แสงสีฟ้า หรือ Blue Light เป็นหนึ่งในประเภทของรังสีที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน ทั้งจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งแสงสีฟ้านั้นถือเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อผิวได้เหมือนกับรังสี UV ที่มาจากดวงอาทิตย์เลยค่ะ
ในบทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแสงสีฟ้าที่คุณควรรู้ ทั้งแหล่งกำเนิด อันตรายที่พบ และวิธีป้องกันแสงสีฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ มาไว้กันอย่างครบถ้วนในที่เดียว!
คลิกอ่านหัวข้อ แสงสีฟ้า
- แสงสีฟ้า คืออะไร ? มีแหล่งกำเนิดจากไหน ?
- อันตรายของแสงสีฟ้า ส่งผลกระทบอะไรบ้าง ?
- แนะนำวิธีป้องกันอันตรายจากแสงสีฟ้า
ㅤㅤ- ทาครีมกันแดด
ㅤㅤ- ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม
ㅤㅤ- ใช้ฟิล์มกันแสงสีฟ้าบนหน้าจอ
ㅤㅤ- พักสายตาตามหลัก 20/20/20
ㅤㅤ- ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า
- ครีมกันแดดป้องกันแสงสีฟ้าได้ไหม ?
- สรุปเรื่องแสงสีฟ้าภัยร้ายใกล้ตัว
แสงสีฟ้า คือ คลื่นพลังงานที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 400-500 นาโนเมตร เป็นส่วนหนึ่งของแสงที่ตามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (Visible Light) โดยแสงสีฟ้าเป็นคลื่นที่มีพลังงานสูงใกล้เคียงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) หากมีการเผชิญแสงสีฟ้าโดยตรงเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดอันตรายต่อชั้นผิวและดวงตาได้
แหล่งกำเนิดแสงสีฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- แหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ : แสงสีฟ้าจากดวงอาทิตย์
- แหล่งกำเนิดจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ : หน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์และหลอดไฟ LED
แสงสีฟ้าเป็นคลื่นที่มีพลังงานสูง สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้หลายด้าน ดังนี้
- เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ : แสงสีฟ้าจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินให้ออกมามากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดจุดด่างดำและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอค่ะ
- เกิดริ้วรอยก่อนวัย : การสัมผัสแสงสีฟ้าเป็นเวลานานอาจทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ดูไม่สดใส และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
- ผิวหน้าหมองคล้ำ : แสงสีฟ้าสามารถกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยและความหมองคล้ำ
- โรคจอประสาทตาเสื่อม : การได้รับแสงสีฟ้าในปริมาณมากเป็นเวลานานสามารถทำลายเซลล์ในจอประสาทตาได้
- ความเมื่อยล้าทางสายตา (Digital Eye Strain) : การจ้องหน้าจอนานเกินไป แสงสีฟ้าอาจทำให้เกิดอาการปวดตา แสบตา และมองเห็นไม่ชัด
- รบกวนการนอนหลับ : แสงสีฟ้าส่งผลกระทบต่อการผลิตเมลาโทนิน ทำให้นาฬิกาชีวภาพในร่างกายเสียสมดุล
การทาครีมกันแดดไม่เพียงแต่ปกป้องผิวจากรังสี UV เท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันผิวจากแสงสีฟ้าได้ด้วย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และค่า PA+++ ขึ้นไป เพื่อช่วยปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุมทุกรังสี และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อการปกป้องที่ต่อเนื่อง
การตั้งค่าความสว่างของหน้าจอให้พอดีกับสภาพแวดล้อม จะช่วยลดความเข้มของแสงสีฟ้าที่ส่องเข้าตาได้ ควรปรับให้ไม่สว่างจนเกินไป และเปิดโหมดกลางคืน (Night Mode) หรือโหมดกรองแสงสีฟ้าในช่วงกลางคืน เพื่อช่วยลดการรบกวนการนอนหลับ
หลัก 20/20/20 คือการพักสายตาทุก ๆ 20 นาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที วิธีนี้จะช่วยลดความเมื่อยล้าของดวงตา และลดผลกระทบจากการจ้องหน้าจอที่มีแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายอีกด้วย
การติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้าบนหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ ฟิล์มเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกรองแสงสีฟ้าโดยเฉพาะ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของภาพที่แสดงบนหน้าจอ ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสบายตามากขึ้น
แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีฟ้าโดยเฉพาะ สามารถช่วยปกป้องดวงตาจากอันตรายของแสงสีฟ้าได้โดยตรง ควรเลือกแว่นที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันที่ดีที่สุด และควรใส่ทุกครั้งเมื่อต้องใช้งานหน้าจอเป็นเวลานาน
ครีมกันแดดสามารถช่วยป้องกันแสงสีฟ้าได้ค่ะ เนื่องจากแสงสีฟ้าเป็นรังสีชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกับแสงแดดเหมือนกับรังสี UVA, UVB แต่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะครีมกันแดดแบบ Physical ที่มีส่วนผสมของ Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ซึ่งช่วยสะท้อนรังสีออกจากผิว
รวมถึงเลือกครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีหรือวิตามินอี เพื่อช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากแสงสีฟ้า
แสงสีฟ้าเป็นภัยเงียบที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะพบได้ทั้งจากแสงแดดธรรมชาติและพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผิว ดวงตา และคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้ การดูแลตัวเองและป้องกันอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยสามารถนำวิธีป้องกันง่าย ๆ ที่ได้แนะนำไว้ในบทความนี้ไปปรับใช้ได้เลยค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in