วันนี้เป็นวันเดินทางของเรากันแล้ว ตั๋วที่พวกเราได้มาต้องไปขึ้นที่เวียดนาม เราเลยซื้อตั๋วจากดอนเมืองไปเวียดนามของแอร์เอเชียกันไว้แต่เช้า จะได้มีเวลาไปกินเฝอกันสักถ้วย ก่อนบินไปเจอขนมปังในยุโรป ฉัน แม่ และน้ากิ๊กเคยมาโฮจีมินห์ซิตี้กันแล้ว 1 รอบ ครั้งนั้นเราสามคนตั้งใจมาเที่ยวที่โฮจีมินห์ และได้รับการต้อนรับเป็นการเสียค่าแท็กซี่จากสนามบินไปแพงมาก เพราะพอลงเครื่องมา ยังคำนวณสกุลเงินไม่ถูก แท็กซี่ก็มาพ่นไฟใส่เราว่าเมืองมันไกล นั่งแท็กซี่ไปกันเถอะ...พันกว่าบาท สบายใจ แต่ครั้งนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะหลังจากครั้งแรก น้ากิ๊กมาเที่ยวทั่วประเทศเวียดนามอีกสามรอบ จนแทบจะพูดภาษาเวียดนามได้อยู่แล้ว นางจำรถเมล์ สายรถเมล์ และราคาได้อย่างแม่นยำ พวกเราเลยฝากกระเป๋าไว้ที่สนามบิน แต่งตัวแบบสบายสุดๆ ไปเดินเล่นในเมืองโฮจีมินห์กัน
รถเมล์จากสนามบินเป็นรถเก่าๆ มีเสียงแปลกๆ ดังตลอดเวลา แอร์ไม่เย็น ขับเรื่อยๆ และบีบแตรตลอดเวลาตามเวียดนามสไตล์ เรามาถึงป้ายรถเมล์ใกล้ตลาดเบนถั่นในเวลาไม่ถึงชั่งโมง เราข้ามถนน ด้วยวิชาที่เรียนรู้จากการมาครั้งที่แล้ว คือข้ามไปเถอะ เดินลงไปเลย เดี๋ยวรถจะหยุดให้เราเอง เราอย่าหยุดเด็ดขาด และห้ามถอยหลัง กันเองเกิดอาการตกใจกับการข้ามถนนนิดหน่อย แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ ในตลาดเบนถั่นยังขายของแบบเดิม ราคาไม่แน่ใจว่าเท่าเดิมไหม แต่เราก็เดินผ่านของทุกชิ้นไปแบบเดิม เพื่อมุ่งตรงไปที่ร้านเฝอชื่อดัง ฉันจำได้ว่ามาครั้งที่แล้วทำเอาฉันขยาดเฝอไปเลย กินทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 1 มื้อ กลับไปถึงไทยไม่แตะก๋วยจั๊บญวณไปหลายเดือน แต่ตอนนี้กลับคิดถึงรสชาติกลมกล่อมของน้ำซุปใสๆ มีหอมหัวใหญ่ลอยเต็มชามซะแล้ว ได้กลับมากินอีกในรอบ 2 ปีก็ถือว่ารสชาติยังอร่อยไม่เปลี่ยนไปเลย แต่ให้กินติดกันสามวันอีกน่าจะไม่ไหว
พวกเราพยายามเดินหาห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แต่พบว่ามันไม่ใกล้เลย เดินไปถึงแอร์ก็ไม่เย็น และเราจำกันได้ดีว่าเคยกินไอศกรีมที่นี่ แล้วมันไม่เย็น โอเค พอ เดินจนเหงื่อพอจะหายเปียกก็ออกมาตามหาร้านขนมดีๆ สักร้าน ไปเจอร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ไกลจากตลาดเบนถั่นนัก มีรูปซอฟครีม และนำแข็งไสน่ากิน เราเลยเข้าไปนั่งกันทันที ที่นี่แอร์เย็น มีฟรีไวไฟ ขนมก็อร่อย คุ้มสุดๆ เรานั่งอยู่ที่นี่เกือบชั่วโมง จนใกล้ได้เวลากลับสนามบิน เลยเรียกเก็บเงิน กันเองเป็นคนอ่านบิลและถึงกับตกใจ ที่กินขนมแค่นี้ ราคาเป็นแสนตามสกุลเงินด่อง
เราเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์เดิม ยืนฝั่งที่รถเมล์จะวนกลับไปที่สนามบิน รอสักพักรถก็มาถึง ลงรถปุ๊บ พวกเราก็รีบไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ หาห้องน้ำเงียบๆ ในมุมไร้คนตั้งรกรากกันทันที หยิบกางเกงสบายๆ เสื้ออุ่นๆ ออกมา เราต้องแปลงร่างกันที่นี่ ล้างหน้า แปรงฟัน เช็ดตัว ไล่ความร้อน คราบเหงื่อไคลออกไปให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำกันได้ สภาพพวกเราอยู่ในชุดพร้อมนอน แต่ยังพอทนดูได้ เตรียมตัวสำหรับการอยู่บนเครื่องบินอีกเกือบ 20 ชั่วโมง
ก่อนอื่นก็ต้องโหลดกระเป๋า และเช็กอินกันก่อน แต่ดันเกิดปัญหาขึ้นมาซะแล้ว เพราะรูปในพาสปอร์ตและบัตรประชาชนกันเองยังเป็นรูปเมื่อนานมาแล้ว ตอนนางยังเป็นเด็กอ้วน หัวโปก วุ่นวายกันไปทั้งเคาท์เตอร์ เมื่อเทียบรูปแล้วไม่มีความใกล้เคียงกับตัวจริงเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้นางจะไม่ทำศัลยกรรม แต่น้ำหนักที่ลดลงไปเกือบ 20 กิโลกรัม บวกกับส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นอีกก็ทำให้นางดูเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนจริงๆ เราอธิบายกันอยู่นาน สุดท้ายส่งบัตรนักเรียนให้เจ้าหน้าที่ดู ซึ่งรูปในบัตรนักเรียนเป็นรูปตรงกลาง ระหว่างตอนอ้วนและตอนผอม ถ้าเอามาเรียงกันเป็นวิวัฒนาการ ต้องเรียงลำดับจากบัตรประชาชน พาสปอร์ต บัตรนักเรียน และรูปปัจจุบัน เกือบได้อยู่เวียดนามซะแล้วนะกันเอง
ระหว่างรอเครื่องที่เกต พวกเรานั่งกันแถวๆ ที่มีร้านอาหาร และตกลงปลงใจกันว่า กินข้าวสวยกันอีกสักจานก่อนจะขึ้นเครื่องดีกว่า เลยได้ลองข้าวมันไก่ เวียดนามสไตล์ และพบว่าอร่อยมาก ส่วนตัวเราคิดว่าอร่อยกว่าข้าวมันไก่ที่สิงค์โปรอีก ข้าวมันที่หุงได้เม็ดสวย นุ่มหนึบกำลังพอดี ไก่ที่หนานุ่ม ความมันของข้าวและไก่ถูกตัดด้วยน้ำจิ้มขิงรสชาติเผ็ดนิดๆ นี่เขียนไปน้ำลายยังไหลไป ถ้ามีโอกาสอยากจะกินอีกสักจานจริงๆ แต่มีเสียงเรียกให้เราขึ้นเครื่องแล้ว อ่ะ ได้เวลาเดินทาง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in