เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เขาหลวงสุโขทัย ในวันที่ชนะใจตัวเอง :)Tb' Tangkwa
Session 01 - เขาหลวง สุโขทัย ในวันที่ชนะใจตัวเอง


  • เออ อืมมม.. แค่เริ่มต้นเห็นคำถาม สมองของฉันก็ประมวลคำตอบแบบหลากหลายมาก จะเป็นทริปที่ไปสัมผัสมาแล้ว หรือ เป็นทริปในฝันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตดีนะ พูดได้เลยว่า ทุกวันนี้ฉันคิดว่า การเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ปฎิแสธไม่ได้ว่า การเดินทางแต่ละครั้งทำให้พบเจอบางสิ่งบางอย่างที่ตัวฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จะได้เจอ ได้เห็น หรือ บางที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า นอนอยู่บ้านมันจะสบายกว่าไหมม อ๋อลืมบอกไปค่ะ ฉันสายเลือด Backpack นะคะ 555 เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า ฉันจะไม่คิดว่านี่คือคำตอบของคำถามนี้ แต่มันคือสิ่งที่ฉันอยากเล่าให้ทุกๆคนได้ฟังค่ะ

    เมื่อตอนเดือนกันยายนที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้ไปเดินป่ามาค่ะ ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันเห็นด้วยไปกลับเพื่อนร่วมทริป ตอบตกลงแบบไม่คิด อาจเป็นเพราะว่า ฉันมีความฝันว่า อยากไป เทรคกิ้งที่เนปาลสักครั้งหนึ่ง พอได้ยินว่าสถานที่ ที่เราจะไปก็ คือ อุทยานแห่งชาติสุโขทัย หรือเรียกสั้นๆว่า เขาหลวง จังหวัด สุโขทัย ต้องขึ้นเขา ระยะทางประมาณ 3.7 กิโลเมตร ไป-กลับ ก็รวมเกือบ 7.4 กิโล โดยที่เราจะไปค้างคืน บนนั้น 1 คืน บางคนอาจจะคิดว่าชิวๆ แน่นนอนค่ะ ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันชิวๆชิกๆคูลๆ แต่อะไรมันจะง่ายไปซะทุกอย่างมันก็คงไม่สนุก ใช่ไหมค่ะ? บอกก่อนว่าตัวเองยังไม่เคยไปเดินป่าเดินเขาที่ไหนสักครั้งเลยค่ะ ภูกระดึง เขาช้างเผือก ก็ไม่เคย เรียกได้ว่า เป็นการเดินป่าครั้งแรก แถมไปกับเพื่อน 2 คน แค่คิดภาพหัวใจมันก็เรียกร้องอยากให้วันที่จะเดินทางมาถึงเร็วๆ

    แล้ววันนั้นก็มาถึงค่ะ ตอนเช้ามาทำงานตามปกติเป็นวันที่ตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ ยิ้มให้งานที่กองอยู่ตรงหน้า เพราะ คิดว่าเย็นนี้จะได้ไปเที่ยวละโว้ยยยยย!!! เราเลือกเดินทางไปจังหวัดสุโขทัย โดยการนั่งรถไฟไปลงที่จังหวัดพิษณุโลกจากนั้นก็จะต่อรถจากพิษณุโลกไปยังจังหวัดสุโขทัย บางคนอาจจะสงสัย ทำไหมไม่ไปลงรถไฟที่เดียวที่สุขโขทัยละ คำตอบก็คือ มันไม่มีค่ะ ถึงยังงั้งก็ต้องมีคนแย้งขึ้นมาว่าทำไหมไม่นั่งรถทัวร์ไปเลยที่เดียวละ เออที่จริงมันก็ไปได้ถึงเลยต่อเดียว แต่ฉันไม่ชอบนั่งรถทัวร์เข้าเลือดค่ะ เลยเลือกการเดินทางโดยรถไฟ ถึงจะสองต่อแต่ถ้าบริหารเวลาดีๆทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา ออกเดินทางจากหัวลำโพง เวลาประมาณ 21.30 น. รถไฟจะไปถึงพิษณุโลกเวลา ตีสามกว่าๆ แน่นนอนฉันนอนแทบไม่หลับไม่ใช่เพราะตื้นเต้นแต่กลัวจะเลยสถานี ถ้าเลยนี่ยิงยาวถึง จังหวัดอุตรดิษฐ์ คงมีหวังได้ไปเที่ยวที่อื่นแทน เราเดินทางมาถึงเขาหลวง ประมาณ 8โมงเช้า ตามแผนที่วางไว้ กินข้าวเรียบร้อยก่อนเดินขึ้นเขา เมื่อทุกอย่างพร้อมกายพร้อมใจพร้อมลุยค่ะ

    ทริปนี้เราจ้างลุงลูกหาบชาวบ้าน 1 คน เป็น อายุประมาณ 50 ปี ลุงแก่บอกว่าให้เราเดินขึ้นไปก่อนเลย เดี่ยวแกขอรออีกกรุ๊ปก่อน โอเคค่ะ ไม่รีรอเดินหน้าเข้าชนค่ะ เห้ยนี่เหมือนจะไปรบมาก เราถ่ายรูปหน้าทางเข้าเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยให้กลับตัวเองก่อนเลย เซลฟี่สวยๆกันไป หันมาก่อนทางเข้าเราเจอไม้ที่นำมาทำเป็นไม้เท้าใช้ในการเดินป่า จึงไม่รีรอที่หยิบมาไว้เป็นตัวช่วยเสริมระยะทาง 1,000 เมตร แรกจะเดินไปเจอต้นประดู่ใหญ่บอกเลยว่าสำหรับคนที่ไม่ได้ฟิตร่างกาย หรือ ออกกำลังกาย มาก่อนมันเป็นระยะทางที่โคตรจะเหนื่อย เหนื่อยมาก กอไก่สองร้อยล้านตัว เว่อร์ไป ทางเดินเป็นทางขึ้นเขาอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ เหนื่อยแบบในหัวคิดว่า นี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ หัวใจนี่เต้น ตุบๆเป็นชังหวะ สามซ่า ที่สำคัญกว่านั้น ยุงเจ้าค่ะ ยุงเอ๋ย ผึ่งเอ๋ย แมลงหวี่ เยอะมาก บินมารบกวนโซนประสาทหู แทบอยากจะเอาไม้ช๊อตยุง ติดมือไปด้วยเลย ซึ่งเรื่องนี้เราลืมคิดไปซะสนิทใจรีบหยิบยาทากันยุงออกมาทาโดยเร็ว แล้วก็ได้แต่พูดคุยเล่นๆกับเจ้าพวกนั้นไปพลางๆว่าอย่ามาแกล้งกันเลย ผ่านไป 1,000 ม.แรก ไม่เจอแม้กระทั้งคนที่เดินสวนทางลงมา หันมองไปทางไหน ก็เจอแต่ต้นไม้ ต้นใหญ่ ต้นเล็ก สลับกันไป เสียงแมลง เสียงลิง ที่ลอยมาตามลม และที่สำคัญ เสียงหัวใจเราเอง ที่เต้นดังมาก พร้อมกับคำสั่งของสมองว่ากลับดีกว่าไหม แต่นี่มันเพิ่งเริ่มเองนะหันไปมองหน้าผู้ร่วมทริปก็ยังเห็นยิ้มแย้มแจ่มใส เอาว่ะสู้!ดิ ลบเรื่องกลับไปได้เลย แล้วเปลี่ยนเป็นต้องถึงจุดหมายเพราะตั้งใจมาแล้วเป็นไงเป็นกัน

    ระหว่างทางจะมีจุดพักเป็นระยะๆ พร้อมมีป้ายบอกทางตลอดว่าเมื่อเดินไปถึงจุดนี้ จะเจอไฮไลท์อะไรบ้าง ผ่านไป 1,400 ม. ก้มหน้าก้มตาเดิน เงยหน้ามาอีกทีเห็นป้ายบอกทางว่าอีก 200 ม.จะ ถึงจุดชมวิว ระหว่างนั้น เจอคนเดินตามหลังมาค่ะ ฝรั่งสองคนพ่อลูก เริ่มใจชื้น แต่ในใจก็แอบคิดว่า นี่ฉันเดินช้าหรือเปล่าฟ่ะ เราแวะคุยกันนิดหน่อย ให้กำใจกัน ก่อนจะจากกันพร้อมสายฝนที่โปรยลงมา ค่ะเขียนไม่ผิดแต่อย่างใด ฝนตกค่ะ ฝนตก แต่เราเตรียมพร้อมมากเพราะเราเอาเสื้อกันฝนมาด้วย ฝนมาทักทายเพียงเล็กน้อยก่อนจะจากไป พร้อมกับที่เราเดินมาถึงจุดชมวิวพอดี กับระยะ 1,600 ม. ที่เดินมาปาเข้าไปชั่วโมงนิดๆ นั่งพักสักเล็กน้อย ระหว่างที่นั่งพักอย่างสบายใจ ตาก็หันไปเห็น ลุงลูกหาบของฉัน แบกของมาเยอะมาก ในใจฉันคิดว่า โห้ ลุงทำไหมเดินเร็วจัง ทั้งๆที่ของก็เยอะ แถมเดินตามหลังฉันมาอีก ไม่ได้การละต้องทำเวลาให้ดีกว่านี้ ฉันพูดกับตัวเอง!!

    เมื่อพักพอหายเหนื่อยก็ออกเดินทางกันต่อ ระหว่างเดินฉันต้องสู้กับจิตใจตัวเองตลอดเวลา ต้องมีสติระหว่างก้าวเท้า เพราะถ้าพลาดไปขาพลิกคงจะยุ่งกันน่าดู ตลอดระยะทางที่เดิน ความคิดภายในหัวฉัน มีจุดโฟกัสอยู่ที่จุดหมายเพียงอย่างเดียว แทบไม่ฟุ้งซ่าน หรือ คิดกังวล เรื่องงานหรือ อนาคตเลย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ตัวฉันเองเป็นคนคิดมาก คิดล่วงหน้า เรียกได้ว่าจิตใจฟุ้งซ่านอย่างแท้จริง แต่การได้มาเดินป่าครั้งนี้กลับทำให้ฉัน อยู่กับความคิดในปัจจุบัน ซึ่งมันทำให้ฉันสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันเดินไปเรื่อยๆจะบอกเดินเรื่อยๆก็ไม่ได้ เพราะต้องแข่งกับระยะเวลาตลอดทาง แถมทางเดินเป็นทางขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง น้อยมากที่จะเป็นทางลาด บรรยากาศรอบๆตัวตอนนี้เริ่มมีหมอกมาทักทาย เนื่องจากฝนตก ธรรมชาตินี่มันมหัศจรรย์จริงๆ ตลอดระยะทางเดินเจ้า ยุ้ง แมลงหวี่ ผึ่ง จะแวะเวียนมาเยี่ยมตลอด ตอนแรกฉันมีท่าที่สู้รบกับมัน พอผ่านไปสักระยะ ฉันกับคุ้นเคย ราวกับว่าเราเป็นพวกเดียวกัน ฉันหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา เวลาสิบเอ็ดโมงพอดี นี่เราเดินป่า มาได้ สามชั่วโมงแล้ว แต่นับเป็นสามชั่วโมงที่ฉันได้อะไรอย่างมากมาย ใจหนึ่งฉันอยากขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่ชักชวนฉันมาที่นี่ อยากขอบคุณตัวฉันเองที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ไปกับความเหนื่อยล้าหรือความคิดที่อยากเดินกลับ ฉันตกลงกับเพื่อนร่วมทริปว่าเราจะกินข้าวทีเดียวเมื่อถึงจุดหมาย ระหว่างทางเราพยายามดื่มน้ำและกินขนมหวานเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับตัวเองตลอด พักเดินเมื่อรู้สึกเหนื่อย ไม่ฝืนร่างกาย ให้เวลาทำหน้าที่ของมันไม่เร่งรีบหรือกดกันตัวเองจนเกินไป เผลอแปปเดียวฉันเงยหน้ามองป้ายที่เราเดินมาประมาณ 3,000 ม.แล้ว เหลืออีก 700 ม. กว่าๆก็จะถึงจุดหมายเห็นเงาตามหลังมาแวบๆก็คือลุงลูกหาบ ฉันได้มีโอกาสคุยกับลุงลูกหาบ ซักประวัติแกสักเล็กน้อยจริงๆก็ไม่น้อย คุยเรื่องต้นไม้ระหว่างทาง เหมือนได้ไกด์ร่วมทางมาเพิ่มอีกคน ตอนนี้ ฉัน เพื่อนร่วมทริป ลุงลูกหาบ เดินร่วมทาง ไปพร้อมๆกัน ฉันจะคอยถามลุงลูกหาบตลอดเวลาว่าจะถึงหรือยัง ใครๆคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ตอนนี้ฉันจะขอเปลี่ยนเป็น ยิ่งสุงยิ่งเมื่อย มากๆๆ แล้วคำที่ชื่นใจก็ออกมาจากปากลุงลูกหาบว่า อีก 200 ม.จะ ถึงแล้ว

    ตอนนั้นจังหวะขาฉันก้าวเร็วยิ่งกว่าเดิม หัวของฉันโฟกัสไปที่สิ่งแรกที่จะทำหลังจากถึงจุดหมาย จะตะโกน หรือ เต้น หรืออะไรดี แต่แทบจะบอกได้เลยว่า มันเป็น 200 ม.ที่โครตจะเหนื่อยมากกว่า 3,000ม. ที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะมันเป็นทางเดินขึ้นตลอดทาง ระยะทางชันมากว่า 60 องศา แต่ตอนนั้นใจฉันมันมาไกลเกินกว่าคำว่ายอมแพ้แล้ว แล้ว 200 ม. สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี เมื่อมาถึงจุดหมาย ฉันเห็นป้าย ยินดีต้องรับผู้พิชิตยอดเขาหลวงสุโขทัยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,200 ม. สิ่งแรกที่ฉันทำต่างไปจากที่ฉันคิดไว้มาก เพราะ มันเป็นเพียงการพูดกับตัวเองเบาๆว่า ทำได้แล้วนะ แต่ทำไหมความรู้สึกมันถึงตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก หันบอกดูนาฬิกา เที่ยงๆกว่าๆ รวมๆเกือบ 4 ชั่วโมง แม้นจะเป็นระยะเวลาที่ไม่ดีนักสำหรับคนอื่นๆแต่สำหรับฉันถือว่าผ่านนะ พอถึงจุดหมายได้ไม่ทันไร ท้องก็ร้องเตือนว่าได้เวลาทานเข้าแล้ว กับข้าวมื้อที่สองของวันนี้ อร่อยอย่างบอกไม่ถูกแม้จะเป็นอาหารบ้านๆ หมูทอดกับข้าวสวยเท่านั้น หลังจากทานข้าวเรียบร้อย เราจัดแจงกลางเต้นท์สำหรับคืนนี้ ก่อนนั่งพักเอาแรง เพราะ ตอนสี่โมงเย็น เราวางโปรแกรมว่าจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยอดเขา พระแม่ยา ซึ่งต้องเดินจากจุดการเต้นท์ไปอีก 780 เมตร ได้ วันนี้มีคนขึ้นมากางเต้นท์ไม่มากนัก เกือบสี่โมงเย็นเราจึงรวมกลุ่มเพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกด้วยกัน หลังจากเดินทางมาถึงยอดเขาพระแม่ยา ฉันทอดสายตาออกไปไกลแสนไกล ด้านล่างเต็มไปด้วยป่าเขา มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนหลายๆทริปที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในวันนี้ คือการที่ฉันสามารถ เอาชนะใจตัวเองได้ ความสุขมันคือเรื่องง่ายๆแค่นี้เองจริงๆ เป็นความสุขที่เงินซื้อไม่ได้ แต่ฉันสร้างมันได้ ยิ้มให้ตัวเองหนึ่งที :)
  • หกโมงเย็นแล้ว พระอาทิตย์ทำหน้าที่อย่างดี ผ่านพ้นขอบฟ้าไปอย่างสวยงาม เรากลับมาที่เต้นท์ กินอาหารเย็น ก่อนจะรีบนอนเอาแรงเพราะวันพรุ่งนี้ต้องแข่งกับเวลา เนื่องจาก จองรถไฟกลับ ตอนบ่ายสองโมงเอาไว้ จะหมู่หรือจ๋าก็คราวนี้แหละ

    ฉันตื่นแต่เช้า ตอนแรกวางแผนจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะกลัวลงมาไม่ทันรอบรถไฟจึงรีบอาบน้ำกินข้าวก่อนออกเดินทาง ระยะทางเดินขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว การเดินลงยากและเหนื่อยไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นทางลงเขาตลอดทางและชันมาก มีก้อนหินขุระตลอดทาง จึงต้องมีสติขณะก้าวเท้ามากๆ ก้าวผิดมีหวังกลิ้งลงมาแน่นนอน แทบยังต้องรีบเดินแข่งกับเวลา เหนื่อยคูณสองเลยที่นี้ ตลอดทางลงวันนี้ ฉันพบเจอคนเดินสวนกันตลอดทาง ฉันยิ้มหรือบางทีก็พูดให้กำลังใจกัน สู้ๆนะ อีกนิดเดียว นับว่าเป็นคำพูดติดปากเลยก็ว่าได้ ก้มลงมองนาฬิกาอีกทีจะเที่ยงแล้ว ในใจเริ่มฟุ้งซ่านกลัวตกรถไฟ แต่ขามันเริ่มไม่ยอมก้าวแล้ว ฉันเดินแปปๆก็พัก คิดในใจว่าต้องคิดแผนสำรองแน่นนอน คงต้องเปลี่ยนเป็นกลับรถทัวร์ เงินที่ซื้อตั๋วไปแล้วก็ช่างมันแล้วกัน เพื่อนร่วมทริปพยายามพูดให้กำลังใจฉัน ความคิดในหัวตอนนี้เริ่มตีกันไปหมด ฉันยืนหายใจเข้า-ออกลึกๆอยู่สักพัก ก่อนพูดกับตัวเองว่า ตอนขึ้นยังทำได้ ตอนลงก็ต้องทำได้สิ อย่าเพิ่งท้อ ฉันเลิกสนใจความคิดเรื่องตกรถไฟ เริ่มเดินอย่างมีสติอีกครั้ง
    เผลอแปปเดียวก็เดินถึงทางออก พร้อมป้ายเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ก้มมองนาฬิกาอีกรอบเที่ยงพอดิบพอดี จึงรีบจ้ำขาวิ่งขึ้นรถเพื่อไปให้ทันรอบรถไฟ

    ตัดภาพมาที่สถานีรถไฟ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือขบวนรถไฟที่ฉันต้องเดินทางกลับ กำลังจะออกจากชานชาลา อยากให้ทุกคนได้ลุ้นค่ะว่าทันไหม !!! เพราะตอนนั้นขาฉันเพิ่มก้าวลงจากรถค่ะ นายสถานียกธงเตรียมออกเดินทาง ตอนนั้นขาวิ่งเร็วมากยิ่งกว่าวิ่งผลัด100เมตร ปากก็พูดออกไปว่า รอด้วยค่ะ อายก็อาย ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉัน  พูดได้เลยว่าเป็นการ วิ่งที่เร็วมากที่สุดในชีวิต สรุปทันค่ะ ขึ้นปุ๊ปรถออกปั้ป โล่งอก ตลอดทางที่นั่งรถไฟกลับบ้าน ฉันคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดสองวันที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าฉันพกโชคมาด้วยหรือเปล่าที่ทันขึ้นรถไฟพอดิบพอดี พกกำลังของตัวเองมาดีพอที่จะพิชิตยอดเขาหลวง พกเพื่อนร่วมทริปที่ดีที่ค่อยช่วยเหลือ กระทั้งพบเจอคนดีๆตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นแม้ค้าขายข้าว ลุงลูกหาบ เจ้าหน้าที่อุทยาน เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ แต่สิ่งที่ฉันพบแบบตอบคำถามให้ตัวเองได้ก็คือ ฉันพบความสุข ความสุขที่ฉันสร้างมันขึ้นมาด้วยกำลังของตัวฉันเอง และได้พบคำตอบอีกอย่างหนึ่งว่า ฉันรักการเดินป่า.



    แตงกวา.(แอบเจ้านายเขียน 8/01/59)



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in