อยากจะบ้าตาย..
นี่คือคำที่แอชเชอร์สบถในใจมาแล้วล้านรอบหลังจากที่ได้รับหน้าที่ ให้ดูแลลูกหมาป่าสีเทาอย่างเซเบอร์ ลูกสัตว์ยังคงตัวเล็กตามอายุนั้นดูไปก็น่ารักไม่หยอก สิ่งมีชีวิตที่ยังไม่แข็งแรงมากนักย่อมต้องได้รับการดูแลหากไร้แม่ของมัน
เจ้าของผิวขาวซีดทรุดนั่งบริเวณหน้าเตาผิงในห้อง แม้เดอะฮิลล์จะไม่ได้หนาวจัดเหมือนที่แดนเหนือแต่อุณหภูมิที่นี่ก็ยังจัดว่าต่ำอยู่ไม่น้อยในตอนกลางคืน จึงไม่แปลกที่ยังคงต้องหาความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
แอชเชอร์จัดท่าทางการป้อนนมให้ลูกหมาป่าในอ้อมแขน เสียงร้องครางหงิงๆในลำคอกับจมูกที่ดุนดันเข้ากับอก เป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่ามันกำลังต้องการน้ำนม มือเรียวรีบคว้าเอาผ้าที่ถูกชุบน้ำนมแล้วแตะปากเจ้าก้อนขนปุย
จะว่าเหมือนเลี้ยงเด็กเล็กก็คงจะผิด แต่มันติดที่ว่าแอชเชอร์ไม่ใช่คนที่เคยมาทำอะไรแบบนี้ต่างหาก ขนาดหมาป่าของตัวเองอย่างลุค แอชเชอร์เองก็ไม่เคยต้องมานั่งพะเน้าพะนอมันตั้งแต่เล็ก ผิดกับเซเบอร์ที่ถูกยัดใส่มือมา
คิดไปก็สาปแช่งไทเลอร์ไปด้วย ข้อหาที่ทำให้เขาต้องมาอดหลับอดนอน ทั้งๆที่เวลานี้เขาสมควรจะได้พักผ่อน อีกอย่างเขาเองก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดที่จะทิ้งให้เจ้าลูกหมาป่านี่นอนหิว
นี่ก็เข้าวันที่หกแล้วที่แอชเชอร์เลี้ยงเจ้าลูกหมานี่ ก็มีบ้างที่โจชัวจะแวะเวียนมาดู แต่ก็โดนเซเบอร์หมางเมินไม่สนใจ เพราะท่าทางเจ้านี่จะติดแอชเชอร์แจ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอนาคตคงจะได้ตามติดกันเป็นเงา เพราะหมาป่าพวกนี้มักจะคุ้นชินกับกลิ่นเดิมๆ
"โตขึ้นมา จะน่ารักเหมือนเดิมไหมแกเนี่ย.."
แต่หมาป่ายังไงมันก็คือหมาป่า ถึงหน้าตาจะไม่ได้จัดว่าน่ารักแต่มันก็มีมุมน่ารักของมัน คิดๆแล้วก็อดนึกถึงหมาป่าตัวสีขาวสะอาดของตัวเองอย่างเสียไม่ได้ เจ้านั่นน่ะแค่เอากระดูกอะไรโยนไปให้ก็แทะเล่นไม่ก่อกวน แถมยังเรียบร้อยและสุภาพต่างจากเจ้าหมาตาฟ้าของเชส
"ไม่น่ารักกับใคร ก็ขอให้น่ารักกับฉันก็พอ.."
จริงๆ เซเบอร์ก็เริ่มไม่น่ารักกับคนอื่นตั้งแต่ยังแค่นี้.. ยกตัวอย่างเช่นวันก่อนที่เจ้านี่ดันไปงับลูฟเข้าให้ จนหมอนั่นผวาไปไม่น้อย จากที่ตั้งใจจะมาเล่นด้วยก็กลายเป็นว่าแทบไม่กล้าเข้าใกล้
ร่างขาวพูดกับสัตว์ในอ้อมแขนไปเรื่อยเปื่อย อย่างน้อยคุยกับเจ้านี่มันก็ไม่ปากมอมเถียงเขาเหมือนใครบางคน
จะว่าไปช่วงอาทิตย์นี้ไทเลอร์เองก็ดูแปลกๆ หมอนั่นไม่ค่อยจะถกเถียงกับเขาเหมือนเคย แถมยังดูเครียดๆจนแอชเชอร์เองก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย แค่เวลาที่ใช้ไปในการฝึกซ้อม กับ เลี้ยงเซเบอร์ วันๆหนึ่งมันก็หมดไปอย่างรวดเร็ว
อีกหนึ่งความยากลำบากในการใช้ชีวิตตอนดึกดื่นแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นความหิว มื้อเย็นที่กินเข้าไปย่อมถูกย่อยไปจนหมด และครั้นจะให้แอชเชอร์ลุกไปหาอะไรกินตอนนี้ก็คงไม่วายต้องเดินผ่านร็อคกี้ที่นอนเฝ้าอยู่
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าไทเลอร์กำลังตัดทอนกำลังตัวเองเรื่อยๆ ทั้งอาหารการกินที่พอสำหรับคนปกติ แต่ใช้ไม่ได้กับคนที่ใช้พลังงานทั้งวัน มันก็ชัดเจนแล้วว่าไทเลอร์ไม่ต้องการให้เขาแข็งแรงได้เท่าแบบเดิม ลองได้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อที่เคยมีของแอชเชอร์คงได้ลดลงไปอีกมากโข
พยายามได้อย่างมากที่สุดก็คือการทำเนียน หยิบพวกขนมปังก้อนใหญ่ๆสักก้อนมาไว้กับตัว แล้วจัดการกินในตอนที่ไม่มีใครเห็น อาจจะดูทุเรศทุรังไปบ้างแต่มันก็คงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
อะไรที่ทำเพื่อตัวเองได้ แอชเชอร์ก็ต้องทำ เพราะตอนนี้เขาเองก็ตัวคนเดียวในที่แห่งนี้ มิตรที่ผูกไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นมิตรที่ไว้ใจได้เต็มที่ แล้วยังไม่นับพวกลูกน้องของไทเลอร์ในเดอะฮิลล์ที่เกลียดคนแดนเหนือยิ่งกว่าอะไร
อย่าให้ได้เห็นหน้าเขา ไอ้คนพวกนั้นมันก็พร้อมที่จะส่งถ้อยคำเหยียดหยามดูถูกให้คันไม้คันมือ จนอดไม่ได้ที่จะต้องใช้กำลังทั้งที่ออกแรงมาแทบตาย ต่อให้เดอะฮิลล์มีกฎไม่ให้คนในทะเลาะกัน มันก็คงใช้กับเขาไม่ได้ ข้ออ้างที่เถียงไทเลอร์ไปอย่างหน้าด้านถึงจะเสียศักดิ์ศรีนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้มที่ได้เอาเลือดออกจากหัวไอ้พวกชอบดูถูกนั่นได้
'นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน เพราะฉะนั้นมันจะผิดอะไรถ้าฉันจะไม่ทำตามกฎที่นายตั้งไว้..'
หลังจากที่แอชเชอร์เอ่ยคำพูดแสนอวดดีนั้นออกไป ก็ทำให้ไทเลอร์ที่กำลังยืนกอดอกตำหนิตัวเองนั้นถึงกับตีหน้ายักษ์ เพราะไม่คาดคิดว่าคำพูดกวนประสาทของตัวเองในวันนั้นจะกลายเป็นประโยคที่เอากลับมาตอกหน้าตัวเองในวันนี้
'พูดได้ดีเลสลีย์ จริงๆฉันก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่กับการที่นายถนัดในเรื่องการพูดกลับไปกลับมาเท่าไหร่ แต่ที่แปลกใจ ก็เพราะไม่คิดว่านายจะทำตัวไม่ฉลาดแบบนี้"
'งั้นคนฉลาดแบบนาย ก็น่าจะคิดได้นะว่าควรจะคุมคนของตัวเองยังไง'
'หลับหูุหลับตาเสียบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้นายเสียศักดิ์ศรี'
'....'
'หรือถ้าอยากจะสร้างศัตรูเพิ่มนักก็เรื่องของนาย..'
แววตาเรียบนิ่งกับน้ำเสียงดุดันนั้นไม่ต่างจากผู้ใหญ่ที่กำลังสอนเด็กหัวรั้นที่ไม่ฟังใคร บรรยากาศอึดอัดที่เคยมีอยู่เป็นทุนเดิมกลับคุกรุ่นจนแทบไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง ครู่ใหญ่เห็นจะได้ที่ไทเลอร์ยืนกดดันแอชเชอร์อยู่อย่างนั้นโดยไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปไหนจนกว่าจะคิดได้
และแอชเชอร์ก็ยังคงเป็นแอชเชอร์ที่ไม่ยอมให้ใครง่ายๆ
'ให้ฉันสู้กับมัน..' แม้แอชเชอร์จะรักความสงบ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเมินเฉยได้ทุกเรื่อง ถ้าทำแบบที่ไทเลอร์มันก็ต้องเป็นเขาที่อดทนอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด 'ต่อหน้าทุกคน..'
'ความทะเยอทะยานของนาย มันไม่มีที่สิ้นสุดดี'
หลายครั้งที่ไทเลอร์มักจะพูดคุยกับแอชเชอร์ราวกับไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่ต่างฝ่ายต่างจะรู้ความคิดของกันและกัน ในแง่ของคนที่คาดเดาคนอื่นได้เก่ง
'เพราะนายเป็นหมากในเกม ที่ฉันอยากล้มมากที่สุด'
'งั้นอย่างแรกที่นายควรทำ ก็คือสวดภาวนา'
คำตอบแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการบอกให้แอชเชอร์เลิกหวังในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในที่สุดจนแล้วจนรอดแอชเชอร์ก็ได้ทำในสิ่งที่เอ่ยปากบอกอีกฝ่าย หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ยอมให้แอชเชอร์ต่อสู้กับอัลฟ่าปากดีที่แกว่งปากหาเสี้ยน ด้วยพละกำลังของอัลฟ่าทำให้การต่อสู้ในช่วงแรกค่อนข้างที่จะคาดเดาว่าฝ่ายไหนจะชนะ กฎง่ายๆที่ไทเลอร์พูดไว้ก่อนจะเริ่มต่อสู้ นั่นคือการทำยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายลุกไม่ขึ้นโดยการใช้มือเปล่าและไม่มีอาวุธ
แอชเชอร์จำได้ว่าตัวเองชนะในสภาพที่ตัวเองก็สะบักสะบอมไม่แพ้กัน ต่อให้ไทเลอร์บอกว่าแค่ลุกไม่ขึ้น คนอย่างเขาก็ใจดีพอ ที่จะสงเคราะห์อัลฟ่าปากเสียนั่นด้วยการทำให้ขาขวาหักจนลุกไม่ขึ้น เรียกได้ว่าเอาไว้เป็นของขวัญต่างหน้าให้นึกถึงตัวเองไปจนกว่าจะหายดี
ความโกรธและความหงุดหงิดที่สะสมมาตลอดหลายอาทิตย์ในการอยู่ที่เดอะฮิลล์ ถูกระบายลงที่อัลฟ่าโชคร้ายนั่นอย่างเต็มที่ วินาทีนั้นเขาไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าตัวเองจะถูกเกลียดเพิ่มมากขึ้น หรือ ถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา
เลสลีย์ไม่เคยสอนให้เขาทำตัวจนตรอก และศักดิ์ศรีที่มีก็ไม่ควรเส่ียให้ใคร..
"ถ้าจะเหม่อขนาดนี้ สงสัยคืนนี้หมานายมันคงได้หิวตายก่อนพอดี" เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังเหม่อคิดถึงเรื่องอื่นในหัวหลุดออกจากภวังค์ และเมื่อก้มลงมองเจ้าจนปุยในอ้อมแขนก็พบว่ามันกำลังมองหน้าตัวเองตาปริบๆ ราวกับกำลังอ้อนขอน้ำนมที่สมควรจะได้รับ
"ขอบคุณที่วุ่นวาย" แอชเชอร์ย้อนเสียงแข็ง ก่อนจะใช้ผ้าจุ่มน้ำนมให้เซเบอร์ใหม่
"ท่าทางนายคงไม่เคยเลี้ยงพวกเกรย์วูล์ฟตอนยังไม่โต" เชสเดินเข้ามาทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆกับตรงที่แอชเชอร์นั่งก่อนจะเปิดบทสนทนา
"นายพูดถูก และนี่ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่านายกำลังแกล้งฉัน"
"มันก็แล้วแต่นายจะคิด" ไทเลอร์ไม่ได้ชวนอีกฝ่ายต่อล้อต่อเถียงอะไรต่อ นอกเสียจากจะนั่งมองเลสลีย์นั่งป้อนนมให้ลูกหมาป่าต่อไปเรื่อยๆ จนอิ่ม ซึ่งคนถูกมองเองก็ไม่ได้อ้าปากเหน็บแนมอีกฝ่ายอย่างทุกทีที่ทำเช่นกัน คงเพราะต่างคนต่างเหนื่อยในวันนี้เกินกว่าที่จะมานั่งต่อล้อต่อเถียง มันถึงทำให้ตอนนี้บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ดูอึดอัดน้อยลง
"ในฐานะที่นายเคยเลี้ยงเกรย์วูล์ฟมาก่อน ต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่ามันจะเข้ากับฝูงได้"
"ก็คงสักประมาณสิบเดือน จริงๆ ช่วงนี้นายก็พาเซเบอร์ออกไปเจอพวกการ์เดียนบ้าง พวกมันจะได้คุ้นเคยกัน"
"มันจะไม่กัดเซเบอร์หรือไง"
"ฉันพูดว่าพาไปเจอ ไม่ได้ให้พาไปเล่น"
"เหนื่อยจะพูดกับคนอย่างนาย"
เชสหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นท่าทางหัวเสียของอัลฟ่าแดนเหนือ จะว่าไปเลสลีย์ก็ทำอะไรหลายอย่างให้หัวหน้าหน่วยอย่างเชสแปลกใจได้อยู่ตลอด แม้จะเห็นเจ้าตัวฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน จนกลับมานั่งเลี้ยงเซเบอร์ที่บ้านพักด้วยหน้าตาเหมือนคนหมดแรง แต่พอวันรุ่งขึ้นเชสก็จะเห็นความมุ่งมั่นที่มีขึ้นมาใหม่ และอีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวทำให้คนในเดอะฮิลล์ไม่กล้าปริปากก็คือเรื่องครั้งก่อน
เลสลีย์อัดลูกน้องของเชสเสียน่วมท่ามกลางสายตาของคนนับร้อยที่มาดู ความบ้าดีเดือดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งทำเอาคนพวกนั้นถึงกับก้าวถอยห่าง นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่แลกศักดิ์ศรีของตัวเองต่อให้ต้องเจ็บตัว
"โตมาแล้วอย่านิสัยเหมือนเจ้านายแกล่ะเซเบอร์" เชสหันไปพูดกับลูกหมาป่าที่นอนหลับอยู่บนกองผ้าก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองที่คนตัวขาวซึ่งกำลังทำหน้าไม่พอใจ
"แล้วมันจะแปลกตรงไหน ขนาดหมานายยังนิสัยเหมือนนาย"
"นายนี่ดูฉุนเฉียวทุกทีที่คุยกับฉันจริงๆ ขนาดต่อปากต่อคำกับเอริคฉันก็ยังไม่เห็นนายเดือดดาลเท่านี้"
"บวกด้วยความที่ไม่ชอบขี้หน้านายด้วยล่ะมั้ง"
"ปากนายก็ไม่ได้แพ้ฉันสักเท่าไหร่หรอก" เจ้าของผิวสีแทนตอบด้วยน้ำเสียงโมโนโทนตามแบบฉบับของตัวเอง
"มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า มาชวนฉันคุยเรื่อยเปื่อยแบบนี้มันเสียเวลานอน"
"ที่แท้ก็ง่วง.."
"ถ้ายังไม่พูด ฉันจะไปนอนแล้ว อยากนั่งคุยกับเตาผิงก็เชิญตามสบาย" พูดจบก็ตั้งท่าจะอุ้มเจ้าลูกหมาป่ากลับห้องของตัวเองแทนที่จะอยู่ใช้อากาศร่วมกับไทเลอร์
"เดี๋ยว..." มือใหญ่คว้าแขนของอีกฝ่ายในจังหวะที่เจ้าตัวกำลังจะเดินหนีไว้ได้ทัน แรงจำนวนไม่น้อยที่จับทำให้คนหวงตัวอย่างแอชเชอร์สะบัดออกในทันที
"ฉันไม่ชินกับการให้ใครมาถูกตัว.." เจ้าของผิวขาวเอ่ยเสียงเรียบก่อนที่อีกคนจะเข้าใจผิด "ไม่ได้ตั้งใจจะเสียมารยาท"
เชสเองก็ไม่ได้ถือสาอะไรคนหวงตัว ซ้ำยังเข้าใจเสียด้วยว่าทำไมเจ้าตัวถึงมีนิสัยแบบนี้ เด็กชายที่เติบโตในตระกูลเก่าแก่ของพวกขุนนางที่เป็นผู้มีอำนาจ ย่อมได้รับการถ่ายทอดนิสัยบางอย่างที่มองปราดเดียวก็สามารถรับรู้ได้
"ฉันก็ลืมคิด.."
"มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ ขืนนายลีลากว่านี้แขนฉันได้โดนเหน็บกินพอดี" แอชเชอร์ก้มมองเจ้าขนปุยในอ้อมแขนที่มีน้ำหนักไม่น้อยซึ่งกำลังหลับปุ๋ย
ยังไม่ทันที่แอชเชอร์จะได้พูดอะไรต่อ ไทเลอร์ก็เข้ามาอุ้มเซเบอร์ก่อนจะเดินออกไปหน้าห้อง แล้ววางมันไว้ให้นอนข้างๆกับร็อคกี้ โดยที่เจ้าของนั้นได้แต่ยืนอ้าปากค้างเพราะความตกใจ
"ร็อคกี้ไม่ทำอะไรมันหรอกน่า"
"นายไว้ใจหมานาย แต่ฉันไม่ไว้ใจ นายจะบ้าหรือไง!"
"งั้นนายดูก่อนสิ ว่าร็อคกี้มันทำอะไรไหม"
เชสเบี่ยงตัวหลบให้แอชเชอร์ได้ดูสภาพของหมาป่าตัวใหญ่กับเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ด้วยกัน ร็อคกี้ทำเพียงแค่เหลือบตามองยามที่เห็นเจ้าก้อนขนขยับเข้าซุกหา แล้วหลับตาลงนอนต่ออย่างไม่สนใจ
"แต่มันก็ดูไม่น่าไว้ใจอยู่ดี.."
"นายกำลังเถียงคนที่เคยเลี้ยงเกรย์วูล์ฟแบบฉันงั้นสิ.."
"ก็ฉันเป็นห่วงเซเบอร์" ปากบางพูดอ้อมแอ้มโดยที่ไม่ละสายตาออกห่างจากหมาป่าที่อยู่ในความดูแลของตัวเอง "นายให้ฉันแล้ว"
"ห่างกับมันสักหน่อยคงไม่ทำให้นายขาดใจ"
"นายนี่มันต้องมีปัญหาเรื่องการพูดแน่ๆไทเลอร์"
"แต่ก็โชคดีที่นายฟังฉันเข้าใจทุกที"
///
แอชเชอร์ที่นั่งนิ่งเงียบไปนาน เอ่ยปากถามคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่พูดได้ไม่เต็มปากนัก เรื่องที่ไทเลอร์มาพูดกับแอชเชอร์เมื่อครู่มันค่อนข้างจะฉุกละหุก อีกทั้งยังทำให้แอชเชอร์หัวตื้อจนคิดอะไรไม่ออก
'พรุ่งนี้พวกแดนเหนือจะมาที่นี่...'
'ฝั่งฉัน?'
'พวกสเปนเซอร์..'
วินาทีที่แอชเชอร์ได้ยินนามสกุลที่ตัวเองนึกคับแค้นอยู่ในใจอยู่ทุกวันทุกคืน
'นายคงอยากจะเจอพวกนั้นใจแทบขาด'
'เปลี่ยนเป็นคำว่าอยากฆ่าคงจะเข้าท่ากว่า' แอชเชอร์รู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว ฝั่งนั้นจะต้องมาตามตัวเขา เสี้ยนหนามถ้าหากจะกำจัดก็ต้องกำจัดให้หมด หากเหลือไว้มันก็รังแต่จะคอยกลับมาทิ่มแทงให้รำคาญใจ
'นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้'
'ทำไมฉันจะทำไม่ได้'
'ฉันจะไม่ปล่อยให้คนนับร้อยนับพัน ต้องเดือดร้อนเพราะแค่คนๆเดียว'
'งั้นนายก็ปล่อยฉันไป เราจะได้ไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ฝั่งนายก็จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนถ้าฉันทำอะไรลงไป'
'ฉันปล่อยนายไม่ได้' เชสตอบเสียงแข็งก่อนจะใช้สายตาคมปรามแอชเชอร์ 'นายคิดว่าฉันช่วยชีวิตนายพา เพื่อให้นายไปตายหรือยังไง'
'เหตุผลของนายมันไม่เคยมากพอที่จะทำให้ฉันเข้าใจ' เหตุผลแต่ละอย่างของไทเลอร์มันก็ฟังดูดี แต่คนที่คิดทุกอย่างถี่ถ้วนแบบแอชเชอร์ไม่มีทางที่จะเชื่อเหตุผลเพียงแค่นี้ 'ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ อะไรที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเดอะฮิลล์ คนอย่างนายต้องไม่มีทางเก็บมันไว้'
เชสยังคงนั่งนิ่งเงียบฟังในสิ่งที่อัลฟ่าแดนเหนือเคลือบแคลงในการกระทำของตนเอง
'นายคิดว่าตัวเองจะทำอะไรคนพวกนั้นได้สักเท่าไหร่ ฉันไม่เถียงหรอกนะว่าตัวนายเก่งเรื่องสู้ตัวต่อตัว แต่ลืมไปหรือเปล่าว่าพวกนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว ตอบฉันมาหน่อยสิว่านายจะทำยังไง'
'มันไม่ใช่เรื่องของนาย' เจ้าของใบหน้ารูปสลักตอบอย่างถือดี เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของคนแดนเหนือไม่ใช่ของคนพวกนี้ นั่นทำให้ไม่มีทางที่แอชเชอร์จะยอมร้องขอความช่วยเหลือจากฝั่งคนที่ไม่ได้เป็นมิตร
'จนตรอกขนาดนี้ก็ยังอวดดีไม่เลิก'
'นายมันคิดผิดตั้งแต่ช่วยฉันแล้วไทเลอร์..' การช่วยแอชเชอร์มันก็ไม่ต่างจากการตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกสเปนเซอร์ที่จ้องล่าหัวนายน้อยของเลสลีย์ 'ถ้าทุกอย่างจะพังมันก็เพราะการตัดสินใจงี่เง่าของนาย'
'งั้นก็รู้เอาไว้ด้วย ว่าคนอย่างฉันสามารถช่วยนายได้'
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเลสลีย์คนเล็กก็เอาแต่จ้องหน้าไทเลอร์นิ่ง ราวกับไม่เชื่อว่าที่เชสพูดมาคือเรื่องจริง
'เลิกเอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่นกับฉันสักที'
'ฉันไม่เคยผิดคำพูด' ไทเลอร์ล้วงหยิบของบางอย่างที่อยู่ในเสื้อตัวเองส่งให้แอชเชอร์เมื่อเห็นว่าอัลฟ่าแดนเหนือยังคงไม่ไว้ใจตัวเอง 'ฉันว่าสิ่งนี้คงพอยืนยันให้นายมั่นใจได้'
ทันทีที่แอชเชอร์เห็นสิ่งที่อยู่ในมือของไทเลอร์ มันก็ทำให้ก้อนเนื้อในอกชาหนึบ ร่างขาวยังคงนิ่งไม่ขยับเพราะในหัวยังคงเอาแต่คิดเรื่องต่างๆนานาที่เกิดขึ้น
มันจะมีความเป็นไปได้ได้ยังไงที่ไทเลอร์จะมีเข็มกลัดของตระกูลเลสลีย์อยู่ในมือ..
'นายมีมันได้ยังไง' มือสวยรับเอาเข็มกลัดนั้นมาเพ่งพินิจมองอย่างช้าๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ 'ไม่มีทางที่นายจะได้มันมา...'
'ฉันได้มันมาจากพี่นาย.. หมอนั่นฝากมันมากับสโนวี่อาวล์'
ใช่... เข็มกลัดที่อยู่ในมือแอชเชอร์ตอนนี้คือเข็มกลัดของอาเธอร์ ทำไมแอชเชอร์จะจำมันไม่ได้ เจ้าตัวจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารอยตำหนิที่เกิดขึ้นเพียงนิดหน่อยจนแทบมองไม่เห็นนั่นเกิดจากฝีมือตัวเอง เมื่อครั้งที่เจ้าตัวเอาเข็มกลัดของพี่ชายไปเล่นจนได้เรื่อง
'แค่นี้มันพอไหมที่จะทำให้นายมั่นใจ'
เชสถามย้ำคนที่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมปริปากพูดอะไรสักคำราวหลายนาที ในขณะที่มือเรียวสวยยังคงลูบไปตามเข็มกลัดนั่นซ้ำๆ
'ทั้งที่อาเธอร์ติดต่อมา ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกฉัน..'
เมื่อยามที่แอชเชอร์เงยหน้าขึ้นมา มันก็ทำให้ไทเลอร์ได้เห็นดวงตาที่แดงก่ำของเจ้าตัว นัยน์ตาคู่สวยที่เคลือบด้วยน้ำสีใสสะท้อนกับแสงของเปลวไฟที่ส่องสว่างในเตาผิง นั่นคงเป็นครั้งแรกที่ไทเลอร์ได้เห็นความอ่อนแอในตัวของเลสลีย์คนเล็กที่แสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด
เป็นความอ่อนแอที่สวยงามในความแข็งแกร่งเสียจริง...
'หมอนั่นไม่ต้องการให้นายรู้..'
'ช่างหัวหมอนั่นสิ! ทั้งที่นายรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังเลือกที่จะช่วยปิด..'
ความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจมันตีปะปนในใจของแอชเชอร์ให้สับสนไปหมด
'เพราะนายมันวู่วาม คิดแต่จะแก้แค้นจนลืมทุกอย่าง คนแบบนายต่อให้เก่งแค่ไหนมันก็ตายมานักต่อนัก'
'แล้วคนเป็นน้องแบบฉัน ไม่มีสิทธิรู้เลยหรือไงว่าพี่ชายตัวเองเป็นยังไงบ้าง'
'ถ้าหมอนั่นยังแอบส่งของมาให้ฉันได้ ก็เท่ากับว่ายังมีชีวิต'
'แต่เข็มนี่ต้องอยู่บนอกของอาเธอร์ ไม่มีทางที่เขาจะถอดมันออก'
'ขนาดนายยังโดนถอดเข็มกลัดนี่ออก แล้วนับประสาอะไรกับพี่ชายนายหรือเลสลีย์'
"สิ่งที่นายต้องทำก็คือหลบออกไปจากที่นี่สักพัก"
"พวกนั้นไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าฉันไม่ได้อยู่ที่นี่" แอชเชอร์แย้งกลับเชสทันทีเมื่ออีกฝ่ายเสนอทางเลือกให้ตัวเองมาแบบนั้น "เซบาสเตียนเห็นกับตาว่านายช่วยฉัน"
"ตามปกติแล้วถ้าเป็นคนแดนเหนือที่เข้ามาจะต้องถูกส่งไปที่หน่วยกลาง ข้อนี้จะทำให้ฉันอ้างกับพวกนั้นได้"
"แล้วนายคิดว่าคนอย่างริโอจะเชื่อนายงั้นเหรอ"
"ถ้าไม่เชื่อ ฉันก็จะให้ค้น.." เชสว่า "เพราะต่อให้คนให้ตาย พวกมันก็ไม่มีทางเจอนาย"
"ไม่มีทางเป็นไปได้ หมาป่าฝั่งนู้นจมูกดียิ่งกว่าอะไร ให้ฉันหนีแค่ไหนพวกมันก็ต้องตามกลิ่นเจออยู่ดี"
"เพราะฉะนั้นนายถึงต้องกลบกลิ่น.."
"กลบกลิ่น?"
นี่เป็นเรื่องที่อัลฟ่าหน้าไหนก็ไม่มีวันยอมทั้งนั้น ในลำดับชั้นของการใช้ชีวิตก็เป็นที่รู้กันดีว่าอัลฟ่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดกว่าทั้งโอเมก้าและเบต้า นั่นเป็นไปไม่ได้ที่พวกที่ถือดีในตัวเองจะยอมให้ใครเอากลิ่นมากลบกลิ่นตัวเอง
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อัลฟ่าจะได้กลิ่นด้วยกันเอง ไม่ต่างจากการที่ได้กลิ่นโอเมก้า แต่มันต่างกันที่ว่ากลิ่นของอัลฟ่านั้นมันมีผลในเชิงของการแสดงอำนาจ และนั่นก็คงไม่ใช่สิ่งที่ดีสักนิดหากต้องได้กลิ่นของพวกที่มีอำนาจเหนือกว่าตัวเอง
"ฉันขอปฏิเสธ ฉันไม่มีทางเอากลิ่นของนายมากลบบนตัวฉันแน่ๆ" แอชเชอร์ยืนกรานอย่างไม่ยอม
"แล้วนายมีทางเลือกอะไรอีก?" คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงถามก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ฉันไม่ได้บีบนาย ก็เห็นๆกันอยู่ว่าสถานการ์ณตอนนี้มันบังคับ"
ต่อให้กลิ่นไม้สนซีดาร์ของไทเลอร์มันจะหอมแค่ไหน แต่คนที่เหม็นขี้หน้าไทเลอร์เป็นทุนเดิมอย่างเลสลีย์ก็กระอักกระอ่วนเหลือเกินที่จะรับความช่วยเหลือนี้
"อันที่จริงนายควรรีบบอกฉันให้เร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ ทำแบบนี้มันไม่เท่ากับว่านายไม่ให้เวลาฉันหรือไง"
"เลิกหาเหตุผลมาหลอกให้ตัวเองมีทางเลือกสักที"
"แล้วฉันจะต้องหลบไปที่ไหน?" เมื่อจนมุมเข้าจริงๆ แอชเชอร์ก็ต้องจำใจยอมรับทางเลือกนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ศักยภาพของพวกเกรย์วูล์ฟเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่ควรประมาท
"ชาลีจะเป็นคนพานายไปพรุ่งนี้..."
"นายว่าไงนะ!"
"ถึงชาลีจะไม่ใช่มนุษย์เหมือนพวกเรา แต่ฉันก็ไว้ใจมันมากที่สุด อีกอย่างมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ใครสักคนที่สนิทกับฉันพานายไป" หากว่าเอริค โจชัว หรือ ลูฟ หายไปสักคน มีหรือที่คนอย่างริโอจะไม่สงสัย และเมื่อใช้คนไม่ได้ก็ต้องใช้พวกเกรย์วูล์ถึงจะเข้าท่ามากที่สุด
อย่างน้อยพวกมันก็ต้องออกไปลาดตระเวนเป็นเรื่องปกติ ถ้าจะสงสัยก็คงเป็นที่เคลือบแคลงใจได้น้อยมากที่สุด
"ฉันอาจจะตายเพราะหมานายก่อนโดนพวกนั้นฆ่า" ่จ่าฝูงนั่นชอบหน้าแอชเชอร์เสียที่ไหน เรียกได้ว่ามองข้ามหัวทุกทีเลยก็เห็นจะถูก
"ก็คงต้องลองเสี่ยงดู.." เชสกระตุกยิ้มมุมปากด้วยความเคยชิน "หรือนายกลัว?"
"ฉันไม่ได้กลัว!"
#youngmastermn
"ถ้าไม่ได้ชาลี ฉันคงไม่รอดแน่ๆ"
ทอร์ค : หายไปหลายวันแต่กลับมาแล้วนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in