เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Minimore SessionTHE PIGEON IS SEEKING
ส (Prague)
  •           สาธารณรัฐเช็ก ประเทศเล็กๆที่อยู่ในเขตยุโรปตะวันออก ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่า แคว้นโบฮีเมีย มีพรมแดนติดกับประเทศโปแลนด์ เยอรมนี ออสเตรียและสโลวาเกีย มีเมืองหลวงอย่างกรุงปรากที่ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งปราสาทร้อยยอด จริงๆแล้วถึงปรากจะเป็นเมืองหลวงแต่ก็เป็นเมืองที่ไม่ได้มีพื้นที่มากมายอย่างเมืองหลวงของประเทศอื่นๆ แต่เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกว่า ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ให้ความรู้สึกไม่เล็กเลย
              หากถามว่าทริปนี้เริ่มต้นได้ยังไง ก็คงต้องบอกว่า ให้ย้อนเวลากลับไปซัก 5-6ปีที่แล้ว เด็กน้อยในชุดกระโปรงแดง นั่งฟังหม่อมแม่เล่าถึงประวัติศาสตร์ยุโรปแล้วดันไปสะดุดกับชื่อ เชโกสโลวาเกีย (สมัยก่อนเช็กนั้นเป็นส่วนหนึ่งในประเทศเชโกสโลวาเกียก่อนจะถูกแยกออกเป็นเช็กกับสโลวาเกีย) จากนั้นมาก็ฝังใจกับชื่อนี้มาตลอด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จนเมื่อต้นปี 58 ที่ผ่านมาระหว่างที่นั่งเล่นเน็ต เปิดเว็บไปเรื่อยเปื่อย ได้มาเปิดเจอรูปปราสาทที่เมืองปราก ด้วยความที่เป็นคนชอบปราสาท พระราชวังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยตะล้อมๆหาช่วงอารมณ์ที่เหมาะๆของหม่อมแม่แล้วถามว่า แม่ๆไปเช็กกันป่าว ถามออกไปก็รอลุ้นว่า เห้ยแม่จะด่ามั๊ย นี่พึ่งกลับมาจากเกาหลีเอง ฮัลโหลล หม่อมแม่ที่กำลังนั่งเล่นสลับลูกอมในมือถือก็พูดขึ้นมาเสียงเรียบๆว่า ไปสิ เธอแพลนมาเลย โอ้โหหหหห คุณแม่ บทจะของ่ายก็ง่ายเฉยเลย นั่นล่ะค่ะทริปนี้จนเกิดขึ้น (รัวมือ XD)
               ด้วยความทีประเทศเช็กเป็นประเทศเล็กๆไม่ได้มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเยอะอย่างเยอรมนีหรือออสเตรีย ทำให้ไม่สามารถก็อปปี้แผนการเดินทางของใครได้มากนัก พอไปเปิดหนังสือท่องเที่ยวตามร้านหนงสือ ก็จะเจอพวกตะลุยยุโรปตะวันออกซะมากกว่า แต่ยังไงซะยุโรปก็ยังเป็นยุโรป ส่วนตัวคิดว่าประเทศในแถบยุโรปมีการคมนาคมที่ค่อนข้างสะดวก รถไฟ รถเมล์ รถบัสเอยมากันตรงเวลา และมีระบบจองตั๋วที่ค่อนข้างง่าย ทำให้วางแผนได้ไม่ยากนัก แต่วางไปวางมาก็พบว่า เห้ย ปรากมันเล็กจริงๆอะ เที่ยวในโซนท่องเที่ยวปรากก็หมดได้ภายใน 2 วัน เราเลยต้องวางแผนไปเมืองอื่นด้วย ทีนี้ก็มึนเลยค่ะ ด้วยความที่อ่านพันทิปมามากมายหลากหลายกระทู้ ทุกคนที่เคยไปมาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ขึ้นรถบัสไปตามเมือง สามารถจองตั๋วได้ในเว็บเลย ง่ายๆสบายๆ แต่พอเราเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ นังเว็บเจ้ากรรม ดันเป็นภาษาเช็กค่ะ โอ้โห ทีนี้ทำไง ด้วยความที่มีความรู้ภาษาเยอรมันแบบงูๆปลาๆ ก็ลองดู ปรับเป็นเยอรมัน พร้อมกับเปิดดิก (พจนานุกรม) ควบคู่ไปด้วย เอ๊ะ ก็ลื่นขึ้นมาหน่อย 
                 เมื่อเราวางแผนจนเสร็จทีนี้ก็ถึงเวลา ตรวจทานของหม่อมแม่ พอรับแผนการเดินทางที่พิมพ์ใส่กระดาษอย่างดีของเราไปอ่าน แม่ก็จัดการยื่นไอแพดกลับคืนมาให้ นี่ก็รับมาแบบงงๆ พอดูเท่านั้นแหละ อื้ออหือออ โดนคุณแม่หักหลัง คุณแม่บอกว่า ไปทัวร์เถอะเธอ ไปเกือบๆหน้าหนาว (ช่วงเดือนพฤศจิกายน) กระเป๋ามันหนัก เสื้อกันหนาว 2 ตัวก็ตายแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือ เข่าทรุดแปป แม่จ๋าาา แล้วที่วางแผนมาเป็นเดือนๆคืออะไร ? แต่พอได้ลองอ่านๆก็พบว่าทัวร์นี้ก็ไม่เลว เพราะเป็นทัวร์ของคนไทยที่อยู่ที่นู่น รูปแบบทัวร์จะเน้นไปปล่อยตามเมืองแล้วให้เดินเที่ยวเองซะส่วนมาก เราก็เลย อะโอเค ไปกับทัวร์ก็ได้ ไม่มีปัญหา หม่อมแม่จะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าเอง (ได้แต่พับแผนทัวร์เก็บใส่ลิ้นชักเงียบๆ)
                 
  •             เราจะไม่พูดพร่ำทำเพลงเรื่องราวในสนามบินทั้งไทยและที่เวียนนา (เครื่องบินตรงไปแถบนั้นมแค่ออสเตรียที่ดูจะใกล้กับเช็กหน่อย เลยตัดสินใจบินไปลงที่กรุงเวียนนา ออสเตรีย เพื่อนั่งรถต่อไปยังเช็ก) ถึงแม้จะมีเรื่องราวให้วุ่นวายใจ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องขึ้น ตีสามครึ่งแต่ดีเลย์ไปยันตีสี่ สภาพอากาศไม่เป็นใจ แหม่มที่นั่งข้างหน้าเปิดไฟอ่านหนังสือเกือบทั้งไฟล์ท แต่เราจะขอข้ามไปถึงตอนที่ พี่ไกด์ได้พูดว่า่ ยินดีต้อนรับสู่สาธารณรัฐเช็กค่ะ นั่งรถไปไม่นานเราก็เข้าสู่กรุงปราก พอมาถึงพี่ไกด์ปล่อยเราลงจากรถแล้วก็บอกเส้นทางว่าถ้าอยากไปที่ไหนต้องไปยังไง อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง จากการหาข้อมูลมาเราก็พอมีจุดหมายมาก่อนแล้วว่า เราอยากไปดูตามที่เที่ยวแมสๆก่อน พวกนาฬิกาดาราศาสตร์ ปราสาทปราก สะพานชาร์ลส์ ฯลฯ โชคดีที่รถจอดอยู่แถว Old Town Square ซึ่งเป็นที่ตั้งของ นาฬิกาดาราศาสตร์และสามารถเดินต่อไปยังสะพานชาร์ลส์ได้สบายๆ แต่ถ้าจะไปปราสาทปรากจะค่อนข้างไกลพอสมควรแนะนำว่านั่งรถไปดีกว่า ตอนไปถึงก็เป็นช่วงเที่ยงๆบ่ายๆแล้ว ตามวิถีของตระกูลเราคือ เรื่องกินเรื่องใหญ่ค่ะ พอเดินลงจากรถปุ๊ปก็จะเป็นจัตุรัสกลางพอดี แหล่งรวมนักท่องเที่ยว สบายละทีนี้ ของกินเยอะชัวร์ๆ แต่พอเดินแล้วพบว่าข้างๆถนนมีร้านอาหารอยู่ซักสามสี่ร้านได้ เราเลยเลือกกินอาหารสุดพิเศษที่คนต่อคิวเยอะม๊ากกกกกก อย่างขาหมู เพราะดูแล้วน่าจะอิ่มให้พลังงานเดินได้ทั้งวัน สั่งขาหมูมากินกับอะไรซักอย่างที่อ่านไม่ออกเพราะเป็นชื่ออาหารเช็กเลย แต่คิดว่ามันเป็นมันบด เพราะรสชาติเหมือนมากกินกับกะหล่ำปลีฝอยๆ ก็โอเคนะ กินได้อยู่แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบอาหารเลี่ยนๆอาจไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ นับว่ามื้อแรกในเช็กผ่านไปแบบไม่ทุลักทุเลนัก จริงๆก่อนมาค่อนข้างกังวลเรื่องอาหารเหมือนกัน เพราะว่าเคยมาโซนยุโรปรอบนึง แต่ตอนนั้นไปสวิสเซอร์แลนด์กับอิตาลี ซึ่งเรากินอาหารท้องถิ่นแทบไม่ได้เลย อาศัยกินอาหารญี่ปุ่น (มาม่า) ซะส่วนมาก อาหารที่นี่ส่วนใหญ่จะเสริฟมาจานใหญ่มาก ต้องกินแบบสองคนหนึ่งจาน บางร้านสามคนหนึ่งอย่างยังไม่หมดด้วยซ้ำ ยังดีที่มีเพื่อนในทัวร์คนอื่นๆสั่งมากินด้วยกัน ทุกๆมื้อเราเลยได้กินหลายอย่าง 


                  พอกินเสร็จปุ๊ป ก็ได้เวลาเดินสำรวจพื้นที่ซักหน่อย จากร้านเดินไปหน่อยก็จะถึงจุดแลนด์มาร์กของ Old Town Square คือ นาฬิกาดาราศาสตร์ เป็นนาฬิกาที่มีอายุ 600 กว่าปี แน่นอนว่าที่เที่ยวแมสๆ มีประวัติยาวนานขนาดนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ นัก ท่อง เที่ยว! เยอะมาก แทบจะไม่มีที่ให้แทรกตัวเข้าไป นาฬิกานี้จะตีเป็นเวลา เมื่อครบชั่วโมงก็จะเล่นกลไก ตอนรู้ว่ามันมีกลไก ในหัวเราก็จินตนาการไปใหญ่โตมาก เนี่ยเดี๋ยวต้องมีเสียงนาฬิกาตีเป้งๆ แล้วต้องมีนกกุ๊กกูป๊อปอัพออกมาแน่ๆ โอ้ยย ตื่นเต้น รอดูใจจดใจจ่อ นับถอยหลังตามทุกวินาที พอครบชั่วโมงปุ๊ปก็มีเสียงตีเป้งๆๆจริงๆ แต่ที่พีคกว่านั้นก็คือ กลไกของมันเนี่ยแหละ ต้องบอกกก่อนว่าเจ้านาฬิกาเรือนนี้เป็นนาฬิกาที่ติดอยู่กับโครงสร้างของตึก ตัวตึกและนาฬิกาเป็นสีเหลืองๆครีมๆ เป็นนาฬิกาทรงกลมตัวเข็มมีรูปพระอาทิตย์ ข้างๆนาฬิกามีหุ่นรูปโครงกระดูก ข้างละ 2 ตัว ข้างบนวงนาฬิกามีรูปปั้นสาวกของพระเยซูอยู่ตรงกลาง ข้างๆเป็นบานสี่เหลี่ยมสองบาน ซึ่งกลไกของมันก็อยู่ตรงบานสี่เหลี่ยมนี่แหละ บานมันจะเลื่อนออก เผยให้เห็น รูปปั้นคนถือไม้กางเขน ถือค้อน ถือถ้วย หลายตัวมาก วนๆกัน ซึ่ง ซึ่ง ซึ่ง ไม่มีสิ่งใดเป็นป๊อปอัพออกมาเลย ด้วยความที่จินตนาการไว้เยอะไปหน่อย พอมันน้อยกว่าที่จินตนาการเราเลยรู้สึกผิดหวังน้อยๆ 
                   
  •                 หลังจากผิดหวังกับนาฬิกาดาราศาสตร์ไป เราก็เดินต่อไปที่สะพานชาร์ล แต่สะพานชาร์ลเขาว่ากันว่า ถ้าไม่ไปดูตอนพระอาทิตย์ขึ้น ก็ให้ไปดูตอนพระอาทิตย์ตกเลย ไอเรามันก็เชื่อที่เขาว่ากันว่าซะด้วย เลยค่อยๆเดินเล่นในจัตุรัสไปเรื่อยๆ เดินไปเดินมาก็มาโผล่ที่ Wenceslas Square เป็นถนนชอปปิ้งสายใหญ่ของปรากเลยก็ว่าได้ ที่นี่แยกเป็นซอยเล็กซอยน้อยจะเห็นวัยรุ่นมากันเป็นคู่ๆบ้าง มากันเป็นกลุ่มเพื่อนบ้าง ที่นี่นับว่าเดินจนเพลินเลยทีเดียวสำหรับผู้ชื่นชอบการแต่งตัว เพราะร้านเสื้อผ้ามีเยอะมาก แต่ที่เรามาสะดุดตามากๆก็คงเป็นคาเฟ่ tram เป็นร้านคาเฟ่ที่ออกแบบเป็นรูปรถรางหรือรถ Tram ตั้งอยู่เกาะกลางถนน เราคิดว่ามันอาจจะเป็นคาเฟ่ที่ฮิตกันในแถบคนท้องถิ่น เพราะคนในร้านค่อนข้างเยอะ มีคนถ่ายรูปกับ Tram เพียบเลย 
                   เดินต่อไปจากเจ้าคาเฟ่ Tram ไปเรื่อยๆจะเจอร้านขายอาหารแบบเร่งด่วนอยู่เรียงกันไปตามถนนเลย ที่บอกว่าเป็นอาหารแบบเร่งด่วนเพราะว่าตัวร้านลักษณะเป็นเหมือน Foodtruck ขายพวกฮอทดอก เบอร์เกอร์ กาแฟ โกโก้ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ไส้กรอก! ที่นี่จะเห็นร้านขายไส้กรอกอยู่ในทุกๆที่ เรียกได้ว่าทื่ไทยเห็นเซเว่นบ่อยแค่ไหน ที่นี่ก็ต้องเห็นร้านขายไส้กรอกเนี่ยแหละ แต่เราคงต้องขอเก็บเมนูไส้กรอกไว้ซะก่อน เพราะอาหารเช้าของโรงแรมส่วนใหญ่ต้องเป็นไส้กรอกแน่ๆ และเราคงได้กินมันไปอีกหลายวันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเราก็เดินไปเรื่อยๆ แต่เอ๊ะเดินไปเดินมาชักเริ่มหนาวแฮะ เรากับแม่เลยตัดสินใจเข้าตึกๆนึงไปเผื่อหาอะไรกิน ตอนแรกที่ตัดสินใจเดินเข้าไปเพราะว่าเห็นป้าย dm เป็นสัญลักษณ์ของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่ หะเข้าไปหานมกินซักกล่องกับสลัดง่ายๆ แต่พอเดินเข้าไปเท่านั้นแหละ ไหน dm คะคุณ คือมีแต่ร้านเสื้อผ้าเต็มไปหมด เดินวนแล้ววนอีก วนจนชนที่เดิมมาสามรอบแล้วก็ยังหาไม่เจอ และแน่นอนที่นี่คือดินแดนโบฮีเมีย ที่ซึ่งไม่พูดภาษาเยอรมัน โครงการสปีคด๊อยช์ก็ต้องพับไปก่อน เดินจนหม่อมแม่เริ่มเมื่อย จะหาที่นั่ง แต่พอจะหาที่นั่งเท่านั้นแหละ เจอบันไดเลื่อนเฉยเลย ปรากฎว่าเจ้า dm supermarket เนี่ยมันอยู่ชั้นสอง ตอนนั้นใจสั่นแรงมาก คือหิวมากกกกก หิวจนคิดในใจแล้วว่ามือจะต้องเดินไปคว้าอะไรบ้าง พอเดินเข้าไปก็พบว่ามันไม่ได้ขายอาหารสดหรืออาหารกระป๋องอะไรให้กินได้เลยเนี่ยสิ ขนาดนมยังขายเป็นแพคเลย ถ้าจะให้กินของที่ขายในนี้คงกินได้แต่น้ำยาล้างห้องน้ำ กับน้ำยาซักผ้าแน่ๆ จริงๆมันก็พอมีขนม ลูกอมพวกนี้ขายนั่นแหละ แต่จุดนั้นคือต้องการของหนักมาถ่วงกระเพาะ อารมณ์คิดถึงเซเว่น แฟมิลี่มาร์ท ลอว์สันที่บ้านเกิดเมืองนอนมาเต็มมาก เรากับแม่ทำได้แค่เฝดตัวเองออกมาเงียบๆ เดินออกมาแบบหงอยๆ แต่ทันใดนั้นตาก็เหลือบไปเจอป้ายคำว่า SUSHI!!! โอ้โหเหมือนเห็นโอเอซิสกลางทะเลทราย เรากับแม่พุ่งเข้าไปชาร์จที่เมนูเร็วมาก โดยที่ไม่ได้สบตากันแม้แต่น้อย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น จริงๆ
                เมื่อเติมพลังกันไปเต็มที่ ก็ถึงเวลาเดินไปยังสะพานชาร์ลส์อันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงปราก พอไปปุ๊ป โอ้โหห ประชากรบนสะพานค่อนข้างหนาตา แต่ถึงแม้คนจะเยอะก็ไม่ได้ทำให้สะพานนี้ลดความสวยงามลงไปเลย บนสะพานจะมีศิลปินมาตั้งแผงขายผลงานตัวเองกันอยู่พอประมาณ แต่ศิลปินที่นี่ไม่เหมือนกับศิลปินบ้านเรา ที่นี่ต้องมีใบอนุญาติกันเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งกว่าจะได้เจ้าใบอนุญาตมาก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาเนี่ย มันเป็นของเขาจริงๆ ผลงานที่อยู่บนสะพานจะมีตั้งแต่ รูปวาดวิวทิวทัศน์รอบๆสะพาน รูปบุคคลสำคัญ รูปการ์ตูน รับวาดภาพเหมือนไปจนถึงเครื่องประดับ 



  •              พระอาทิตย์ตกที่สะพานชาร์ลส์จะเป็นพระอาทิตย์ตกที่ไม่ลืมเลย มันสวยสมคำร่ำลือมากจริงๆ ท้องฟ้าสีส้มแดงปนชมพูนิดๆ มีสะท้อนเงาพระอาทิตย์ในแม่น้ำ คู่มากับอากาศเย็นๆสบายๆ ตอนนั้นนึกถึงคำพูดที่ชอบมีในละคร ที่ว่า ชาตินี้คงนอนตายตาหลับแล้ว เห้ยย คือมันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มาจนถึงวันนี้ ภาพนั้นก็ยังติดอยู่ในใจ....
                เมื่อพระอาทิตย์ตก ช่วงเวลาแห่งราตรีก็เริ่มต้นขึ้น เดินเลยสะพานชาร์ลส์ไปจะเจอกับถนนขายของที่ระลึกเป็นทางยาวๆ มีวงดนตรีมาเล่นเปิดหมวกอยู่หนึ่งวง ซึ่งวงนี้เราว่าเก๋มาก เท่าๆที่เดินผ่านมานักดนตรีเปิดหมวกที่นี่จะเล่นกันแบบเดี่ยวๆมากกว่า คนยืนล้อมวงดูดนตรีค่อนข้างมาก พวกเขาเล่นทำนองสนุกๆเหมาะแก่การเต้น มีฝรั่งบางคนก็เต้นแทปๆเท้าตาม ทำให้บรรยากาศสนุกมาก เหมือนอยู่ตามโรงเบียร์เลย
              เดินไปเดินมา อ้าว หิวอีกแล้ว (อากาศหนาวทำให้เราหิว: ตรรกะเราเอง) เราเลยเลือกที่จะเดินออกมาจากแถบสะพานชาร์ลส์ เดินออกมาตามถนน เดินลัดนู่นลัดนี่ไปก็ไปเจอกับร้านอาหารไทยอยู่ร้านหนึ่ง ตอนแรกๆก็กลัวไม่กล้าเข้า ด้วยความที่บ้านเมืองเขาหนาว ร้านอาหารส่วนมากก็จะชอบฝังตัวอยู่ตามตึก อาคาร สตรีทฟู๊ดแบบบ้านเรานี่ลืมไปได้เลย ร้านค่อนข้างทึบ ดูแทบไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นร้านขายอาหารถ้าไม่ขึ้นชื่อว่า Thai Food จังหวะที่กล้าๆกลัวๆก็มีคนเปิดประตูออกมาพอดี เลยมีความกล้าขึ้นมานิดนึง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเด๋อด๋าว่า เอ๊ะ เราจะเปิดประตูไปถูกฝั่งรึเปล่า พอเข้าไปก็พบว่า เอ้อ อาหารบ้านเรานี่ก็ดังที่นี่เหมือนกันนะ เพราะว่าคนเต็มทั้งร้านเลย ดีที่ว่าที่ร้านมีสองชั้น แต่ชั้นสองก็เหลือที่อยู่แค่สองโต๊ะเอง สิ่งที่คิดว่าเราโชคดีในการเข้าร้านนี้ก็คือ พนักงานมีคนไทยด้วย อื้มหืมม รอดตายแล้ว อย่างงน้อยก็ได้สปีคไทย ไม่ต้องไปตบตีกับคนเช็ก เพราะคนที่นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ภาษาเช็กเราก็ไม่ได้ด้วย เวลาจะซื้ออะไรนี่ ภาษามือรัวๆเลยค่า 
           อาหารก็มีหลากหลายมากมายจริงๆ ตั้งแต่ข้าวต้ม ข้าวผัด แกงเผ็ดต่างๆ ยันก๋วยเตี๋ยว เราเลยลองสั่งผัดกะเพราหมู เมนูสุดเบสิคที่ไม่เบสิค ในอารมณ์ของคนคิดถึงอาหารรสชาติจัด พนักงานคนไทยพอเห็นคนไทยด้วยกันมาเขาเลยสั่งแบบเผ็ดให้ถูกใจมาก โดยความเผ็ดของที่นี่มีเผ็ดสามระดับคือน้อย ปานกลาง มาก และเผ็ดแบบ Thai Spicy คือเผ็ดอย่างคนไทย รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ในขณะที่เรากำลังจ้วงหมูเข้าปาก มือของคุณแม่ก็มายั้งเราไว้พร้อมกับพูดว่า เดี๋ยวก่อน ขอแม่อัพรูปลงเฟสบุ๊คก่อน!!! อะๆๆ ยอมคุณแม่นิดนึง แต่ขึ้นชื่อว่าคุณแม่ก็ต้องละเอียดยิบย่อยนิดนึง แม่หมุนจาน หมุนโทรศัพท์ประมาณสิบรอบได้ก็ยั๊งงงไม่ได้รูปที่ถูกใจซักที คนหิวก็นั่งรอไปสิ สุดท้าย แม่ก็ยื่นโทรศัพท์มาแล้วบอกว่า เธอๆถ่ายให้หน่อยสิ เอาแบบฮิพๆนะ เราถ่ายกว่าห้าครั้งถึงจะสมใจหม่อม (ขอโทษที่หนูถ่ายรูปไม่เก่ง)
  •           เราพบว่าอาหารไทยที่นี่อร่อยมากกกกกกกก !!!!!!! เหมือนแม่ครัวไทยมาเอง ทั้งๆที่แม่ครัวที่นี่เป็นคนเช็ก โอ้มายก็อดดดด สุดยอดมากๆ ไม่รู้ว่าหิว อร่อย หรือโหยหาอาหารบ้านเกิด มื้อนั้นเรากับแม่เลยต่อด้วยราดหน้าไก่ แล้วตบท้ายด้วยแกงส้มอีกหนึ่งถ้วย แต่นับว่าที่นี่อาหารไม่แพง เพราะค่าเงินที่นี่ค่อนข้างใกล้เคียงกับเมืองไทย เวลาจะซื้ออะไรสามารถคอนเวิดราคาได้ง่ายมาก เพราะ 1 เช็กโครนเท่ากับ 1.5บาทไทย
            พูดถึงเรื่องเงินๆทองๆ เมื่อกินเสร็จก็ต้องจ่ายเงินซะหน่อย พอเรียกพนักงานที่เป็นคนเช็กปุ๊ปเขาก็เอาบิลมาให้แล้วก็เดินไปเลย เรากับแม่ก็คิดว่า เอ้อ เดี๋ยวคงเดินกลับมา แต่รอซักพักก็ไม่เดินมา บวกกับพี่ไกด์ได้บอกเราก่อนปล่่อยแล้วว่าพนักงานที่นี่ อย่ายกมือเรียกเขาเด็ดขาด เพราะยกไปเถอะ เขาไม่เดินมาหรอก ต้องใช้การสบสายตาแทน เอาละ เรากับแม่ก็พยายามสบสายตาพนักงาน พยายามจนรู้สึกว่าอีกนิดเดียวจะเป็นสะกดจิตแล้ว แต่ก็ไม่มีคนมองเห็นสายตาของสองแม่ลูกเลย (อยู่นอกสายตาของเธอ...) จิกตาไปมาอยู่ซัก 5 นาทีก็มีพนักงานเดินมา แต่เขาก็ทำมือชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่โต๊ะเคาน์เตอร์ยาวๆโต๊ะหนึ่ง เรากับแม่ก็ยังงงๆ จนเขาถอนหายใจแล้วกวักมือให้เดินตามไป จึงได้รู้ว่า อ๋อออออออ เอาใบเสร็จมาจ่ายเงินตรงนี้จ้า แหม่ะ! แล้วก็ไม่บอกกันดีๆ......
            จากนี่เราก็ต้องเดินกลับไปยังสะพานชาร์ลส์เพื่อไปรวมตัวกับคนอื่นๆ เพื่อกลับที่พัก พอเดินออกมานอกร้าน เรากับแม่ก็เริ่มมีความรู้สึกที่แตกต่างกันคือ เรารู้สึกว่ามันต้องไปขวา แต่หม่อมรู้สึกว่ามันต้องไปซ้าย เอาละค่ะ ทีนี้ ทำไงล่ะ เน็ตก็ไม่ได้เปิดมา จะเปิดกูเกิ้ลแมพแล้วเดินตามก็ไม่ได้ ในร้านเข้าไปถามก็ดูจะยุ่งยาก เพราะลูกค้าเยอะ แต่พนักงานน้อย เลยลองสุ่มๆเดินกันเองแล้วกัน เริ่มจากวนซ้ายตามใจหม่อมหน่อย แต่ยิ่งเดินๆไปก็มีแต่ไฟถนน เพราะร้านค้าที่นี่ปิดกันไวมาก หกโมงนี่ก็ทยอยปิดแล้ว ตามสถานที่ท่องเที่ยว ทุ่มสองทุ่มนี่ก็ถือว่าเลทสุดๆแล้ว พอเดินไปเจอซอยก็คิดไม่ออกว่านี่เราเลี้ยวมากี่่ซอย บนถนนก็มีกันแค่สองแม่ลูก นาทีนั้นเริ่มกลัวนิดๆ ป้ายอะไรก็อ่านไม่ออก ยิ่งกว่าอ่านไม่ออกคือมันไม่มีป้ายนี่ซิ พอเริ่มเดินมาไกล แม่เลยตัดสินใจว่าวกทางเก่าเถอะ แล้วลองไปทางขวาแทน พอลองเดินทางขวา เดินไปเดินมาก็เหมือนเดิมเป็นวงกลมเพราะมาเจอร้านอาหารไทยร้านเดิมอีกจนได้ เราเลยตัดสินใจ เอาวะเดินเข้าไปถามสักคนในร้าน ปรากฎว่าไปเจอพี่พนักงานคนไทย (น้ำตาจะไหล....) ทำให้เราสามารถเดินกลับมายังสะพานชาร์ลส์ได้อย่างมีความสุข จบบริบูรณ์......
                  
  •          เอ้าา ยังค่ะ ยังๆๆๆๆ ก็แหมต้องมีกล่าวทิ้งท้ายนิดนึง จริงๆแล้วทริปนี้สองแม่ลูกไปกันถึง 4 ประเทศ 9 เมือง แต่ถ้าจะให้เลือกเมืองที่ประทับใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นเมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก เพราะเป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกที่ลุ่มลึกผ่านสถาปัตยกรรม ความมีสเน่ห์ผ่านที่เที่ยวแบบแมสๆ ที่ถึงแม้คนจะเยอะแค่ไหนแต่ความประทับใจมันก็ไม่ได้ลดลงไปเลย เราคงไม่ลืมว่าเราต้องเดินวนแถว Old Town Square กี่รอบ เราคงไม่ลืมว่าเราต้องเบียดฝูงคนมากแค่ไหนกว่าเราจะได้ดูนาฬิกาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก..... เราคงไม่ลืมว่านอกจากคนไทยจะทำอาหารไทยเก่งแล้วคนเช็กก็ยังทำอาหารไทยเก่งด้วย และก่อนไปจากเมืองนี้ เราให้สัญญาไว้ที่สะพานชาร์ลว่ายังไงๆ เราก็จะกลับมาที่นี่อีกครั้งให้ได้ รอเราหน่อยนะ :)


    แล้วพบกันใหม่ Prague ........ !
    Zatím PRAHA ............. !
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in