งั้นหรือจ๊ะ “


               “ เขาช่วยข้า เลี้ยงดูให้อยู่ข้างๆ ข้าฝึกปรือตนเองให้เป็นพ่อมด สาบาน...สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะตอบแทนทารคาให้สมกับที่เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยเหลือตัวเอง ข้าฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้บนมือของเขา  “


               “ พ่อจ๋ารักเขา? “ สกุณถามตรงๆ คนโดนถามยิ้มเศร้า


               “ ใช่ ข้ารัก… ข้ารักทารคายิ่งกว่าชีวิตของตนเอง แต่...ข้าไม่เคยได้รักนั่นตอบ “


               “ แล้วพ่อจ๋าเคยบอกรักเขาไหม? “


               “ ข้าไม่กล้าหรอก ทารคาเป็นขุนนางใหญ่ ข้าเป็นแค่พ่อมดชาวทมิฬ สิ่งเดียวที่ทำได้คืออยู่ข้างๆ อยู่ข้างกายทารคาจนกว่าเขาจะไม่ต้องการข้า ข้าทำแบบนั้นมาตลอด เป็นทุกอย่างให้เขา ใช่...เป็นแม้แต่คู่นอน “ ประโยคท้ายทำให้หัวใจของสัตว์อสูรไหววูบ เคยนึกสงสัยในใจแต่มิเคยกล้าถาม


               “ ข้าใช้ชีวิตแบบนั้นนานมาก สกุณ จนวันนึงก็คิดว่าทำใจไม่ได้อีกต่อไป ตอนนั้นทารคาเองก็กำลังจะมีคู่ครอง มันคงจะดีกว่าถ้าข้าไป ข้าทิ้งตำแหน่งพ่อมดประจำตระกูลของทารคา คิดว่าควรไปโดยไม่บอกลา แต่มันเป็นความคิดที่ผิด...ผิดมหันต์ “


               “ พ่อจ๋า….พอก่อนเถอะ มือท่านสั่นมากแล้ว “


               “ ...ไม่ ข้าต้องเล่า….ให้ข้าเล่าเถอะ วันนั้นข้าเก็บของเตรียมจะเดินทาง  ...มันเป็นวันฮาโลวีน ทารคาจัดงานฉลองและเชิญว่าที่คู่ครองของเขามาด้วย ข้าทิ้งเพียงจดหมายเอาไว้ โง่นัก ข้าไม่รู้ว่านางเป็นนักฆ่า นางลงมือสังหารทุกคนในคฤหาส์น ตอนที่ย้อนกลับมาเพราะสังหรณ์ใจ ทารคาก็จะไม่ไหวแล้ว… “


               “ พ่อจ๋า.. “ สกุณบีบมือของบากแน่น สับสนและสงสารอีกฝ่ายที่น้ำตาไหลไม่หยุดเมื่อพูดถึงเรื่องในอดีต จนสุดท้ายก็จำต้องโอบกอดร่างที่สั่นเทานักเมื่อเทียบกับตนเอง


               “ ….ข้าช่วยเขาไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เวทย์มนต์แกร่งกล้าแค่ไหน ก็ช่วยคนที่ข้ารักไม่ได้ ทำได้แค่กอดร่างของทารคาจนเขาหมดลมหายใจ รับฟังคำขอสุดท้าย สาบานกับและบอกรักทั้งๆที่เขาไม่ได้ยินข้าอีกแล้ว.. “


               “ ไม่เป็นไรจ้ะ…. ไม่เป็นไรนะ “ สกุณลูบหลัง บากกลั้นเสียงสะอื้นก่อนจะยกมือปาดน้ำตา กลั้นใจเล่าต่อ


               “ ข้าเดินทางไปหานังเศษสวะนั่น ฆ่ามัน ฆ่าทุกคนที่ขวางทางข้า มือข้าเปื้อนเลือดขณะที่อุ้มเอานายน้อย น้องชายของทารคาออกมา ทำตามคำขอของทารคา คือดูแลมารตาให้เติบโตเป็นคนที่ดีเช่นที่เขาฝากฝัง แต่ข้าก็อยู่ไม่ได้ ข้าทนอยู่ในที่มีแต่ความทรงจำของทารคาไม่ได้ เมื่อมารตาโตพอแล้ว ข้าจึงออกมาเร่ร่อนไปทั่ว...ไม่อาจอยู่ที่ใดได้นาน ใจไม่เคยสงบ…..จนมาเจอเจ้า “ มือของทมิฬยกขึ้นจับแก้มของสกุณ


               “ ข้าเคยพยายามตาย แต่ข้าก็ไม่ตาย ไม่แก่ขึ้นไปกว่านี้ ใช้ชีวิตนี้ไปวัน แต่เพราะเจ้านะสกุณ เจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองยังหายใจ ยัง...มีหัวใจที่รักใครได้บ้าง “


               “ พ่อจ๋า...มองสกุณสิ “ มือมีเกล็ดแข็งช้อนหน้าของบากขึ้นมอง


               “ สกุณ? “

               “ สกุณอาจคล้ายคนในในความทรงจำของพ่อ แต่สกุณไม่ใช่เขา พ่อรู้ใช่ไหม? “


               “ ใช่...คล้าย แต่ไม่ใช่ “


               “ เช่นนั้นสกุณก็มิใช่เขา สกุณจะรักพ่อจ๋า จะอยู่กับพ่อจ๋า ไม่ทิ้งพ่อจ๋าไปก่อน พ่อจ๋าเชื่อสกุณนะ  สกุณจะอยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน จะอยู่ด้วยไม่ว่ายามพ่อจ๋าหลับหรือตื่น… “


               “ ไม่ต้องทำถึงเพียงนั้น ข้าไม่ได้เก็บเจ้ามาเพื่อเหนี่ยวรั้งเจ้าเอาไว้ หากสักวันเจ้าจะไป ก็จงไป หากอย่ากจะสร้างเผ่าพันธ์ก็จงไป ข้าไม่เหนี่ยว… “ คำพูดกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากของสกุณแนบลงมาปิดคำพูดทั้งหมดของบากจนหมด นุ่มนวล อ่อนหวานทั้งจากรสจูบและโกโก้ร้อนที่ยังมีรสชาติติดปลายลิ้นของทั้งสอง ชั่วครู่สัตว์อสูรจึงผละออกมาก่อน


               “ สกุณ? “


               “ ไม่ต้องรักสกุณอย่างที่รักเขาตอนนี้ ขอแค่รับรู้ไว้ก็พอจ้ะ “


               “ แล้วถ้าข้ารักเจ้าไม่ได้ล่ะ เจ้าจะจากไปไหม? “


               “ ข้าจะทำเหมือนที่พ่อจ๋าทำ จะอยู่ข้างๆไม่ไปไหนทั้งนั้น “ สกุณว่า โอบกอดร่างที่สั่นเทามาแนบชิด จูบกลุ่มผมสีขาวนุ่มอย่างแสนรัก


               “ เด็กโง่เอ๊ย...จะมาอยู่ข้างๆทมิฬแก่ๆแบบข้าทำไมกัน “


               “ แล้วทมิฬแก่น่ะเก็บสกุณเหราโง่ๆมาทำไมกันเล่า “ เจ้าตัวดีย้อน ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะ กลิ่นอบขนมยังลอยอวลออกมาจากเตาไฟแบบตะวันตก จนถึงรุ่งสาง คลอเคล้าเสียงพูดคุยของสัตว์อสูรกับพ่อมดผู้เป็นนาย เงาร่างนึงทอดตามองก่อนค่อยๆเลือนหายไปพร้อมแสงตะวัน


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


               ร้านรวงในนาคาวรรณพร้อมใจปิดร้านตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อจัดเตรียมตกแต่งหน้าร้านให้เข้ากับเทศกาลฮาโลวีนที่จะมาถึงในคืนนี้ เช่นเดียวกับร้านของทิพย์มณฑาที่วันนี้ไม่เปิดทำการ เพราะนางเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้ ตั้งแต่เช้าหล่อนจึงง่วนอยู่กับการเตรียมงาน เตรียมของเสียจนหัวหมุนไปหมด โชคดีที่หิรัญผู้เป็นสามีรับหน้าที่ดูแลลูกๆให้แต่งตัวพร้อมรับเทศกาลอยู่บนเรือน ทิพย์จึงได้ตระเตรียมงานจนเต็มที่ จนเมื่อล่วงเข้าตอนเย็น คนที่นัดไว้ยังไม่มา


               “ สงสัยท่านพ่อมดจะไม่มาเสียละมั้ง ทิพย์ “ หิรัญเอ่ยกับภรรยา ขณะช่วยนางใส่ชุดแบบตะวันตก


               “ อืม น่าเสียดายอยู่เหมือนกันนะพี่ แต่ก็เข้าใจล่ะ “


               “ เราก็เตรียมขนมจนพร้อมหมดแล้ว คงจะพอแจกนั่นล่ะ เอ้าเสร็จแล้ว “ ทมิฬหนุ่มผละมืออกจากเชือกด้านหลังชุด หล่อนยิ้มพราย ร่างระหงดูสวยงามเย้ายวนในชุดปีศาจสาวแบบฝรั่ง


               “ พี่ก็ใส่ด้วยสิ “


               “ ไม่ดีกว่า ทิพย์….ไม่ต้องทำตาอ้อนพี่ “ คนอ้อนทำหน้ายู่


               “ น่านะพี่หิรัญ ใส่คู่กับทิพย์นะ นะคะะ พี่หิรัญของทิพย์…  “


               “ เอ้าๆ ใส่ก็ได้ เตรียมชุดไว้แล้วสิท่า “ เขาว่า หล่อนยิ้มแป้น จัดแจงแต่งตัวให้สามีก่อนจะลงมาจากเรือนเพราะมีบ่าวมาแจ้งข่าวว่าผู้คนในนาคาวรรณรอให้เจ้าของความคิดจะจัดงานฮาโลวีนไปเปิดงาน ทิพย์คว้าเสื้อคลุม ตะโกนสั่งหิรัญว่าถ้าแต่งตัวเสร็จแล้วให้พาเด็กๆไปเจอที่ลานจัดงานกลางเมือง ก่อนที่ร่างระหงจะก้าวขึ้นรถม้าไปเตรียมเปิดงานก่อน


    ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในย่านกลางเมืองมากขึ้นทุกทีเมื่อเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ นาคาวรรณที่เคยประดับประดาตกแต่งแบบตะวันออก เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นการตกแต่งแบบตะวันตก โคมไฟรูปหัวกระโหลกแขวนเรียงราย ลูกฟักทองสายพันธ์ฝรั่งถูกเจาะช่องเป็นหน้าตาแปลกๆ ใส่เทียนเอาไว้จนสว่างไสวไปหมด เด็กๆทั้งชาวนาคาวรรณเอง และเด็กๆชาวต่างชาติล้วนแต่งกายเป็นภูติผีปีศาจตัวเล็กๆวิ่งเล่นกันไปทั่ว ทิพย์มณฑายิ้มแป้นพูดคุยกับเหล่าชาวต่างชาติที่เข้ามาเอ่ยชมเรื่องงานฮาโลวีนที่จัดได้ตระการตา และยิ่งใหญ่สมหน้าตาเมืองท่าค้าขายสำคัญ แขกจากเมืองใกล้เรือนเคียงอย่างคีรีกัณฑ์หรือรามเทพเองก็หลั่งไหลมาร่วมงาน นับเป็นงานเลี้ยงใหญ่งานนึงทีเดียว


               “ สวยงามมาก แม่หญิง “ ชาวต่างชาติคนนึงเอ่ย


               “ ก็ได้ทุกคนในงานช่วยเหลือค่ะ อย่างไรก็เชิญท่านร่วมงานให้สนุกนะ “ หล่อนเชื้อเชิญ มองแขกเหรื่อด้วยใบหน้ายิ้ม แต่ใจก็อดเสียดายไม่ได้ที่คนที่อยากให้ร่วมงานไม่มา


               “ แม่ทิพย์คะ “ เด็กหญิงตัวน้อยคนนึงเอ่ยเรียก


               “ ว่าอย่างไรจ๊ะ? “


               “ พี่นกจะมาไหม “ คนฟังเลิกคิ้ว


               “ อา… คิดว่าพี่เค้าคง… หือ “ เกิดเสียงอืออึงไปทั่วลาน เมื่อร่างของสัตว์อสูรสีเขียวประดับขนแซมสีเพลิงกระพือปีกใหญ่ของมันอยู่เหนือลาน ท่วงท่าเกรงขาม ทว่าพวกเด็กๆกลับแตกตื่นทำตาโตเมื่อสกุณเหราตัวยักษ์ร่อนลงพื้น ที่คอมีโบว์สีดำอีันใหญ่ผูกประดับอยู่ดูน่ารักน่าชัง ผู้ควบขี่กระโดดลงมาในชุดคลุมสีม่วงปักดิ้นลายทองสูงค่า แม้ใบหน้าจะนากลัวเพราะมีแผลประดับ แต่รอยยิ้มที่มองมาที่เด็กๆก็ดูอารียนัก เส้นผมสีขาวที่แต่เดิมสั้นจุกไว้กลางกระหม่อม ครานี้ถูกเวทมยน์ทำให้ยาวปลิวไสวลงมาน่าชม เขาส่งตะกร้าขนมอันใหญ่ที่บรรจุเค้กก้อนเล็กๆตกแต่งครีมขาววาดหน้าตาเป็นหัวกระโหลกน่ารักๆไว้เต็มให้สกุณคาบ ทิพย์มณฑาหัวเราะร่วน เดินมาหา


               “ นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว “


               “ ก็สัญญาไว้ ขอโทษทีที่มาช้านะ พอดีข้าทำขนมไม่ทัน “ บากเอ่ย


               “ แค่ท่านมาก็ดีแล้ว ส่วนสกุณ น่ารักมากจ้ะ “ ทิพย์เอ่ยก่อนจะขำจนตัวงอ เจ้าสกุณทำคอตกคอห้อยเอาหัวดันหญิงสาวงอนๆ ตอนนั้นเองที่เด็กชายกับเด็กแฝดลูกครึ่งทมิฬจะวิ่งมาหาบาก


               “ ท่านลุงพ่อมดดด “


               “ อ้าว ว่าไงเด็กๆ แต่งตัวน่ารักนี่ “ เขาทักลูกๆของสหาย ก้มลงหอมแก้มแต่ละคน พลางแจกขนมให้


               “ ว่าแต่ หิรัญไม่มางานเหรอ ทิพย์ “


    “ ทิพย์!! “ เสียงนึงแหวมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างสูงเก้งก้างของทมิฬหนุ่มจะปรากฏกายมา คราวนี้บากเป็นฝ่ายขำจนตัวงอกับสกุณมั่ง เมื่อเห็นสภาพของคนร่วมเผ่าในชุดกระโปรงสีขาวเดินมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ ทิพย์ยกนิ้วโป้งให้


               “ พี่หิรัญน่ารักสุดๆไปเลยจ้ะ ชุดแม่ชีเนี่ย “


               “ พี่เป็นชายนะทิพย์!! “ หิรัญครวญ อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี คนบังคับใส่ลอยหน้าลอยตา


               “ วันนี้วันฮาโลวีนจ้ะ ใส่อะไรก็ได้ เอาล่ะ เด็กๆ ไปเที่ยวงานกันดีกว่า แม่จะได้เดินดูงานด้วย ท่านจะไปด้วยไหมล่ะ? “ พ่อมดหนุ่มสั่นหน้า


               “ ขอแจกขนมก่อนแล้วจักตามไปนะ “


               “ งั้นเดี๋ยวก็คงได้เจอกันหลังงาน อ๋อ ตรงมุมเมืองทางทิศตะวันออก มีจัดงานโคมไฟฮาโลวีนด้วยนะท่าน ลองพาสกุณไปดูสิ เอ้าๆ พี่หิรัญเดินตามทิพย์มา ไม่ต้องอายน่า น่ารักจะตายยย “ หล่อนว่าอย่า

    อารมณ์ดีก่อนจะพาสามีพร้อมกับลูกๆเดินออกไปจากลาน บากโบกมือให้ รู้สึกประหม่านิดหน่อย เพราะตอนนี้คนจ้องมาที่พวกเขาเยอะมาก แถมเด็กๆนอกจากลูกแม่ทิพย์แล้วก็ไม่มีใครสักคนกล้าเข้ามาเอาขนมเลย กระทั่ง แม่หนูน้อยคนนึงก็เดินกล้าๆกลัวมาหา ในมือมีตะกร้าใส่ขนมจุกจิกที่คงไปขอมาบ้างแล้ว เธอมีตาสีฟ้าสวยน่าชม


               “ ….Trick or Treat “ เด็กน้อยเอ่ยพลางยิ้ม บากยิ้มมองสกุณที่โน้มคอยาวๆลงมา ยื่นตะกร้าให้เขายิ้มขนมแจกให้


               “ นี่จ๊ะ “ สาวน้อยยิ้มแป้น ก่อนจะรับขนมมา แต่ตายังมองสกุณอยู่


               “ ...ลูบได้นะ สกุณเป็นเด็กน่ารัก “ บากเอ่ยเป็นภาษาต่างชาติ สกุณทำหน้างง


               “ เขาอยากลูบเจ้าน่ะ โน้มหัวลงมาอีกนิดสิ “ สกุณทำตาม มือจ้อยๆยกขึ้นลูบแนวขนที่ตรงแก้ม เด็กน้อยหัวเราะร่าเมื่อสัตว์อสูรเลียแก้มเบาๆ เด็กๆและผู้ปกครองเห็นสกุณไม่ดุร้ายก็ปล่อยให้เหล่าเจ้าตัวน้อยไปขอขนมบ้าง


               “ เหนื่อยหน่อยนะสกุณ “ คนผมขาวหัวเราะมองเจ้าสกุณที่ตอนนี้ ไม่ได้คาบตะกร้าแล้ว แต่กลายเป็นของเล่นให้เด็กๆทั้งแตะ ทั้งจับ ทั้งลูบ ส่วนตนเองก็มีหน้าที่แจกขนมให้ ทมิฬหนุ่มแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็รู้สึกดีที่เด็กๆไม่กลัวตนเอง บางคนก็ซักถามถึงผม ถึงดวงตา บางคนก็ซุกซนขอแตะมือไม้


               “ ท่านเป็นพ่อมดใช่ไหมคะ เสกของได้ไหม? “


               “ เป็นบางอย่างน่ะ เช่น…. “ มือสีม่วงเรียวเคลื่อนไหวเบาๆ ก่อนที่จะเสกเอากลุ่มควันสีเงินประกายออกมาเป็นนกตัวเล็กๆ ให้มันบินพร่างพรายรอบตัวเด็กๆ พวกเขาล้วนตื่นตาตื่นใจกันจนแทบไม่ไปไหน  แม้ขนมจะหมดตะกร้าแล้วก็ตามทีด้วยซ้ำ บากต้องใช้เวลาสักพักจนกระทั่งคนเริ่มทยอยไปตรงอื่นและเด็กๆก็โบกมือลาไปหาขนมตรงอื่นบ้าง


               “ ไหวไหม สกุณ “ คนมากวัยกว่าถาม พลางยิ้มขำเมื่อเห้นเจ้าตัวดีหมดแรงเพราะถูกเด็กรุมจนลิ้นห้อย นกหนุ่มค่อยๆแปลงรางเป็นมนุษย์


               “ โหยย ทำไมเด็กๆพลังงานเหลือเฟือแบบนี้จ๊ะเนี่ย “


               “ พูดเหมือนไม่เคยเป็นเด็ก เจ้าเองตอนเด็กๆก็ใช่ย่อยที่ไหน ซุกซนจนข้าคิดจะเอาไปทิ้งเสียหลายครั้งแล้ว “ เขาว่าขณะทำให้ตะกร้าขนมเล็กลงจนใส่เข้าไปในกระเป๋าได้ สกุณทำตาเจ้าเล่ห์


               “ แต่ทิ้งไม่ได้ใช่ม้าา รักสกุณสินะ “


               “ ...ใช่ “ บากตอบ พลางยิ้มให้ คนอ่อนวัยกว่าหน้าแดง หลบหน้าหลบตาแต่ก็อดชำเลืองมองไม่ได้ วันนี้เจ้านายของตนดูดีมากจนแทบละสายตาไม่ได้ ทั้งผมที่ยาวสวย ทั้งร่างกายสมส่วนในชุดแบบตะวันตกที่เจ้าตัวใส่ขึ้นนัก


               “ เราไปเดินเล่นชมเมืองกันสักพักแล้วกัน แล้วค่อยไปดูโคม “


               “ จ้ะ ว่าแต่มีขนมกินไหมนะ “


               “ ก็ตามพวกเด็กๆไปซี ไปขอเอาตามบ้าน ตามร้านรวงไง “


               “ ไม่เอา สกุณเขิน ตะกี้เขินแม่ทิพย์แทบแย่ “


               “ เจ้าน่ารักดีออกนะ ข้าชอบ “ คนเป็นนายว่า ก่อนจะผละออกไปตรงร้านนึง ซื้อขนมหวานมาให้สกุณกินรองท้อง ทั้งคู่พากันเดินระเรื่อยชมเมืองอย่าเงพลิดเพลิน บากค่อนข้างสนุกที่ได้คอยอธิบายประเพณีวัฒนธรรมต่างๆของฮาโลวีนให้นกหนุ่มฟัง เจ้าตัวดีทำตาโตสนุกสนานใคร่อยากรู้ไปเสียทุกเรื่อง โตแต่ตัว ใจก็ยังเด็กน้อยไม่รู้คลาย บรรยากาศรอบกายทำให้อดีตพ่อมดประจำคฤหาส์นใหญ่อดหวนนึกถึงอดีตไม่ได้…


    ทารคากับเขามักชักชวนกันไปตามงานเทศกาล ยักษ์หนุ่มชื่นชอบความสนุกสนาน เขาไม่ใคร่ชอบนักแต่หากโดนเอ่ยปากชวนก็ไม่เคยปฏิเสธ ฮาโลวีนเองก็เช่นกัน บางครั้งทารคาก็ชวนไปฉลองถึงต่างแดนด้วยซ้ำ พวกเขากินเลี้ยง เต้นรำ อิงแอบใกล้ๆ แลกเปลี่ยนรสชาติในปาก ทารคามองการหลับนอนกันเป็นเพียงเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องสนุก แต่บากไม่เคยมองเช่นนั้น แต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจเอื้อมคิดไปไกลมากขนาดนั้น ฮาโลวีนเป็นเทศกาลที่เขาทั้งรักและชังไปพร้อมกัน


               “ พ่อจ๋า! เหม่ออะไรอยู่ “


               “ โทษที ข้าก็คิดอะไรเพลินไปหน่อย เราอยู่ไหนกันแล้ว “ สกุณกินคุกกี้ในมือคำเดียวก่อนจะตอบ


               “ น่าจะงานโคมไฟที่แม่ทิพย์บอกจ้ะ แต่คนน้อยจัง “


               “ อืม คงยังไม่ได้มากัน มันก็ไม่มีอะไรนอกจากโคมไฟเสียด้วย อ๋อ มีตะเกียงหัวฟักทองด้วย น่าเอ็นดูดีนะ “ ชายหนุ่มชี้หัวฟักทองแกะสลักเรียงราย สกุณพยักหน้าแล้วกินลูกกวาดต่อ


               “ ก็ไม่มีอะไรเนอะ ของกินก็ไม่มี “


               “ เจ้านี่ห่วงกิน เอาว่าเดินชม…. แล้ว...สกุณ? “ บากชะงักเมื่อจู่ๆ รอบข้างก็มืดมิด มีเพียงแสงไฟจากเทียนรอบๆตัวและจากหัวฟักทองเท่านั้น อีกทั้งสกุณเหราก็หายไป เขารู้สึกแปลกๆ วันฮาโลวีนนัยแล้วก็คือวันที่ภูติผีปีศาจกลับมาจากโลกหลังความตาย กลิ่นไอเย็นและความมืดรายล้อมทำให้พ่อมดหนุ่มตั้งสติ เพื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน….


                          ว่ากันว่าคนเราคิดอะไรมักได้แบบนั้น

                          เรื่องไม่คาดฝันที่ว่าจึงมาอยู่ตรงหน้า

                          กายสีม่วงสั่นสะท้าน


               ‘ ไม่เจอกันนานนะ ‘ เสียงทุ้มมีอำนาจดัง เรือนผมสีแดงรับกับผิวกายสีมรกต และตาสีทับทิมเองก็เช่นกัน พ่อมดรู้สึกเหมือนพื้นแผ่นดินใต้ร่างสั่นไหว


               “ ทารคา? ไม่จริง….  “


               ‘ นี่ฮาโลวีนนะ ไม่ให้โอกาสกลับมาหากันเลยหรือ ‘ อีกฝ่ายว่า ขยับมาใกล้ ยกมือที่เย็นแตะแก้มของพ่อมดชาวทมิฬ


               “ ข้าฝันใช่ไหม? “


               ‘ อยากเชื่อแบบนั้นก็ตามใจ ...เดินเล่นกันไหม? ‘ บากพยักหน้า มือของทารคาจับมือเขาเดินจูงกันไปตามทางเดินอิฐสีขาวที่ปูลาด รอยกายเงียบงันไร้สำเนียงใดๆ ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงฉลองเฮฮาใดๆเลยสักนิด


               “ ทารคา ทำไม? ทำไมถึงมาปรากฏกาย แล้วนี่เราจะไปไหน มัน...แปลก ผู้คนไปไหนหมด...สกุณเหราล่ะ  “ เขาถาม ทารคาชะงัก


               “ ทารคา? “


               ‘ นึกว่าจะพาไปได้ง่ายๆเสียหน่อย ‘ เสียงที่ทุ้มเย็นเยียบน่าหวาดหวั่นเบื้องหน้ากลายเป็นโพรงมีไอร้อน และเหล่าวิญญาณบาปหนาเกินกว่าจะได้กลับมายังเมืองมนุษย์กำลังกรีดร้องโหยหวนอยู่ในนั้น พ่อมดผมขาวตกใจ รวบรวมสติจะสลัดมือที่เกาะกุมตนเองอยู่ แต่กลายเป็นว่ามันกลับบีบแน่น เนื้อหนังกลายเป็นกระดูกติดเนื้อเน่า เมื่อเงยมองใบหน้าที่เคยหล่อเหลาก็กลับเละไปด้วยเลือด เน่าเปื่อยสลายน่าสะอิดสะเอียน


               “ ทารคา? “


               ‘ ไปกับข้า เจ้าทำให้ข้าตาย บาก!!! ‘ ผู้วายชนม์แต่กาลก่อนตะคอก พยายามลากทมิฬที่ตกใจเสียจนลืมสิ้นทุกสิ้งไปแม้กระทั่งตนเองเป็นพ่อมดมีอาคมแกร่งกล้า


               “ ทารคา ไม่ ข้าไปไม่ได้ ข้าจะไปแน่ แต่มิใช่ตอนนี้ “


               ‘ เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!! ‘


               “ ข้าตายได้ทุกเมื่อ แต่มิใช่ตอนนี้ ข้าต้องดูแลสกุณ เด็กคนนั้น… ข้าต้องดูแลเขา อึ่ก! “ มือกระดูกตรงเข้าบีบคอยาวนั่นเต็มแรง บากสำลักอากาศ มือไม้ไขว้คว้าหาอิสรภาพ


               ‘ ตาย...ตายชดใช้ความผิดของเจ้า!!! ‘


               “ ….ข้าตาย...ตั้งแต่เจ้าตาย ทารคา มิมีวันใดที่ข้าไม่เคย...รักเจ้า ...แต่ข้า...ต้องกลับไป “ น้ำตาไหลจากดวงตาสีทอง แรงบีบทวีมากขึ้น แต่แล้วจี้ห้อยคอในอกก็ส่องแสงสว่าง บากตาพร่าไม่อาจเห็นภาพใดแจ่มชัด แต่แล้วภาพที่เห็นเมื่อลืมตาสู้แสงได้คือทารคายืนอยู่ตรงหน้า


    ‘ กล้าดียังไงปลอมเป็นกู แล้วมายุ่งกับคนของกู!! ‘ ทารคาผู้อยู่ในชุดคลุมดำและไม่เน่าเฟะเอ่ย เขาดูโกรธเกรี้ยวนัก โครงกระดูกผีไม่ยอมถอยง่ายนัก


    ‘ กูจะเอามันไป มึงอย่ามาขวาง ‘ ร่างเน่าหนอนกระโจนเข้าไฟแต่ก็ถูกไฟอาคมที่เคยเป็นอาวุธของทารคาเผาเสียไหม้เกรียมในพริบตาเดียว เขาหิ้วร่างนั่นทิ้งลงไปในโพรงเกิดเป็นแสงสว่าง สุดท้ายเมื่อสิ้นแสงสว่างและทุกอย่างกลับมาเป็นเช่นเดิม ร่างสูงในชุดคลุมสีดำตัดกับผมสีดำก็มิได้หันมา


               “ ทารคา…. “


               ‘ หลับตาเสีย ข้าจะพาเจ้ากลับไป ‘ ร่างของพ่อมดโซเซมา ยกมือกอดจากข้างหลัง แนบหน้าลงอย่างโหยหา


               “ พาข้าไป ไปกับท่าน… “


               ‘ ไม่ได้ เจ้ายังต้องกลับไป พูดเองนี่ มีคนรอเจ้าอยู่ ‘ เขาตอบ


               “ ข้าคิดถึงท่าน ได้โปรด… “ ทารคาถอนใจก่อนจะหันหน้ากลับมา เขายังเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง อ้อมแขนรวบเอาบากไปกอด


               ‘ เช่นกัน...แต่เจ้าเป็นคนเป็น ข้าเป็นคนตาย แค่วันนี้เท่านั้นที่จะได้เจอ และเวลาก็น้อยนัก หลับตาลง ข้าจะไปส่งเจ้าเอง ‘


               “ เราอยู่แบบนี้ไม่ได้หรือ “


               ‘ ไม่ได้ เจ้ามีคนรอเจ้าอยู่ กลับไปหาเด็กคนนั้น แล้วอยู่กับเขาเสีย เขาที่รักเจ้าเสียยิ่งกว่าข้า ‘ ยักษ์หนุ่มเอ่ย ก้มลงจูบที่หน้าผากไล่มาจนถึงเปลือกตา


               “ ทารคา...ข้ารู้มันสายไป ข้าอยากบอกว่าข้ารักท่าน “


               ‘ ข้ารู้…..รู้มานานแล้ว เคยตั้งใจจะบอกแต่มัน…….หลับตาเสียบาก อยู่นานกว่านี้มันไม่ดี วันหลังก็ระวังตัวหน่อย ช่วงนี้มันวันปล่อยผี ภูติผีมากมายต้องการคนที่มีบาดแผลทางใจ คนที่สิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่ เพื่อพรากไปจากโลก ข้าเองก็ใช่จะปกป้องเจ้าได้เสมอ วันนั้นก็ยังดีนักที่เรียกเจ้าทัน ‘


               “ ...นอกจากเก็บข้ามาเลี้ยงแล้ว ยังปกป้องข้าอีกหรือ? “


               ‘ เพราะรักเจ้าเสียอย่างไร ‘


               “ ข้าไปกับท่านด้วยไม่ได้หรือ “ บากถามซ้ำ กอดร่างที่ถวิลหามานานเป็นสิบๆปี


               ‘ มันยังไม่ถึงเวลา แล้วอีกอย่างคือมีคนรอเจ้าอยู่ เขาจะปกป้องเจ้าแทนข้า เจ้าปกป้องข้ามามากพอแล้ว เจ้าทำได้ดีแล้ว มิต้องโทษตัวเองอีกแล้ว การตายของข้าไม่ใช่ความผิดของเจ้านะ ‘


               “ ข้าลืมท่านไม่ได้ “


               ‘ ก็มิต้องลืมข้า...จงจำข้าไว้ในความทรงจำของเจ้า แต่จงรักคนที่อยู่ข้างๆเจ้า บอกกับเขาว่าเจ้ารักเขาแค่ไหน อย่าเป็นเช่นข้า ที่รอจนสายเกินไป รอจนสายที่จะบอกเจ้าว่ารักเจ้าแค่ไหน … ‘


               “ ทารคา.. “ กายผอมสะอื้นเบาๆ กอดรั้งร่างสูงใหญ่เอาไว้


               ‘ หลับตาเสีย เมื่อลืมตาเจ้าก็จะลืมเลือนมันหมด ‘


               “ ไม่ลืมได้ไหม? ข้าไม่อยากลืมว่าเจ้ารักข้า “ ทารคายิ้ม ยกมือลูบผมสีขาวนุ่มมือ


               ‘ หลับตาเสีย...เชื่อข้า “ บากหลับตาลง แต่มิคลายวงแขน สัมผัสถึงรอยจูบที่ริมฝีปากเนิ่นนานอ่อนหวาน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะเบาราวนุ่น และเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราที่เป็นสุขเสียนิทรารมย์ใดๆที่เคยมีมา


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


    พ่อมดหนุ่มกะพริบตาปรือปรอย ค่อยๆลืมตาเมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังลูบผมของตนอยู่ เสียงทุ้มแฝงความทะเล้นเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าคนบนตักตัวเองฟื้นแล้ว


               “ ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ พ่อจ๋า? “


               “ สกุณ? “


               “ ก็บอกแล้วอย่าฝืนไงจ๊ะ เมื่อคืนก็โหมทำขนมเสียจนไม่ได้นอน ตกใจหมดเลยตอนที่จู่ๆก็ฟุบหลับไปน่ะ “ เจ้านกว่า ยิ้มให้คนที่ยังงัวเงียงงๆ


               “ ข้าน่ะเหรอ? “


               “ จ้ะ เดินๆกันอยู่ก็หลับป๊อกไปเลย จะปลุกก็เกรงใจ ข้าเลยพาพ่อจ๋ามานอนตรงใต้ต้นไม้นี่ก่อน เด็กๆมามองกันตั้งเยอะ “ คนฟังรู้สึกอายขึ้นมา จำไม่ได้เลยว่าตนเองง่วงจนหลับไปกลางอากาศแบบนั้น


               “ ….แล้วหลับไปนานไหม? “


               “ ไม่นานหรอกจ้ะ แต่สกุณว่าสกุณเหน็บกินแล้วล่ะ “ บากหน้ามุ่ยก่อนรีบเด้งตัวออกมา เมื่อพบว่าหลับซบบนอกและนอนบนตักสกุณอยู่


               “ โทษทีนะ “


               “ ไม่เป็นไรจ้ะ...นั่นๆ แม่ทิพย์กับเจ้าพวกเด็กๆ “


               “ ท่านบาก มานี่เร็วๆ พี่หิรัญขึ้นเวทีไปประกวดขวัญใจงานฮาโลวีนล่ะ ไปดูกันๆ “ ทิพย์วิ่งหอบมาตาม ดึงมือพ่อมดหนุ่มที่ยังคงงๆอยู่


               “ สกุณ ไปด้วยกันสิ “


               “ ข้าเหน็บกินจ้ะ แม่ทิพย์ ขอนั่งให้หายก่อนแล้วจะตามไป ฝากพ่อจ๋าด้วยนะจ๊ะ “


               “ ได้เลย มาเร็วท่าน “ ทิพย์มณฑาลากบากไปที่ลาน สกุณโบกมือให้ทำนองไม่ต้องห่วง พ่อมดผมขาวเลยตามสหายไปที่หน้างานด้วยกัน เฉกเช่นคนละแวกนี้ที่ต่างก็พากันไปดูการประกวดกันเนื่องแน่น สัตว์อสูรผมสีเพลิงเอนกายพิงต้นไม้


               “ ...ขอบคุณมากที่ช่วยพ่อจ๋าไว้ “


               ‘ ข้าทำได้แค่นั้นล่ะ ‘ เงานึงที่อยู่ด้านหลังต้นไม้ตอบ เรือนผมสีเดียวกันสยายเต็มแผ่นหลังกว้าง


               “ ...ทำไมถึงทำให้พ่อจ๋าลืมล่ะครับ ทั้งๆที่พ่อจ๋าคงอยาก...อยากได้ยินคำว่ารักจากท่านมากที่สุด “ คนฟังผู้จากโลกนี้ไปไกลแล้วยิ้มจางในเงามืด


               ‘  ไม่อยากให้ต้องมายึดติดกับคนตายเช่นข้า ยิ่งหากเขารู้ว่าข้ารักมากแค่ไหน ก็คงจะยิ่งเสียใจ‘ 


               “ แต่พ่อจ๋ารักท่าน รักมากจนอยากจะไปอยู่กับท่าน “ นกหนุ่มพูดแผ่วเบา


               ‘ แต่เขามีเจ้า เขาทิ้งเจ้าไม่ได้หรอก‘ 


               “ ข้าไม่มีวันทดแทนท่านได้ พ่อจ๋าคงไม่มีวันรักข้า “ ผู้ฟังหัวเราะนิดๆ


               ‘ เจ้าเริ่มต้นทำตัวให้เขารักหรือยัง บอกรักบ้างหรือยัง? เอาแบบบอกจริงๆจังๆนะ  ‘ 


               “ ก็ยัง.. “


               ‘ เช่นนั้นก็ทำได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายไป รักเขาแทนข้า บอกรักให้มากๆแทนข้าที่จากโลกนี้ไปโดยไม่เคยบอกว่ารักมากเขาแค่ไหน ทำได้ไหม  ถ้าไม่ได้ข้าจะมาหักคอเจ้า ‘  สกุณทำหน้ายู่


               “ รู้แล้ว จะพยายามครับ “


               ‘  อืม… ฝากเด็กคนนั้นด้วยนะ ฝากบากของข้าไว้ด้วย ‘  ทารคาเอ่ย มองกายของตนเองที่กำลังเลือนหายไปในความมืดมิดที่มีเพียงแสงไฟจากหัวฟักทองแกะสลักรอบๆเท่านั้น สกุณหันไปมอง ส่งยิ้มและผงกหัวให้แทนคำพูดหลายอย่าง ทั้งขอบคุณและแทนคำสัญญา ก่อนที่ร่างนั้นจะยิ้มให้แล้วจากไปยังที่ที่จากมา...


               “ สกุณ? “ เสียงนึงเรียก เมื่อหันกลับไปจึงพบคนที่คุ้นเคย

               “ อ้าว พ่อจ๋า กลับมาเร็วจัง “ บากยิ้มนั่งลงข้างๆ


               “ อยู่นานไม่ไหว ข้าขำจนท้องแข็งไปหมด หิรัญน่าสงสารชะมัดเลย ทิพย์ก็ทิพย์เถอะ แกล้งสามีตัวเองแบบนั้นได้ยังไงกัน “ สัตว์อสูรหัวเราะบ้าง


               “ เห็นภาพเลยจ้ะ “


               “ อืม… สกุณ แปลกจังนะ ข้ารู้สึก...สบายใจมากเลย ไม่ได้รู้สึกสบายใจมากขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว ทำไมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกเหมือนว่าทารคาไม่เคยโกรธข้า กลับกัน เหมือนเขารักข้าด้วยซ้ำ  แปลกจริงๆ ทั้งๆที่ข้าไม่เคยได้ยินเขาบอกรักเลยสักนิด “


               “ ไม่ใช่แค่เขาหรอกครับ “


               “ หมายความว่าไง หือ? “ สกุณโน้มหน้าลงมาหา จูบแก้มของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล


               “ ข้าก็มิเคยบอกรัก...พ่อ...ไม่สิ ไม่เคยบอกรักท่าน แต่ข้ารักท่าน “ ประโยคท้ายทำให้หน้าของคนมากวัยกว่าร้อนวูบ


               “ สกุณ เจ้าพูดอะไ… “ ริมฝีปากถูกหยุดลงด้วยจูบของสัตว์อสูรหนุ่มที่ช่วงชิงเอาไปโดยไม่ขออนุญาตก่อน ลมหายใจพ่อมดติดขัดเมื่อพยายามจะห้ามด้วยกลัวใครมาเห็น แต่แล้วก็ไม่อาจทำได้ ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นฝ่ายอ่อนระทวยใต้วงแขนแข็งแรงแทน สกุณเลื่อนไปจูบหน้าผาก


               “ ขอโทษที่ล่วงเกินนะจ๊ะ แต่สกุณอยากจูบจริงๆ “


               “ ….เจ้าจูบได้ห่วยมาก “ เขาว่า


               “ ถ้าสกุณจูบห่วย คนที่เคยสอนสั่งสกุณมาทุกเรื่อง...จะสอนเรื่องนี้ให้ด้วยไหมนะ “ บากหน้ามุ่ยเหมือนตนเองหลงกลเจ้าเด็กนี่ไปเต็มเปา


               “ ได้คืบจะเอาศอก อยากจะโดนสาปเป็นนกกระจอกไหม? “


               “ อย่าดุสิครับ สกุณแค่อยากเรียนรู้ “


               “ เจ้าเด็กน้อย เร็วไปร้อยปีกระมั้ง “ บากว่า เขยิบตัวลุกขึ้น สกุณลุกตามแล้วรั้งเอาคนผอมกว่าตนมากอดอีกครั้ง ซุกหน้าลงกับซอกคอหอมกลิ่นเค้กเรดเวเวทจางๆ


               “ รอได้ครับ… “


               “ สกุณ… เจ้านี่นะ กลับกันได้แล้ว “


               “ ครับผม “ อีกฝ่ายเลิกคิ้วมอง


               “ เจ้าแปลกไปนะ “


               “ เรื่องอะไรครับ? “


               “ ไม่พูดจ๊ะจ๋าแล้วเหรอ? “ สกุณหัวเราะ


               “ ถ้าท่านอยากให้พูดก็จะพูดครับ แต่ถ้าไม่ก็จะหัดพูดแบบนี้ “ ทมิฬหนุ่มถอนใจ สกุณเหราเองก็เข้าวัยรุ่นหนุ่ม จะเปลี่ยนแปลงย่อมไม่แปลก แต่จู่ๆกระทันหันแบบนี้ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ เขาไม่เคยมีลูก ไม่เคยมีครอบครัว ไม่ได้เลี้ยงเด็กคนนี้มาในฐานะบุตร หรือพี่น้อง หากจะให้พูดก็คงจะเป็นเหมือน…


                          คู่ชีวิต???


               “ ไม่มีทางซะล่ะ “ เขาพึมพำกับตัวเอง


               “ อะไรไม่มีทางจ๊ะ? “


               “ เปล่า กลับกันถอะ ข้าชักง่วงแล้ว เดี๋ยวส่งนกไปบอกทิพย์เอง “ สกุณเหรายืดตัวแก้เมื่อย มองเทศกาลฮาโลวีนตรงหน้าที่ยังครื้นเครงอยู่ แต่ตอนนี้อยากจะกลับไปนอนกอดซุกคนเป็นนายหลับแล้ว


               “ ครับผม นายท่าน “


               “ ….ไม่ชินเลย “ เจ้าตัวดีหัวเราะ เลื่อนมือไปกุมมือของบากมาจับเอาไว้


               “ สกุณ? “


               “ ขอจับมือไว้แบบนี้จนถึงประตูเมืองนะครับ “


               “ ตามใจ ข้าเคยขัดใจเจ้าได้หรือ? “ ชายหนุ่ผมขาวว่า ยอมให้สกุณจับมือ ทั้งคู่พูดคุยกันไปเรื่อยๆจนถึงสุดปลายเมือง ก่อนที่พ่อมดชาวทมิฬจะขึ้นขี่หลังของสัตว์อสูรผู้น่าเกรงขามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าที่พร่างพรายด้วยมวลดารา กลับคืนสู่บ้าน ที่พักพิงที่มีเพียงกันและกันตลอดมาและตลอดไป…


                                                        ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


    บทส่งท้าย



    อากาศเย็นเริ่มคืบคลานมายังนาคาวรรณเมื่อพ้นเดือนตุลาคมไป ผู้คนในนาคาวรรณที่โดยมากเป็นพ่อค้าแม่ขายจึงเริ่มปรับกลยุทธ์การค้ากันมากโดยเฉพาะแผงขายอาหารที่หันมาขายอาหารร้อนๆมากขึ้น เสื้อผ้าปรับเป็นขนสัตว์ พืชผักก็ล้วนเป็นผักแห้งผักดองเกลือเสียส่วนมาก แม้จะเย็นนักแต่ก็ไม่มีหิมะตกหนาทึบเช่นทางเหนืออย่างคีรีกัณฑ์ แต่กระนั้นก็ยังหนาวเย็นไม่น้อยหน้าเลยเพราะจะมีละอองหิมะมาบ้าง... ชายป่าที่ติดกับเขตนาคาวรรณวันนี้มีไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากเตาไฟในห้องครัวด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงอ้อแอ้ราวร้องไห้ของเด็ก


               “ สกุณ ยัยหนูเป็นอะไร? “ บาก พ่อมดชาวทมิฬตะโกนถามสัตว์อสูรที่กำลังปลอบเด็กน้อยอยู่


               “ ล้มน่ะครับ มาๆ พ่อสกุณอุ้มนะ “


               “ ตัวเล็ก ทำไมล้มล่ะครับ “ เด็กหญิงตัวน้อยผมสีเงินสะอื้น วิ่งไปกอดขาร่างผอมที่เดินกลับเข้ามาในเรือน ซุกหน้าสะอื้น


               “ บุหรง บอกพ่อสิ? “ เขาถาม สกุณถอนใจดึงมาอุ้ม


               “ งอแงงจะออกไปเล่นน่ะ ข้าไม่ให้ไป จับตัวไว้แต่เจ้าตัวดีหนี เกิดสะดุดพื้นหน้าคะมำน่ะครับ “


               “ อากาศเย็น ไม่ออกไปนะ “ บุหรงมองหน้าพ่อชาวทมิฬแล้วก็ร้องไห้โฮแบบไม่มีเสียงอีกรอบ ซุกหน้ากับไหล่ของสกุณงอแงตีไม้ตีมือปึ่กปั่กใส่


               “ โอ๊ยๆ พ่อสกุณเจ็บ “


               “ ให้ตายสิ “ พ่อมดถอนใจ ร่ายมือเสกมนต์ให้ยัยหนูลอยอยู่กลางอากาศ ตัวเล็กหน้ายู่ไม่ร้องแล้วแต่ยังไม่หยุดสะอื้น น้ำตาเต็มแก้มกลม


               “ บุหรง วันนี้อากาศเย็น เราไม่ค่อยแข็งแรง เดี๋ยวไม่สบาย “


               “ ใช่ครับ คนดี อยู่ในบ้านกินโกโก้ร้อนกับพ่อสกุณดีกว่า แอ๊ก! “ นกหนุ่มร้อง  เมื่อถูกกำปั้นน้อยๆทุบอั่กเข้าให้ที่แก้ม บากขมวดคิ้วยืดแก้มเด็กหญิง


               “ บุ - หรง หยุดอาละวาดเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นพ่อจักพาเจ้าไปฝากแม่ทิพย์ให้อบรม “ หนูน้อยยอมหยุดมือ แต่ก็สะอื้นในคอเงียบ คนมากวัยสุดในบ้านถอนใจ คลายมนต์ก่อนจะอุ้มเมากอด


               “ ไม่ร้องๆ ไม่พาไปดอก...แต่ต้องขอโทษพ่อสกุณก่อนนะ “ ดวงหน้าน่ารักหันไปหาสกุณเหราที่ทำหน้ายิ้มร่าส่งให้แม้แก้มจะบวมตุ่ยไปนิดนึง เธอยกมือทำภาษามือบอกขอโทษให้


               “ ดีมากยัยหนู “ ทมิฬหนุ่มว่า หอมแก้มลูกสาวบุญธรรมที่อยู่กับตนเองและสกุณมาได้ห้าปีแล้ว บุหรงเป็นเด็กต่างชาติที่ถูกทิ้งเอาไว้ในป่า ทั้งคู่เจอแกนอนตัวแข็งใกล้ตายจากความหนาวขณะไปหาสมุนไพรบนป่าเขตชายแดนคีรีกัณฑ์ นำตัวมารักษาดูแลจนหายดี และก็ตัดสินใจทำเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตคือรับเอาชีวิตน้อยๆนี่มาเป็นลูกสาว ซึ่งนั่นก็ผ่านมาห้าปีกว่า บุหรงโชคร้ายที่พูดไม่ได้ ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ทดแทนด้วยหน้าตาและความฉลาดเฉลียวที่บากบอกได้เลยว่าเธอคงจะเป็นแม่มดหมอผีอาคมมือหนึ่งได้ไม่ยากทีเดียว เสียก็แต่ออกจะเอาแต่ใจไปสักหน่อย (เพราะถูกพ่อสองคนตามใจด้วยละนะ)


               “ ไหนๆ หอมแก้มพ่อสกุณก่อนเร็ว “ เด็กน้อยผมเงินมองก่อนหันกลับไปซุกพ่อชาวทมิฬแทน สกุณคอตก


               “ น่าๆ เวลางอแง บุหรงจะติดข้ามากกว่าเจ้านี่นา มาลูกมา ดูสิน้ำตาเต็มแก้มเลย นั่งลงก่อน พ่อติดไฟในเตาแล้ว จะอุ่นน้ำเก๊กฮวยให้เจ้าดื่มนะ “ บุหรงถูกปล่อยลงมา แต่เมื่อบานประตูถูกปิดสนิทและถูกพ่อบุญธรรมที่เป็นพ่อมดใช้อาคมชั้นสูงปิดเอาไว้ แม่หนูน้อยก็หมดสิทธิ์หนีออกไป เธอหน้าบึ้งไปเกาะตรงขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอกแทน


               “ บุหรง เล่นกับพ่อสกุณไหม? “ สกุณเหราเอ่ยชวน แต่แม่หนูน้อยก็ไม่ขยับ เอาแต่จ้องออกไปข้างนอก ตาสดใสเป็นกระกายเมื่อเห็นลมหนาวพัดเอาละอองหิมะมาบางๆ


               “ ...ลูกคงอยากออกไปจริงๆนะครับ “


               “ ช่วยไม่ได้นะ “ พ่อมดหนุ่มถอนใจ


    ร่างเล็กจ้อยในชุดคลุมขนสัตว์สีดำสนิทอย่างดีวิ่งร่าเริงไปในลานสวนหลังเรือน มีพ่อบุญธรรมอีกสองคนคอยเดินตามอยู่ไม่ห่าง ทั้งคู่จูงมือเดินเคียงกันมาเป็นสิบปีแล้ว…


               “ อย่าไปไกลนะ บุหรง “ บากตะโกนบอกยัยหนูที่วิ่งร่าเริงแก้มกลม ตาเป็นประกาย สกุณเหรามองอย่างมีความสุข


               “ ….แกเริ่มแข็งแรงแล้วนะครับ “


               “ อืม… ตอนเล็กกว่านี้ป่วยวันเว้นวันทีเดียว ป่วยจนกลัวเลยล่ะ “


               “ แกเป็นลูกสาวเรา พ่อมดทมิฬที่เก่งที่สุด กับสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามแสนงามสง่าแบบข้านะครับ ลูกไม่อ่อนแอหรอก “ คนมากวัยกว่าหัวเราะ


               “ เจ้าเอาความมั่นใจผิดๆแบบนี้มาจากไหนกันนะ สกุณ … น่าแปลกนะ แกไม่ได้มีเชื้อสายเดียวกับข้าหรือเจ้า แต่เราก็รักแกเสียยิ่งกว่าอะไร “


               “ ถึงข้ากับท่านจะมีลูกด้วยกันไม่ได้ แต่สวรรค์ก็คงเห็นใจส่งยัยหนูมาให้เรารักแน่ๆเลยครับ “


               “ นั่นสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็ถือว่าข้าโชคดีนะ “ บากเงยมองสกุณเหราที่ตอนนเข้าวัยหนุ่มฉกรรจ์มากกว่าแต่ก่อน ยกมือแตะแก้มมีเกล็ดแข็งเบาๆ


               “ เรื่องอะไรครับ? “


               “ สวรรค์ส่งเจ้ามาให้ข้าด้วย “ เอ่ยพลางยิ้มให้ นกหนุ่มเกาแก้มเขินๆก่อนจะก้มลงประคองใบหน้าของพ่อมดทมิฬขึ้นมาจูบ


               “ เช่นกันครับ สวรรค์ก็ส่งท่านมาให้ข้า “


               “ รักเจ้านะ… “ เขายิ้มบอก สกุณยิ้มให้เฉกเช่นเดียวกัน ตอนนั้นเองที่ทั้งคู่สังเกตว่ายัยหนูหัวเราะร่ายกมือเหมือนจะให้ใครสักคนอุ้ม บากเลิกคิ้ว


               “ ยัยหนู เล่นกับใครครับ “ เด็กน้อยยิ้มทำภาษามือบอกว่ามีพี่ชายมาเล่นด้วย แต่เขาเพิ่งไปตะกี้ สกุณทำหน้างงๆ ยัยหนูชี้ผมของพ่อบุญธรรมอีกคน


                          สีแดงเพลิง….


               “ ….เช่นนั้นเอง “ พ่อมดหนุ่มว่ายิ้มๆ ถอนใจนิดนึงก่อนจะดึงสร้อตคอมีจี้ออกมาสวมให้ บุหรงทำตาโตใส่ ชี้จี้ที่มีผมถักสีแดงสวย บากยกมือลูบผมสีเงินสวย


               “ พี่เขาเคยคุ้มครองพ่อมานาน ครั้งนี้ คงจะมาคุ้มครองลูกนะคนดี อย่าทำหายนะ “ บุหรงยิ้มแป้นก่อนจะไปวิ่งเล่นในสวนต่อ สกุณมองคนรักจนอีกฝ่ายหันมา


               “ มีอะไร? “


               “ นั่นของสำคัญนะครับ ให้ลูกจะดีเหรอ? “


               “ เพราะเป็นของสำคัญถึงได้ให้ แล้วอีกอย่าง มีเจ้าคุ้มครองข้าแล้วนี่ ข้าไม่จำเป็นต้องให้ทารคามาคุ้มครองอีกแล้ว “ บากว่ายิ้มๆ ยกมือกอดเอวของคนรักที่อายุน้อยกว่าเอาไว้ หลังจากที่ยอมละทิ้งอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ สกุณเหราก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง เรื่องในคืนงานฮาโลวีนเมื่อหลายปีก่อน น่าแปลกที่มิได้ร้องไห้หรือเศร้าใจอะไร หากกลับกลายเป็นว่าเหมือนบ่วงที่ติดอยู่ในใจมานานได้คลี่คลายลง…และก็พร้อมจะเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีอะไรค้างคาในใจ ทั้งการที่ตอนนี้ลงไปเปิดร้านขายเครื่องประดับทำจากหินหรือพลอยให้คุณในนาคาวรรณ การรับเอาบุหรงมาเลี้ยง ทมิฬหนุ่มรู้สึกได้ว่าฟันเฟืองชีวิตที่เคยหยุดหมุนไปในคราที่เสียทารคาไป ได้เริ่มเดินอีกครั้งแล้ว…


               “ ...มีเจ้ากับลูก ข้าก็พอใจแล้ว “


               “ เช่นกันครับ...ว่าไปถ้ามีอีกหลายๆคนก็ดีนะครับ บุหรงจะได้ไม่เหงา “ สกุณว่าพลางหัวเราะร่วน


               “ ไว้จะลองคิดดูนะ… เพิ่งเจอตำราอาคมดีๆเสียด้วย ไม่แน่ข้าอาจมีลูกกับเจ้าได้นะ… “ คนมากวัยกว่าพูดเบาเหมือนกระซิบ สัตว์อสูรหันขวับ


               “ ตะกี้ว่าอะไรนะครับ? “


               “ เปล่า...บุหรง อย่าไปซุกซนไกลตาพ่อนะ “ ชายหนุ่มเดินตามลูกสาวตัวน้อยไป ทิ้งให้สกุณยืนงงสักพักวิ่งไล่หาคำตอบให้ได้ แต่บากก็ยังเป็นทมิฬความลับเยอะตามเคย สุดท้ายเจ้านกหนุ่มจึงได้แต่โหยหวนไล่ตามถามเสียลั่นชายป่า...


               “ ท่านนนครับบบ บอกข้าก่อนหมายความว่าอย่างไร!!!  “


    จบบริบูรณ์


    ₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in