'สรุปว่านายก็ยังยืนยันคำเดิมใช่ไหม..' รีส เบลเลอมอนท์ เอ่ยถามคนเป็นน้องชายซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจของตัวเอง ดวงตาคมกริบนั้นเป็นตัวคาดคั้นที่มีคุณภาพยิ่งกว่ามีดที่จ่อคอยิ่งกว่าอะไรดี
'ฉันไม่เปลี่ยนใจ.. ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ยังยืนยันว่าเป็นแอชเชอร์'
'เห็นความมั่นใจของนายที่แน่วแน่ขนาดนี้แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรอีก" คำตัดพ้อกลายๆของรีส นั้นไม่ได้ช่วยให้ไทเลอร์รู้สึกที่จะเปลี่ยนใจสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งเพิ่มความน่าหมั่นไส้เสียมากกว่า
'ฉันไม่ได้บังคับให้นายพูดเสียหน่อย'
คำยอกย้อนของไทเลอร์คนน้องไม่ได้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของรีสจืดจางลงแม้แต่น้อย ซ้ำยังทำให้รีส เบลเลอมอนท์รู้สึกสนุกเพิ่มมากขึ้นจนอดใจไม่ไหว
'อย่าคิดจะซ่อนเด็กคนนั้นก็แล้วกัน เพราะยังไงเสียฉันเองก็ต้องคุยกับเลสลีย์คนเล็กอยู่ดี.."
'ที่นี่ไม่ใช่ฟลัม ฉันคงยอมให้นายมาใช้อำนาจที่นี่ไม่ได้"
'ท่าทางหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์จะหวงเลสลีย์คนเล็กน่าดู'
อัลฟ่าผมสีแดงยังคงเย้าแหย่น้องชายตัวเองไม่เลิก ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ว่าเชส ไทเลอร์ นั้นเริ่มไม่เล่นด้วยแล้ว
'ฉันหวง ชัดพอไหม'
'ก็ให้มันชัดเจนจนถึงวันที่ต้องเจอพี่ชายนายอีกคนก็แล้วกัน'
'นายก็รู้ดีว่าฉันไม่กลัว'
'เพราะคนที่ต้องกลัวจริงๆคือเลสลีย์ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?'
'.....' เป็นเชส ไทเลอร์เองที่นิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น
'เงียบเลยแห้ะ สงสัยจะจี้ใจดำไปหน่อย' รีสเดาะลิ้นอย่างกวนประสาทเมื่อเห็นน้องชายคนเก่งนั้นนิ่งไป หากให้เดาแล้วก็คงกำลังคิดไม่ตกอย่างหนักเป็นแน่
'ฉันจะเป็นคนพูดกับเขาด้วยตัวเอง ส่วนนายก็อย่าปากสว่างให้มันมากนักก็แล้วกัน'
'ถ้าน้องชายอยากให้พี่ชายคนนี้ปิดปาก มันก็ต้องได้อยู่แล้ว :)'
'ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน'
'หมอนั่นคงเสียใจน่าดูที่น้องชายสุดที่รักทำแบบนี้..'
'แล้วนายเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำบ้างไหม' แววตาที่คาดคั้นของเชส ไทเลอร์ ทำให้รีส เบลเลอมอนท์ถอนหายใจออกมาหนักๆ
'ถ้าฉันตอบว่าไม่เสียใจ มันก็คงจะเป็นเรื่องโกหกเกินไปหน่อย..' ท่าทางเจ้าเล่ห์ก่อนหน้าหายไปในทันทีเมื่อรีสเริ่มเข้าเรื่องจริงๆจังๆ 'นายอาจจะยอมรับได้ แต่สำหรับพี่ชายอย่างฉันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสักนิด ไม่ต้องให้ฉันพูดนายก็น่าจะรู้ดีนะว่าเพราะอะไร..'
'งั้นก็ขอให้นายรู้ไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะฉันตั้งใจ ไม่ใช่ความผิดพลาด'
'นั่นยิ่งแล้วใหญ่เลยเชส.. ความผิดของนายมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ'
'นายรู้ดีน่ารีสว่าต้องจัดการมันยังไง'
'ถึงฉันจะจัดการให้นายได้ แต่ก็ใช่ว่าปัญหาทุกอย่างมันจะจบ..'
'เรื่องนี้จะมีแค่เราเท่านั้นที่รู้'
'ก็อย่าให้ฉันทนไม่ไหวจนต้องพูดเองก็แล้วกันน้องชาย..'
ความลับบัดซบพวกนี้ควรมีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รับรู้...
////////
ภายในบ้านพักของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศของความน่าอึดอัดบางๆระหว่างอัลฟ่าแดนเหนือและทรูอัลฟ่า แม้ไทเลอร์จะยังคงกวนประสาทเหมือนเคยแต่สิ่งที่ทำให้เลสลีย์คนเล็กรู้สึกว่าเจ้าตัวไม่เหมือนเคยก็คงจะเป็นสายตาเสียมากกว่า
เป็นแอชเชอร์ เลสลีย์ ที่เดินเข้ามาภายในบ้านก่อน และตามมาด้วยไทเลอร์ที่เดินตามเข้ามา ก่อนเจ้าตัวนั้นจะเลี่ยงหายเข้าไปอีกทางด้านหนึ่งของบ้าน ฝ่ายเจ้าของผิวขาวซีดนั้นก็เดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเองหลังจากที่โดนทรูอัลฟ่าแดนใต้บ่นมาตลอดทาง
'อย่าใส่เสื้อผ้าแบบนี้ออกมาข้างนอกอีก..'
เชส ไทเลอร์ ไม่ได้คาดหวังว่าแอชเชอร์ เลสลีย์ จะฟังในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือไม่ แต่เพราะตัวทรูอัลฟ่าหนุ่มเองก็เป็นพวกพูดตรงๆอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็ทำให้ปากของเจ้าตัวนั้นห้ามปากของตัวเองไม่ให้พูดไม่ได้ มันก็ค่อนข้างหัวเสียไม่น้อยที่เชส ไทเลอร์นั้นไม่สามารถที่จะห้ามอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองได้เมื่อเห็นอัลฟ่าแดนเหนือในสภาพแบบนั้น
จะเพราะสัญชาตญาณของการได้ครอบครองหรือเพราะความรู้สึกส่วนตัว เชส ไทเลอร์เองก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆคือเจ้าตัวรู้ตัวดีว่าความรู้สึกหงุดหงิดที่เกิดขึ้นพวกนี้มันเป็นเพราะความหวงของตัวเอง
และคนที่หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์หวงก็คงไม่พ้นเป็นแอชเชอร์ เลสลีย์...
หากไม่ใช่เพราะเลสลีย์ที่เข้ามายุ่งระหว่างที่พี่น้องไทเลอร์นั้นกำลังต่อสู้กัน ก็อย่าหวังเลยว่ารีสจะยอมหยุดให้ง่ายๆ แค่มองแวบเดียวเชสก็รู้แล้วว่าที่พี่ชายของตัวเองยอมละมือก่อนง่ายๆ ก็เพราะจะถ่วงเวลาเล่นสนุกให้กับตัวเอง...
เล่นสนุกกับตัวเขาที่เป็นน้องน่ะยังพอว่า.. แต่ถ้ารีสเกิดนึกสนุกอยากปั่นประสาทแอชเชอร์ขึ้นมาล่ะก็ เชื่อเถอะว่าหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์คงได้มีปัญหาอีกมากมายมาให้ได้หนักใจเป็นแน่ พี่ชายที่มักจะแกล้งน้องชายแรงๆแบบรีส เบลเลอมอนท์ นี่มันคือมหันตภัยของแท้
แกล้งที่ไม่เหมือนแกล้ง มันตลกเสียที่ไหนกัน...
และการที่รีส เบลเลอมอนท์มาถึงที่เดอะฮิลล์ด้วยตัวเองมันก็ทำให้เชสตระหนักได้ว่าความลับมันอาจจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ทรูอัลฟ่าเจ้าของกลิ่นไม้สนซีดาร์สะบัดหัวไล่ความคิดในหัวตัวเองออก ก่อนจะกลับมาสนใจตัวเองที่อยู่ในสภาพค่อนข้างไปทางเละเทะ ไม่ว่าจะทั้งคราบดิน คราบน้ำสกปรกที่เลอะตามเสื้อผ้าและร่างกาย นั้นมันก็แทบทำให้สภาพของเชส ไทเลอร์ดูไม่ต่างจากพวกการ์เดียนที่ออกไปเล่นซนเลยสักนิด
แขนแกร่งซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือดไขว้แขนกันก่อนจะเลิกชายเสื้อที่สวมใส่ขึ้นเพื่อถอดออก มือใหญ่โยนเสื้อที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกลงตะกร้าซึ่งถูกวางไว้ไม่ไกลอย่างแม่นยำ พลางสาวเท้าเดินไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ซึ่งตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อสำรวจรอยช้ำตามใบหน้าและร่างกายช่วงบนของตัวเอง
ภาพที่เกิดจากกระจกเงาบานใหญ่นั้นสะท้อนให้เห็นร่างกายแข็งแกร่งของทรูอัลฟ่าหนุ่มอย่างชัดเจน ทั้งแผ่นอกสีแทนแน่นตึงและหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเรียงสวยนั้นปรากฏเพียงรอยช้ำเล็กๆ จากแรงกระแทก เส้นเลือดที่ต้นคอแกร่งยิ่งเผยให้เห็นชัด เมื่อทรูอัลฟ่าหนุ่มเอียงใบหน้าของตัวเองเพื่อสำรวจรอยช้ำบริเวณใบหน้าซึ่งก็ค่อนข้างช้ำอยู่พอสมควร บวกกับมุมปากหยักเองก็ยังคงมีเลือดไหลอยู่ซิบๆพอให้เจ้าของผิวสีแทนได้รู้สึกรำคาญเช่นกัน
คงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันสักเท่าที่จะรักษาร่างกายของตัวเอง อีกอย่างไทเลอร์คนพี่เองก็ไม่ได้จงใจลงแรงมาที่จุดสำคัญเสียเท่าไหร่แต่ก็ใช่ว่าจะออมมือ แม้เชสจะรู้อยู่แก่ใจก็ตามว่าการต่อสู้ระหว่างตนเองกับพี่ชายมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆก็ตาม
มันก็ไม่ต่างจากการลงโทษกลายๆจากความผิดที่ตั้งใจก่อ มิหนำซ้ำยังมีเรื่องที่ไม่คาดคิดระหว่างความสัมพันธ์ที่เกินเลยของเชสและอัลฟ่าแดนเหนือเพิ่มมาอีก ประเด็นหลังของเลสลีย์เองก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก
ใครว่าฟ้าหลังฝนนั้นสดใส.. เชส ไทเลอร์ ขอปฏิเสธเลยว่าคำพูดพวกนั้นมันไม่จริงสักนิด ยิ่งหากเป็นพายุที่โหมกระหน่ำแล้วด้วย สิ่งที่ทิ้งไว้หลังจากพัดทำลายจนราบคาบก็คือปัญหาต่างหาก
ฝ่ายทางด้านของอัลฟ่าแดนเหนือที่เดินเลี่ยงขึ้นมาบนห้องเองก็เดินวนเป็นหนูติดจั่นอยู่ภายในห้อง หลังจากที่เจ้าตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ผ้าผืนเล็กที่อยู่ในมือขาวยังคงซับไปตามเส้นผมสีอ่อนจนมันเริ่มแห้งดี แต่ในขณะเดียวกันเจ้าตัวก็ยังคงคิดซ้ำไปซ้ำมาเพราะความกังวล
จนสุดท้ายเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียงพลางยกแขนขึ้นมากอดอกแล้วครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าจะพูดกันตามตรงเลยก็คือแอชเชอร์เองก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่กับการที่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน อีกทั้งคนที่ช่วยเหลือเจ้าตัวก็เป็นคนต่างแดน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องอะไรกับไทเลอร์โดยตรงด้วยซ้ำ มันก็ถูกที่ไทเลอร์เองก็ผิดส่วนหนึ่งที่ช่วยเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดูไปดูมาคนที่เป็นตัวปัญหาก็คงเป็นเขาเสียมากกว่า
จมูกโด่งพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ความรู้สึกของการเป็นตัวปัญหามันกำลังทำให้แอชเชอร์ต้องคิดหาทางที่จะออกไปจากที่นี่จริงๆจังๆเสียที อย่างน้อยหากไม่ได้ทำประโยชน์ให้เดอะฮิลล์เขาเองก็ควรออกไปจากที่นี่เพื่อไม่สร้างปัญหาและผลกระทบให้กับเดอะฮิลล์
ถึงอย่างนั้นในตอนนี้แอชเชอร์เองก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวตบตีกับความคิดของตัวเองไม่หยุด นั่นก็คือเรื่องแผลของไทเลอร์ จากที่มองผ่านๆแล้วแอชเชอร์ก็คิดว่ามันค่อนข้างจะเยอะอยู่พอสมควร แม้จะไม่ถึงกับตาปูดตาบวมแต่เลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่ปริแตกก็ดูท่าจะเจ็บไม่น้อย
เขาควรจะลงไปดูไทเลอร์ หรือ เขาควรจะอยู่เฉยๆบนห้อง ?
ความน่าอึดอัดระหว่างทั้งคู่นั้นก็ใช่ว่าจะหมดไปเสียเมื่อไหร่ ยิ่งเมื่อเช้าที่ถกเถียงกันไปด้วยก็ยิ่งทำให้ความอึดอัดมันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เหมือนจะคุยกันรู้เรื่องแต่สุดท้ายมันก็ยังค้างคาจะเป็นตะกอนในใจด้วยกันทั้งคู่... ยิ่งคำพูดของไทเลอร์เมื่อเช้าแล้วด้วยก็ยิ่งทำให้แอชเชอร์แอบรู้สึกผิดแปลกๆที่พูดจาแบบนั้นออกไป
"นายกำลังทำให้ฉันดูงี่เง่า.."
เสียงนุ่มเอ่ยพึมพำกับตัวเองหลังจากครุ่นคิดมาเสียพักใหญ่ ขาเรียวหยัดขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อลงไปด้านล่างที่มีใครอีกคนหนึ่งอยู่ แต่ทว่าเมื่อแอชเชอร์เดินลงมาถึงด้านล่างแล้ว เจ้าตัวก็พบแค่เพียงความว่างเปล่า ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ไร้ซึ่งเงาของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่กลับเข้ามาบ้านพร้อมๆกับตัวเอง
"หายไปไหนกัน?" ปากบางบ่นงุบงิบ ก่อนจะก้าวเดินไปที่หลังบ้านซึ่งเจ้าตัวจำได้ดีว่าไทเลอร์นั้นเดินแยกกับตัวเองไปทางนั้น บริเวณหลังบ้านซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับธารน้ำเล็กๆที่ไหลเอื่อย ก็ยังไร้เงาของหัวหน้าหน่วยอีกเช่นเคย
แต่ทว่าเสียงก่อกแก่กที่ดังขึ้นมาจากภายในห้องน้ำก็ทำให้อัลฟ่าแดนเหนือนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองนั้นลืมไปเสียสนิทว่ายังมีห้องน้ำที่ยังเป็นอีกที่หนึ่งซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าเชส ไทเลอร์จะอยู่ในนั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นแอชเชอร์เองก็ตัดปัญหาเรื่องการตามตัวของหัวหน้าหน่วยออกไปทันที ก่อนจะเลือกเดินไปหาอุปกรณ์ทำแผลที่เอริคให้มาเมื่อวันก่อนมาเตรียมไว้และนั่งรออย่างใจเย็น
เซเบอร์ยังคงนอนหลับอุตุอยู่บนเบาะนุ่มๆซึ่งไทเลอร์เป็นคนไปหามาให้ ดูๆแล้วก็น่าอิจฉามันไม่หยอกที่ได้นอนหลับสบายในวันที่ฝนตกพรำๆ ผิดกับตัวเจ้าของอย่างเจ้าของผิวขาวซีดที่นอกจากจะไม่หลับไม่นอนแล้ว ยังออกไปหาเรื่องให้ตัวเองได้มาวิตกไม่เลิกแบบนี้
ผ่านไปสักพักใหญ่เสียจนแอชเชอร์เอนตัวลงไปนอนบนเบาะนุ่มๆ เสียงประตูทางด้านหลังก็ดังขึ้นเบาๆก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่ออกมาจากห้องน้ำนั้นเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่นอนอยู่หลังโซฟาตัวใหญ่ก็ค่อยๆขยับตัวเพื่อลุกขึ้น หัวกลมที่มีกลุ่มผมสีบลอนด์สว่างโผล่พ้นจากพนักพิงหลังช้าๆ จนเห็นดวงตากลมที่แอบมองทรูอัลฟ่าหนุ่มซึ่งยังคงยืนหันหลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ให้ตายเถอะ... แอชเชอร์ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆว่าทำไมตัวเองต้องมาทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้ทั้งๆที่ไม่ควรประหม่าเชส ไทเลอร์เลยด้วยซ้ำ แต่ดูนี่สิ ที่เขากำลังทำอยู่มันไม่ใช่เลยสักนิด
คนที่กำลังหาอะไรอยู่นั้นหันขวับมาอย่างที่แอชเชอร์ไม่ได้ทันตั้งตัว จนกลายเป็นว่าดวงตากลมนั้นสบเข้ากับตาดุของอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
"มาทำตัวลับๆล่อๆอะไรแถวนี้กัน เลสลีย์" เสียงทุ้มเอ่ยถามคนตัวขาวที่เอาแต่โผล่มาแค่ครึ่งหน้า แถมผมที่ชี้ขึ้นของเจ้าตัวมันก็ให้อารมณ์คล้ายกับหูที่งอกขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไหนจะหน้าตาตื่นๆเหมือนคนทำผิดแล้วโดนจับได้ นี่มันชวนให้หัวเราะเสียจริงในความคิดของเชสชะมัด
"ฉันไม่ได้ทำแบบที่นายว่าเสียหน่อย" คนถูกจับได้หยัดตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วเอ่ยปากตอบทรูอัลฟ่าที่ยืนพิงสะโพกเข้ากับขอบโต๊ะ ซึ่งมันก็ทำให้เจ้าตัวได้อวดร่างกายช่วงบนไล่ไปจนถึงกางเกงที่เกาะสะโพกสอบอยู่อย่างหมิ่นเหม่
"แล้วที่นายมาแอบมองฉัน มันหมายความว่ายังไงหรือ?"
ไทเลอร์เริ่มถามต้อนคนตัวขาวในทันที แม้ว่าการกระทำของตัวเองนั้นจะไม่มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใดก็ตาม
"ฉันไม่ได้แอบ... ที่ลงมาก็เพราะจะมาดูว่านายเป็นยังไงบ้างก็เท่านั้น"
"ดูฉันเนี่ยนะ?" ไทเลอร์ถึงกับถามย้อนด้วยเสียงที่สูงขึ้นเพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่หูตัวเองได้ยิน อีกทั้งใบหน้าของเลสลีย์ที่กลับมาตีหน้านิ่งมันก็ดูไม่เข้ากับรูปประโยคที่อีกฝ่ายว่ามาเลยสักนิด
"สภาพนายมันดูได้ที่ไหน" อัลฟ่าแดนเหนือว่าพลางใช้สายตาไล่มองหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลของอีกฝ่าย ซึ่งไทเลอร์เองก็ดูจะไม่ได้จะสนใจสักเท่าไหร่ในสิ่งที่แอชเชอร์พูด
"ถ้าเป็นห่วงฉันก็แค่พูดมา"
เป็นห่วงเนี่ยนะ? ไทเลอร์เอาอะไรมาคิดกัน นี่มันไม่เข้าข้างตัวเองไปหน่อยหรือไง
"ตรงไหนที่ว่าฉันเป็นห่วงนาย"
"ก็เช่นสิ่งที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้ไง :)"
เมื่อเจอคำพูดที่ไม่ต่างจากหมัดฮุกเข้าไปก็ทำให้เลสลีย์คนเล็กทำหน้าดุใส่ไทเลอร์ในทันที
"ถ้างั้นมันก็คงเป็นความเป็นห่วงที่เกิดจากความสงสารเท่านั้นล่ะ.."
รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนปากหยักค่อยๆหุบลงช้าๆจนใบหน้าของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็ดูจะเป็นความคิดที่ผิดของเลสลีย์ที่ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดนั้นกลับมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
"พูดได้ดีนี่เลสลีย์"
"ยังไงซะ ฉันเองก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้นายต้องโดนลงโทษไม่ใช่หรือไง"
"มันเป็นความผิดของฉัน นายไม่เกี่ยวอะไร อย่าเก็บมันมาใส่ใจนักเลย"
"แล้วมันจะไม่เกี่ยวได้ยังไง ในเมื่อนายผิดกฎระหว่างแดนก็เพราะช่วยฉัน"
"ฉันเป็นคนยอมให้นายเข้ามาในเดอะฮิลล์ เพราะฉะนั้นคนผิดก็คือฉัน ในฐานะคนที่อนุญาต"
"งั้นนายก็ส่งฉันกลับเสียสิ.. ตัวนายเองก็จะไม่ต้องเดือดร้อน"
"นายคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? อีกอย่างฉันเองก็สัญญากับพี่นายไว้แล้วว่าจะดูแลนายให้ดีที่สุด ฉันไม่มีทางผิดสัญญา"
"เลิกสนใจสัญญางี่เง่านั่นแล้วมองความเป็นจริงเถอะไทเลอร์ สุดท้ายนายเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันคือตัวปัญหาของเดอะฮิลล์"
"ฉันเคยพูดหรือว่านายเป็นตัวปัญหา" ไทเลอร์ย้อนถามเสียงเรียบ พลางสาวเท้าเดินเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาหลังใหญ่
"ทุกคำที่นายพูดกับฉันไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ฉันจำมันได้ทั้งหมด"
นอกจากจะดื้อรั้นและทะนงในศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งแล้วอีกอย่างหนึ่งที่เชส ไทเลอร์ รู้เพิ่มเกี่ยวกับตัวของแอชเชอร์ เลสลีย์ก็คงจะเป็นเรื่องความจำที่ดีของเจ้าตัว สายตาที่แน่วแน่และมั่นใจมันบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวนั้นทำได้อย่างที่ปากพูดแน่นอน
"ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี..."
"นายลืมไปแล้วหรือไงว่านายเคยพูดกับฉันว่ายังไง.." คนตัวขาวเอ่ยเสียงแข็งเมื่อนึกถึงประโยคที่มันฝังใจตัวเองตั้งแต่แรกๆที่มาอยู่ที่นี่ "นายเคยบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ในฐานะของคนที่ต่ำที่สุดในเดอะฮิลล์ นายจำไม่ได้หรือไง"
คำพูดที่กดแอชเชอร์ลงต่ำเสียจนคนที่เต็มไปด้วยความภูมิใจนั้นถึงกับชะงักงัน เจ้าตัวเองก็ยังจำมันได้ดี วาจาร้ายกาจของไทเลอร์มีหรือว่าแอชเชอร์จะจำมันไม่ได้
"ถ้างั้นนายก็ช่วยเอาคำพูดพวกนั้นออกไปจากหัว แล้วจำสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไว้ให้ดีๆนะ ว่าแอชเชอร์ เลสลีย์ อยู่ในฐานะคนของไทเลอร์ ซึ่งนั่นมันเท่ากับว่านายเองก็มีฐานะในเดอะฮิลล์ไม่น้อยไปกว่าฉัน"
"จะให้ฉันต้องพูดอีกกี่ครั้งว่าฉันไม่ต้องการ"
"คนอย่างนายก็ยังคงยึดในความถูกต้องมากกว่าความรู้สึกไม่เคยเปลี่ยน.." ไม่ใช่ว่าความถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่หากยึดติดกับมันมากเกินไปมันก็ไม่ต่างจากการที่ใช้สมองมากกว่าหัวใจ ซึ่งมันก็สมกับเป็นแอชเชอร์ เลสลีย์ดีเหมือนกัน "นายมั่นใจหรือว่านายเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิดกับฉัน"
"นายคิดว่าแค่เรื่องพวกนั้น มันจะทำให้ฉันรู้สึกอะไรกับนายหรือไง"
"ถ้านายไม่ได้ตายด้าน ฉันก็มั่นใจว่าอย่างน้อยมันก็ต้องมีสักเศษเสี้ยวความรู้สึกหนึ่ง"
"แล้วถ้าฉันตอบว่าไม่ล่ะ..."
"เกียรติของไทเลอร์มันไม่มากพอที่จะทำให้นายยอมรับได้งั้นหรือ"
คนที่เดินมาหยุดยืนตรงหน้าของแอชเชอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโทนปกติ แม้จะไม่ได้กดดันแต่มันก็กลับทำให้คนที่ฟังได้แต่มองหน้าทรูอัลฟ่าหนุ่มค้างอยู่หลายวินาที
"ฉันยอมรับเลยว่ามันไม่แฟร์กับนายเหมือนกันที่ต้องเป็นแบบนี้ มันยากที่จะยอมรับฉันรู้ดี แต่ฉันเองก็ไม่สามารถมองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นไปได้เหมือนกัน"
"ฉันต้องการเวลา" แอชเชอร์ว่า
"แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมา นายได้ทบทวนอะไรบ้างล่ะ เท่าที่ฉันรู้สึกเท่าที่ฉันเห็นมันก็มีแต่ความอึดอัดระหว่างฉันกับนาย ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นสักนิด"
"แค่นายปล่อยฉันไปไงไทเลอร์"
"มันอันตรายเกินไปสำหรับนาย ส่งนายกลับไปก็เหมือนส่งนายกลับไปตาย"
"แต่ที่เป็นอยู่แบบนี้มันก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงไม่ตายแต่ก็ไม่ได้อะไร ทำไมฉันถึงต้องอยู่เฉยๆเพื่อรอคอยในสิ่งที่ฉันไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ฉันเป็นห่วงอาเธอร์แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ชีวิตพี่ฉันทั้งคนนะไทเลอร์ นายจะให้ฉันนิ่งดูดายแบบนี้ต่อไปได้ยังไง"
ปากบางเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมารัวๆใส่คนที่ยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้าตัวเอง ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเพราะอารมณ์ขุ่นเคืองที่เริ่มเดือดขึ้นมา
"นายรู้จักพี่ชายนายดีที่สุดเลสลีย์..." มือใหญ่ของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์เอื้อมไปลูบกลุ่มผมสีสว่างที่ชี้ไม่เป็นทรงให้เข้าที่ ซึ่งเจ้าของผมเองก็ดูจะไม่มีอารมณ์มาสนใจเสียเท่าไหร่กับการที่มีใครมันเล่นผมของตัวเอง "หมอนั่นเอาตัวรอดเก่งแค่ไหน นายก็น่ารู้ดี"
"แล้วคนเรามันจะพลาดกันไม่ได้หรือไง นายยังไม่รู้จักริโอดีพอ.."
"นายรู้เรื่องอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างเดอะฮิลล์กับพื้นที่ตระกูลนายหรือเปล่าเลสลีย์" ในตอนแรกเชสเองก็ไม่อยากจะให้แอชเชอร์รู้เรื่องเกี่ยวกับอุโมงค์นั่นสักเท่าไหร่ แต่ดูท่าแล้วจากการที่ทั้งโจชัวและลูฟนั้นลองเข้าไปก็กลับไม่ได้คืบหน้าไปมากมายอะไร ยิ่งเข้าไปอากาศภายในนั้นก็ยิ่งเหลือน้อยจนน่ากลัว..
"นายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?" คนตัวขาวซีดถามเสียงแข็งในทันที
"ถามแบบนี้แสดงว่านายรู้สินะ"
"ฉันถามว่านายรู้ได้ยังไง!"
"อาเธอร์เป็นคนบอกให้ฉันหามัน.."
"ไม่มีทางที่อาร์ธจะรู้เรื่องอุโมงค์นี่ หมอนั่นไม่เคยสนใจเรื่องในตระกูลเลยด้วยซ้ำ"
"ไม่พูดไม่ได้แสดงว่าไม่รู้เสมอไป..." แอชเชอร์เม้มปากแน่นอย่างครุ่นคิดไปสักพักหนึ่ง
"อย่างมากที่สุดถ้าจะหายใจในนั้นได้ก็มาถึงได้แค่ชายแบล็คฟอเรสต์เท่านั้น.. เพราะรูระบายอากาศที่ทำไว้มีแค่ฝั่งฉันเท่านั้นที่ยังใช้งานได้อยู่"
"นายดูรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้.."
"ก็เพราะตอนที่ฉันหนีออกมาจากที่นั่นได้ ก็เพราะอุโมงค์นี่ไง..." ทางลับที่ถูกปิดไว้ไม่ให้ใครได้ล่วงรู้นั้นเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ช่วยให้แอชเชอร์ออกมาจากที่นั่นได้ และเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่ทางออกอีกฝั่งนั้นจะมีใครล่วงรู้เพิ่มอีกบ้างหรือเปล่า
"ถ้าเป็นแบบที่นายว่ามันก็ช่วยได้มากพอแล้ว"
"นายอย่าบอกนะว่าอาเธอร์คิดจะหนีด้วยวิธีนี้"
"ฉันเดาใจหมอนั่นไม่ได้หรอกเลสลีย์ มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ทั้งนั้น"
"ขนาดฉันยังเอาตัวแทบไม่รอด อีกอย่างวิธีซ้ำเดิมแบบนี้มันก็เป็นวิธีที่ไม่น่าเสี่ยงสักนิด"
"แล้วนายคิดว่าพี่นายจะออกมาจากที่นั่นบ้างไหม?"
"พูดตามตรงนะว่าพอเป็นอาเธอร์แล้วฉันเองก็ไม่กล้าคิดเหมือนกันว่าเขาจะตัดสินใจยังไง แต่ที่ฉันรู้แน่ๆก็คือคนอย่างอาเธอร์ไม่มีวันยอมให้ตัวเองทรมานแน่ๆถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุข"
"บางทีสองคนนั้นก็อาจจะไปด้วยกันได้ดีก็ได้"
"ความสัมพันธ์ของรอยัลอัลฟ่ากับอัลฟ่า ไม่ใช่เรื่องที่คนแดนเหนือจะยอมรับง่ายๆหรอกนะไทเลอร์ ยิ่งเป็นริโอแล้วล่ะก็ทุกอย่างมันก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้"
"แต่อาเธอร์เองก็รู้จักหมอนั่นดีไม่ใช่หรือไง อีกอย่างเท่าที่ฉันเห็น พี่นายก็ไม่ใช่ว่าจะควบคุมริโอไม่ได้เสียหน่อย"
"ใครจะรู้กัน... วันนึงทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้" ใบหน้ารูปสลักหันกลับมามองคนที่ลูบผมตัวเองอีกครั้ง "มันไม่มีอะไรสักอย่างให้ฉันคาดหวัง นายคิดว่าฉันต้องรออีกสักเท่าไหร่กันกว่าที่อาเธอร์จะกลับมา"
"นายจะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรออาเธอร์อยู่ที่นี่มันก็ย่อมได้"
ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ที่นี่?
"นายกำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่"
"อยู่แดนใต้ในฐานะคนที่ยืนอยู่ข้างฉันเถอะเลสลีย์"
แรงจากแขนแข็งแรงที่โอบเข้าตรงช่วงไหล่ ทำให้ใบหน้ารูปสลักของคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่านั้นซบอิงเข้ากับหน้าท้องแกร่งของทรูอัลฟ่าตรงหน้าเงียบๆ ลอนกล้ามเนื้อสีเข้มที่อยู่ในกรอบสายตาของแอชเชอร์นั้นยังคงไม่ทำให้รู้สึกชัดเจนเท่ากับแก้มนุ่มที่แนบชิดกับกล้ามเนื้อแข็งแรงจนแนบสนิท
"นายกล้าพูดเรื่องงี่เง่าพวกนี้ออกมาได้ยังไงกัน"
"ฉันคิดยังไงฉันก็พูดไปแบบนั้น นายต่างหากที่เอาแต่ปฏิเสธความรู้สึกตัวเอง"
"ฉัน..."
"ถ้านายรังเกียจฉันจริงๆ นายก็คงไม่ยอมให้ฉันกอดอยู่แบบนี้หรอก..."
ความรู้สึกงี่เง่าที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาสนับสนุนได้มันดูจะเป็นสิ่งที่แอชเชอร์หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมามันมีทั้งเหตุทั้งผล แต่เมื่อเป็นเรื่องของความสัมพันธ์แล้วมันก็กลับกลายว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้เหตุผล
"แค่เริ่มต้นมันก็ไม่ถูกต้อง.. นายคิดว่ามันจะเป็นไปได้ได้ยังไง"
"แต่มันก็ไม่สายที่เราจะเริ่มต้นใหม่ให้มันถูก... โยนความรู้สึกพวกนั้นทิ้งไปแล้วมาเริ่มกันใหม่ไม่ดีกว่าหรือ"
นั่นมันก็เท่ากับว่าแอชเชอร์ต้องกลืนน้ำลายตัวเองอย่างงั้นสิ...
"มันยังเริ่มอะไรได้อีกกัน.."
"นายกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่" นอกจากความสับสนแล้วไทเลอร์เองก็ยังรู้สึกว่าตัวของเลสลีย์คนเล็กนั้นยังมีอีกความกังวลหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่
"ฉันไม่อยากกลายคนงี่เง่าเพียงเพราะแค่ความรัก" แอชเชอร์ไม่อยากเป็นแบบนั้น เขาเห็นผลของความรักพวกนั้นจากพี่ชายตัวเองจนทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดที่จะควบคุมตัวเองได้
"เด็กน้อยเอ๊ย"
"นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ฉันจะไม่เถียงนาย" อัลฟ่าแดนเหนือว่าพลางยกมือขึ้นดันช่วงตัวของทรูอัลฟ่าหนุ่มให้ออกห่างจากตัวเอง "นายนี่มันขยันปล่อยกลิ่นตัวเองออกมาจริงๆนะไทเลอร์"
กลิ่นไม้สนซีดาร์ที่เข้มขึ้นของไทเลอร์เมื่อผสมเข้ากับอากาศชื้นของฝนที่ตกอยู่ด้านนอก ก็ยิ่งทำให้แอชเชอร์รู้สึกว่าตัวเองนั้นออกไปยืนอยู่กลางป่าสนทั้งที่ตอนนี้เจ้าตัวนั้นนั่งอยู่ในบ้านแท้ๆ
"บางทีมันก็เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้หรอกนะเลสลีย์"
"ดูนายจะควบคุมมันไม่ได้สักเท่าไหร่ เวลาที่อยู่ใกล้ฉัน.."
เป็นที่รู้กันดีว่ากลิ่นประจำตัวที่ถูกปล่อยออกมานั้นมันไม่ต่างไปจากการแสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งเชส ไทเลอร์เองก็กำลังแสดงมันออกมาโดยที่แอชเชอร์เองก็รับรู้ได้
"เรียกว่าเหนือการควบคุมก็ยังได้.."
ตาคู่สวยช้อนมองดวงตาของทรูอัลฟ่าอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น หากพินิจดูดีๆแล้วล่ะก็เชส ไทเลอร์ เป็นคนที่มีดวงตาสวยไม่แพ้กับแอชเชอร์เลยสักนิด ดวงตาหวานซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาคมนั้นเผยออกมาให้คนตัวขาวได้เห็นเป็นครั้งแรก เพราะปกติแล้วดวงตาของไทเลอร์ที่แอชเชอร์คุ้นชินนั้นมันเต็มไปด้วยความแพรวพราวและเจ้าเล่ห์ที่ยากจะจับตัว
"ฉันไม่ชอบสายตานายตอนนี้เลยจริงๆ" อัลฟ่าแดนเหนือว่าก่อนจะลากสายตาของตัวเองมาหยุดที่ต้นคอของอีกฝ่ายแทนที่จะมองตา
"ข้อห้ามเยอะจริงๆ เลยนะนายน้อย.."
"เรียกฉันว่านายน้อยอีกแล้วนะ" แอชเชอร์ถึงกับเสียงขุ่นทันทีเมื่อไทเลอร์เรียกตัวเองด้วยคำนั้น "ฉันรู้ว่านายไม่ได้เต็มใจเรียก"
คนที่กำลังอ้าปากพูดถึงกับผงะถอยหลังไปชิดกับโซฟาทันทีเมื่อจู่ๆไทเลอร์ก็เท้าแขนคร่อมลงมาที่พนักของโซฟาโดยไม่บอกไม่กล่าว แล้วยังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆจนตาสวยเห็นถึงร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนขึ้น ร่องรอยบาดแผลที่แต่งเติมบนใบหน้ากับร่างกายแข็งแกร่ง รวมๆแล้วก็ทำให้เชส ไทเลอร์นั้นดูมีเสน่ห์แบบดิบๆที่เข้ากับกลิ่นประจำตัวของเจ้าตัวได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
"ถ้านายบอกฉันว่าอยากเป็นนายน้อยของแดนใต้ ฉันก็ให้นายได้ในตอนนี้เลยด้วยซ้ำเลสลีย์"
ต้องเป็นเพราะเสียงฝนที่กระหน่ำเทเมื่อครู่แน่ๆที่ทำให้หูของแอชเชอร์มันอื้อไปหมดในตอนนี้..
"ยอมฉันได้ขนาดนั้นเลยหรือ" กลีบปากบางที่กำลังขยับถามไทเลอร์ในตอนนี้ ดูน่ามองเสียจนทรูอัลฟ่าหนุ่มนั้นอยากลิ้มลองอีกสักครั้ง แต่มันก็ติดที่ว่าบาดแผลที่มุมปากนั้นคงจะไม่ส่งผลดีสักเท่าไหร่กับเลสลีย์คนเล็ก
"ถ้านายกล้าขอฉันก็กล้าให้... จะลองดูไหมล่ะ"
เชส ไทเลอร์ ไม่ได้โกหกแต่อย่างใด.. แม้ทั้งหมดที่เจ้าตัวพูดนั้นจะดูมากเกินกว่าที่คนอย่างหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์จะยอมให้ใครง่ายๆก็ตามแต่
"ถ้าฉันยอมรับว่าเป็นคนของไทเลอร์..."
"....."
"นายจะกล้าแลกกับความลับที่นายปิดบังฉันไว้ไหมล่ะ ไทเลอร์"
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเลสลีย์ตัวขาวที่เอ่ยออกมาหน้าตาเฉย แววตาที่เคยสับสนก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจที่ไทเลอร์เองก็พึ่งจะสังเกตเหมือนกันว่าอีกคนนั้นจะมีมุมเจ้าเล่ห์นี่เหมือนกัน
"ย่อมได้ทุกอย่าง..."
คนที่เคยเท้าแขนคร่อมกักตัวของเลสลีย์อยู่เมื่อครู่ ใช้มือข้างขวาของตัวเองจับข้อมือขาวซีด ก่อนจะจรดริมฝีปากอุ่นลงบนข้อมือขาวอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ดวงตาคมยังคงจ้องมองอัลฟ่าแดนเหนือไม่วางตา
"จูบปากฉันไม่ได้ นายก็ยังหาที่จูบอื่นจนได้นะ.." คนตัวขาวค่อนขอดเข้าให้ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยทำให้ไทเลอร์รู้สึกรู้สาอะไรขึ้นมา
"นายคงไม่อยากให้ฉันพูดหรอกว่าที่จริงแล้ว ฉันอยากจูบนายไปทั้งตัว" ใบหน้าขาวเห่อร้อนขึ้นในทันทีเมื่อนึกถึงความทรงจำยามที่อีกฝ่ายนั้นได้เคยเชยชมร่างกายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแอชเชอร์นั้นสั่นเทาไปทั้งตัว "แต่ที่อยากจูบก็เพราะร่างกายที่งดงามของนายทั้งนั้นล่ะแอชเชอร์"
"นายคิดแค่นั้นจริงๆหรือเชส.." ฝ่ามือเรียวสวยอีกข้างที่ไม่ได้ถูกแตะต้องนั้นใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเข้ากับแก้มสากของทรูอัลฟ่าหนุ่ม พลางโน้มหน้าเข้าหาไทเลอร์เสียจนกลีบปากบางแทบจะจรดเข้ากับผิวของอีกฝ่าย
"อย่ามาเรียกชื่อฉันตอนนี้ดีกว่าน่า.."
"ทำไมจะเรียกไม่ได้.. ในเมื่อฉันเองก็เป็นคนของไทเลอร์"
ปลายลิ้นนิ่มของเจ้าของกลิ่นกุหลาบดามัสก์ไล้เลียเข้ากับริมฝีปากล่างของทรูอัลฟ่าหนุ่มอย่างเชื่องช้า ในขณะที่มือขาวยังคงใช้นิ้วเรียวไล้วนสันกรามของไทเลอร์
"แล้วนายอยากรู้เรื่องอะไรก่อนดีล่ะ.."
คนอย่างไทเลอร์เองก็คงตอบแค่ในสิ่งที่อีกคนถาม ซึ่งไม่ใช่การบอกเล่าทุกสิ่งอย่าง..
HASTAG #youngmastermn
TALK : ให้เรียกว่าเป็นตอนยื้อชีวิตก็น่าจะได้อยู่นะคะ..แต่คิดเหรอคะว่าเลสลีย์จะยอมเป็นคนของไทเลอร์ง่ายๆแบบนี้จริงๆ :) คนปากร้ายต้องได้โดนเอาคืนแน่นอน คอยดูเถอะ แล้วก็มีเรื่องจะแจ้งด้วยนะงับเนื่องจากมีรีดเดอร์หลายคนDMเข้ามาถามว่าจะมีแพลนรวมเล่มไหมบวกกับหลายคอมเมนต์ที่ถามถึง เราอาจจะเปิดแบบสำรวจความสนใจในการร่วมเล่มyoung master ให้ในประมาณตอนที่ใกล้ๆจบเรื่องแล้วกันนะคะ
ถึงจะอยากอ้าปากเถียงแค่ไหนแต่อัลฟ่าแดนเหนือก็ได้แต่เดินฟังมาอย่างเงียบๆ คิดดูแล้วก็เป็นตัวแอชเชอร์เองด้วยที่ไม่ระวัง ซึ่งปกติแล้วคนอย่างแอชเชอร์นั้นก็ค่อนข้างจะซีเรียสกับเรื่องเสื้อผ้าไม่น้อย เพราะรู้ดีว่าร่างกายของตนเองนั้นเป็นอย่างไร
และต่อให้ตอนนี้แอชเชอร์จะเดินหนีขึ้นไปบนห้องแล้ว แต่ความรู้สึกสงสารของตัวเองมันก็มากพอที่จะทำให้คนตัวขาวนั้นยอมเดินลงมาด้านล่าง หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยเพื่อจะทำแผลให้กับทรูอัลฟ่าหนุ่ม
มันไม่ใช่แค่ชั่วครู่หรือชั่ววินาที ที่แอชเชอร์เห็นแววตาคู่คมนั้นมองตัวเองเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in