เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิฮงลูปไลน์zearet17
ญี่ปุ่นคือความฝัน
  • "ไปญี่ปุ่นอีกแล้ว!?” แม่ถามเชิงบ่นเมื่อรู้ว่าเรากับน้องสาวจองตั๋วไปญี่ปุ่นช่วงหน้าหนาวที่จะถึงนี้อีกแล้ว... กี่รอบแล้วก็ไม่รู้ 

    “ทำไม มันอะไรนักหนากับประเทศนั้น ปีใหม่ทั้งที อยู่ที่ไทยดีกว่าไหม เข้าวัดสวดมนต์ข้ามปี”
    แม่สวดเรากับน้องใหญ่

    “งั้นแม่ก็ไปด้วยกันสิ” เราชวน แต่รู้ว่าถึงชวนก็ไม่ไปอยู่ดี

    สำหรับคนที่เริ่มอ่านมังงะตั้งแต่ 5 ขวบ ญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่มากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว ญี่ปุ่นเป็นความฝัน แต่ถ้าจะให้ไปอยู้แล้วทำงานกับคนญี่ปุ่นก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า 

    ยาดะ มูริ ไม่ทำโว้ย!

    .
    .
    .

    “Where are you from?” คือสิ่งที่ custom โอจิจังถามตอนเห็นพาสปอร์ตตราครุฑสีน้ำตาลแดงใน Narita airport terminal 3 เที่ยวบินจากซีกโลกใต้เมื่อปีที่แล้ว

    “I’m actually from Brisbane but transfer at Crairns” คือคำตอบงงๆ ของเราหลังจากบินฝ่าพายุฝนมาเกือบ 18 ชม.ด้วยความหวังว่าที่โตเกียวฟ้าจะสว่างแบบลูกพระอาทิตย์

    สว่างห่าอะไร...ไฟลต์ลงสองทุ่ม

    “Are you going back to Brisbane?” คุณลุงถามพร้อมกับพลิกพาสปอร์ตของเราไปมา เพราะออสซี่ที่รักไม่ปั๊มวีซ่าลงบนนั้น

    “Nope, I’ll back to BKK” เรายิ้ม แล้วก็ตอบในใจต่อว่า and never back to Australia แดนจิงโจ้ ever again!

    “Holiday?” ลุงถาม เรารู้สึกว่าลุงอยากคุยกับเรามาก คงกลัวเราจะพกลูกจิงโจ้มา แต่เราเหนื่อยเหลือเกิน

    เราลากกระเป๋าใบโตสองใบ แบกเป้คอมและความเครียดในออสเตรเลียสองปีไว้บนบ่า 

    อยู่ที่โน้นเรานอนไม่หลับติดกันเกือบปีให้หลัง เราเหนื่อยกับการเรียนที่ไม่รู้จะไปต่อยังไง เหนื่อยกับงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารที่ไม่รู้จุดจบมันอยู่ตรงไหน งงมากว่าตัวเองไปทำอะไร เหนื่อยจนลืมตอนที่อยากไปสนิทใจ

    แต่ก็เลือกที่จะไปเอง ไม่มีใครบังคับตั้งแต่แรก

    เราเพิ่งสังเกตตัวเองหลังจากเครียดอยู่เกือบปี อยู่ที่นั่นเราหยุดฝัน ความเหนื่อยจากทั้งงานและเรียนทำให้คนขี้เพ้อแบบเราไร้จินตนาการ เราเขียนนิยายไม่ได้ วาดรูปไม่ได้ ฟังเพลงไม่ได้ นอนไม่ได้ถ้าไม่มียานอนหลับ เรารู้สึกว่าเมืองนั้นไม่เหมาะกับตัวเองเลย 

    และหลังจากตัดสินใจได้ว่าจะไม่ต่อวีซ่า เราก็จองตั๋วทันที...เพื่อไปญี่ปุ่น

    คืนนั้นเราไปถึงนาริตะหนึ่งทุ่ม เลยสปอยล์ตัวเองโดยการจองฮิลตันไว้หนึ่งคืนก่อนจะเข้าเมืองไปนอนแบ็คแพ็คโฮสเทลที่ราคาถูกสัดๆ ถูกแบบมีผ้าห่มให้ก็บุญหัว

    เราเดินออกนอก terminal ด้วยความรู้สึกสบายใจเหมือนได้วิ่งเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง 

    เราแอบคิดว่าจะนอนหลับมั้ยวะ...เพราะเราไม่หลับมาจะปีแล้ว

    แต่คืนนั้นเราหลับตั้งแต่สองทุ่มจนถึงแปดโมงเช้า รู้สึกว่าความเหนื่อยที่ออสแม่งเป็นเหี้ยอะไรสักอย่างที่เหี้ยมาก แต่หายไปแล้ว หายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

    วันนั้นเรามองยานอนหลับในเป้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ก็รีบลุกเพราะนัดน้องสาวไว้ตอนแปดโมงครึ่ง ซึ่งจะสายแล้ว 

    และทั้งทริปนั้นเรานอนตื่นเที่ยงทุกวัน แทบไม่ได้เที่ยวเลย จนน้องสาวบอกว่าถ้าจะแค่มานอนอย่ามา...

    แต่ก็แฮปปี้ฉิบหาย

    .
    .
    .

    “ถ้าคราวนี้ไปนอนอีก จะไม่ไปไหนด้วยอีกตลอดชีวิต” น้องสาวเราขู่ เราได้แต่ยิ้มแล้วก็บอกมันว่าคราวนี้จะดีกว่าเดิม

    “แล้วคราวนี้จะไปที่ไหน” แม่ถาม 

    เราเองก็งงๆ เพราะฝากเพื่อนกดตั๋วโปร จำไม่ได้หรอกว่าที่ไหน แต่ขอแค่ได้เดินฟุตบาทเรียบๆของญี่ปุ่นก็พอใจแล้ว

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in