10 พฤศจิกายน 2564 เวลา 21.47 น.
อีกประมาณ 2 ชั่วโมงตัวเราจะก้าวเข้าสู่วัย 26 ปี แล้วซินะ เคยมีคนบอกว่าถ้าเรารู้สึกว่าเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็๋วแสดงว่าขณะนั้นเรากำลังมีความสุขอยู่ ถ้างั้นก็แสดงว่า 1 ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ของเรามันต้องไม่มีความสุขมากแน่ๆ เพราะเวลาช่างเดินช้าเหลือเกิน....
ย้อนกลับไปตอนที่ยังเด็กกว่าตอนนี้ เคยได้ยินพี่ๆพูดกันว่าอายุ 25 ปีคือวัยเบญจเพส คือวัยแห่งการเปลี่ยนแปลง คือวัยที่เป็นผู้ใหญ่ คือวัยที่ต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตเป็นที่สุด จะมีอุปสรรคมากมายต่างๆเข้ามา ต้องทำบุญสะสมแต้มบุญไว้เยอะๆนั่นนี่ ณ ตอนนั้นก็ได้แต่ฟัง ไม่เคยคิดว่าที่พี่ๆพูดกันนั้นจะจริงหรือไม่จริงอะไร เราก็แค่ฟังไว้เฉยๆเพียงเท่านั้น จนเวลาล่วงเลยผ่านนำตัวเองมาอยู่ในวัย 25 ปีถึงได้เข้าใจแล้วว่าที่พี่ๆนั้นพูดกันไม่เกินจริงเลย
เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัย 25 เรื่องแรกที่พบเจอคงไม่พ้น เรื่องเรียนป.โท ช่วงหลังวันเกิดปีที่แล้่ว ( 2020 ) การพรีเซ็นต์เพื่อขึ้นสอบ 3 บทเหมือนเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงตั้งแต่เรียนป.โท มา ตัวเนื้อหาที่เรียนมาตลอดระยะเวลา 2 ปีว่าเครียดแล้ว แต่ตัว IS ที่ต้องส่งจบที่ว่านี่เครียดกว่า และยิ่งเครียดขึ้นไปอีกเมื่อตัวเราเองนั้นไม่รู้ว่าจะหยิบยกเรื่องที่สนใจอะไรมาเป็นหัวข้อในการนำเสนอกับอาจารย์ที่ปรึกษา อันตัวเราเองนั้นตอนเรียนป.ตรี ก็เรียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ การใช้เครื่องมือเพื่อวิเคราะห์ตัวเลขออกมา และเข้าใจว่าสิ่งนั้นที่ล่ำเรียนมาคือสิ่งที่ถนัดที่สุด โดยหลงลืมไปว่าบางทีสิ่งที่เราถนัดมันอาจจะนำมาใช้กับเรื่องบางเรื่องไม่ได้เหมือนกัน เช่นครั้งนี้ ตัวเราตัดสินใจว่าจะใช้เรื่องที่เราถนัดควบคู่กับเทคโนโลยีทางการเงินยุคใหม่ที่เราสนใจ โดยไม่ได้คำนึงถึงความยากในการหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อมาอ้างอิงเล่มรายงานของเราเลยซักนิด เป็นความประมาทที่ทุกวันนี้ก็ยังนึกเจ็บใจว่าไม่ควรด่วนสรุปอะไรเร็วไปโดยที่ยังไม่หาข้อมูลเบื้องต้นก่อน และใช่พอเรานำเรื่องนี้ไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์เห็นดีเห็นงามเพราะเป็นเรื่องใหม่ที่น้อยคนจะทำ ในตอนแรกเราก็เข้าใจว่าพอหัวข้อผ่านนั่นถือว่าโอเค ผ่านไปหนึ่งแล้วที่เหลือก็แค่หาข้อมูลมาอัพเดทกับอาจารย์เรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่ายิ่งหาก็ยิงไม่มี ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ ถึงเจอก็เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับเราน้อยมากๆ ตอนนั้นท้อมากๆ ท้อแบบที่ว่าร้องไห้ออกมาทุกครั้งที่นึกถึงเล่มรายงาน ไม่อยากจะเปิดคอม ไม่อยากเปิดไฟล์รายงานเลย ทุกอย่างมันเซ็งไปหมด กลายเป็นมันทำให้เกิดความเครียดสะสม กระทบทั้งตัวเราเองและใครหลายๆคน หนำซ้ำทางบ้านก็ยังกดดันเรา ถามเสมอว่าเรียนไปถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะจบ คือมันบีบคั้นเรามากจริงๆช่วงเวลานั้น สุดท้ายเราถูๆไถๆผ่านมาได้ด้วยการผลักดันของตัวเองด้วย ของเพื่อนพี่ๆน้องๆที่เราไประบายด้วย กลั้นใจทำ 3 บท อยู่สัปดาห์นึงแล้วส่งให้อาจารย์อ่าน ทั้งๆที่ไม่เคยอัพเดทกับอาจารย์มาก่อนเลยตั้งแต่หัวข้อผ่าน อาจารย์ก็ดุมาแหละว่าทำไมถึงหายไปโดยที่มาอัพเดทกับอาจารย์เลย และใช่ เราได้แต่ยิ้มแหะๆ ตอบอาจารย์ไม่ได้ อยากตอบไปว่าเราอยากลาออก เราหมดแพชชั่น ทำไมเราต้องทำโปรเจคจบด้วย แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร สุดท้ายสอบ 3 บท ก็ผ่านไปได้แม้จะทุลักทุเลโดนดุมาหน่อยแต่ก็ผ่านมาอย่างหวุดหวิด แต่นี่ยังไม่จบกัับเรื่องเรียน หลังจากนั้น 3 เดือนต่อมาที่กำหนดส่ง 5 บทมาถึง ก่อนหน้านั้นเราก็เครียดอีกเช่นกัน เนื่องจากเราไม่สามารถหาข้อสรุปของการทำโปรเจคดังกล่าวได้ ติดตรงวิธีการที่นำมาใช้เราไม่สามารถหางานวิจัยมาอ้างอิงได้และไม่รู้ว่ามันต้องทำอย่างไร คำนวนอย่างไร เราทั้งอ่านรีเสิร์ชต่างประเทศ ให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศช่วยทำไปพร้อมๆกันก็แล้ว กลับไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาตอนป.ตรีให้เค้าช่วยก็แล้ว สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้วิิธีทำ พอไม่ได้วิธีทำก็ไม่ได้ผลลัพธ์ และสุดท้ายก็เขียนบทสรุปไม่ได้ ค้างคาไว้แบบนั้น จนวินาทีสุดท้ายที่อาจารย์ประจำภาคมาทวงเล่มกับเรา เราตัดสินใจเองไปเลยว่าเราจะไม่ส่งเล่ม และไม่ขึ้นสอบจบในเทอมนี้ และนั่นถือเป็นการโกหกเรื่องเรียนกับที่บ้านที่ใหญ่หลวงสำหรับเรามาก เราไม่ได้บอกที่บ้านก่อน เรามาบอกตอนที่การสอบผ่านไปแล้ว ว่าเราไม่ได้สอบจบในเทอมนี้ แต่เราเลือกที่จะสอบในเทอมต่อไป โดยที่เรานั้นย้ำกับที่บ้านไปว่าเราจะจ่ายค่ารักษาสภาพนิสิตด้วยตัวเอง คงเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ที่บ้านรู้สึกผิดหวังในตัวเราเรื่องเรียนอีกครั้ง หลังจากเคยเกิดเรื่องแบบนี้แล้วตอนปี 2 ที่เกือบโดนรีไทล์ สงสัยว่าเพราะงี้แม่เลยมีภูมิคุ้มกันแล้ว พอฟังเราพูดจบ แม่ก็ได้แต่พยักหน้าแล้วก็บอกเพียงแค่ว่า "ให้จบก็แล้วกัน" สุดท้ายเรื่องเรียนของเราก็ถูก pause ไว้แค่นี้เนื่องจากสถานการณ์โควิด เราไม่ได้เข้าไปพบอาจารย์ ไม่ได้อัพเดทงานกับอาจารย์ จะมีพูดคุยเรื่องปัญหาที่เจออยู่บ้าง แต่ยังไม่ได้คุยกันเป็นกิจจะลักษณะเสียที ณ เวลานี้ก็ใกล้ที่จะสอบของเทอมใหม่เข้าไปทุกที เราเองก็หวังว่าจากนี้เรื่องเรียนเราจะก้าวข้ามมันไปได้โดยที่เสียน้ำตาน้อยกว่าปีนี้แล้วกันนะ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น การเรียนไม่เคยสนุกเลยสำหรับเรา และยิ่งเรียนไปทำงานไปยิ่งไม่สนุกเลยจริงๆ
ส่วนเรื่องต่อมาคงไม่พูดถึงไม่ได้ ถือเป็นเรื่องหลัก หัวใจสำคัญของเรามาทั้งชีวิต รวมถึงวัย 25 ปีนี้ด้วย คือเรื่อง "ความรัก"....... ตอนช่วงต้นปี เราฉลองครบรอบ 1 ปีที่คบกันกับแฟนเราคนนึงที่อายุห่างกัน 3 ปี หลังจากที่หลายปีก่อนเคยคบกับแฟนเก่ามา 2 ปีเต็มๆ ถัดมาก็คงเป็นคนนี้แหละที่เราคบนานรองลงมา รู้จักกันช่วงหลังจากวันเกิดเรา ( 2019 ) ไม่นานเพราะว่าเล่นเกมด้วย และเราไปจีบน้องก่อน ไปปรึกษาน้องเรื่องชอบคนเดียวกันกับเพื่อน ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก ไปปรึกษาน้องด้วยเรื่องที่ชอบคนเดียวกันกับเพื่อนควรทำอย่างไรดี คุยไปคุยมา น้องดันน่ารัก ความน่ารักน้องมันแสดงออกมาทางตัวอักษร ก็เลยตัดสินใจโอนเอนมาจีบน้องแทน ใจง่ายนะว่ามั้ยตัวเราน่ะ ก็คุยกันอยู่ไม่นานสุดท้ายก็คบกัน ตลอดระยะเวลาที่คบกันก็มีเรื่องดีๆมากมาย จริงๆเราอยู่ห่างกันพอควรเลย แถมได้เจอกันแค่เสาร์อาทิตย์ บางอาทิตย์ก็ไม่ได้เจอ แต่เพราะว่าตอนนั้นเราโทรคุยกันทุกวันด้วย แบบวีดีโอคอลคุยกันทุกวันมันเลยทำให้เราไม่เหมือนอยู่กันไกลซักเท่าไหร่ และอีกอย่าง เรามักจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยแหละ สิ่งสำคัญที่สุดคือเพราะไลฟ์สไตล์ความชอบเราทั้งสองคนเหมือนกันมาก เราชอบกินอะไรคล้ายๆกัน เล่นเกมด้วยกัน อ่านหนังสือทำนู้นนี่คล้ายๆกัน คือสำหรับเรา เรากล้าพูดนะว่า เราไม่รู้ว่าจะไปหาคนที่จะเข้ากันได้มากกว่าน้องคนนี้ที่ไหนอีก คือเราเข้ากันได้มากจริงๆ แต่สุดท้ายการเลิกลาที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดจากการที่เราเข้ากันไม่ได้ มันไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่เข้าใจกันมากพอ แต่มันเกิดจากตัวเราเอง เราเองคนเดียว เราเลือกที่จะคุยกับคนอื่นตอนที่ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่กำลังระหองระแหง เราเอาเรื่องของเราสองคนไปปรึกษาคนอื่น โดยที่ไม่ได้คิดมาก่อนว่าแฟนเราในตอนนั้นจะคิดอย่างไร จนแฟนเราไปเจอแชทนั่นแหละ เหตุผลใดๆที่เราหยิบยกขึ้นมาเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดวันนั้นไม่มีความหมายเลยในวินาทีนั้น ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จบลง เราเลิกลากันโดยที่ตัวเราไม่มีน้ำตาซักหยดในวันที่เดินออกมาจากห้องเธอ แต่กลายเป็นเราสร้างบาดแผลให้เธออย่างใหญ่หลวง เรารู้หลังจากนั้นว่าเธอต้องไปหาหมอเพราะอาการผวา ตื่นขึ้นมากลางดึก เราโทษตัวเองมาตลอดนับจากวันนั้น เราขอโทษในใจกับตัวเองเป็นสิบๆรอบ และสุดท้ายเราก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกันไปแล้ว หนำซ้ำยังเกลียดหน้ากันไปเลยด้วยซ้ำ เอาจริงๆไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องเราทั้งคู่จะจบแบบนี้ิ เราเคยคิดว่าถ้าเลิิกกันกับเธอ คงจะต้องเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากแน่ๆ เทสอะไรหลายๆอย่างเราไปด้วยกันได้ดี แต่ไม่ใช่ ณ ตอนนี้ ถ้าเจอหน้ากันเราอาจจะทำเพียงแค่เดินสวนกันไปเฉยๆก็ได้....
หลังจากเลิกกับแฟนเก่าคนนีี้ได้เพียงสัั้นๆ เราได้คุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จักกันผ่านทวิตเตอร์ สำหรับคนนี้เรารู้สึกว่ามันเป็นความหวั่นไหวในช่วงเวลาหนึ่งของคนสองคนเท่านั้น ถึงแม้ว่าตอนนั้นเราตัดสินใจจะรอเขาเลิกกับแฟนก็ตาม แต่ก็ไม่เสียใจที่ได้ตัดสินใจไปแบบนั้นเลยจริงๆ ตอนนั้นความรู้สึกเราสองคนไม่เคยได้แสดงมันออกมาอย่างชัดเจนเลย เป็นความสัมพันธ์ที่อยู่ในความลับและเงียบๆ มันอึดอัดแต่ตอนมีความสุขก็มีความสุขจริงๆ สุดท้ายอะไรที่ไม่ได้เป็นของเราก็ไม่ได้เป็นของเราอยู่แล้ว เราเลือกที่จะเดินออกมาจากพี่คนนี้ และหลงเหลือไว้เพียงแค่ความหวังดีที่มีต่อกัน มันเป็นความหวังดีที่เรายังอยากให้เขาเจอเรื่องราวดีๆ ผู้คนดีๆ และรักที่ดีเสมอ พี่เเขาเองก็รู้สึกแบบนี้กับเราเหมือนกัน สุดท้ายเลยกลายเป็นคนที่เรานึกถึงเสมอเวลาเรามีปัญหาหรือไม่สบายใจอะไร และเราเองก็ทักพี่เขาไปเสมอเมื่อเห็นว่าเขามีเรื่องไม่โอเค เป็นเบาะรองรับคอยซัพพอร์ทซึ่งกันให้กันแบบนี้ จริงๆเป็นแบบนี้คงดีที่สุดสำหรับเราทั้งคู่แล้วแหละ......
มาถึงความรักครั้งล่าสุดจนได้... นับตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ที่เราเลิกรากับแฟนเก่าที่คบมา 2 ปี เราไม่เคยยกให้ใครเป็นทุกอย่างของเราอีก จนมาเจอเธอ... ภาพเธอที่อยู่ในโปรไฟล์แอพ Her วันนั้นเรายังจำได้ไม่ลืม เรากดปัดขวาทันที เรามักบอกเธอเสมอว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เหมือนหลุดออกมาจากในหัวสมองของเรา และมันเป็นแบบนั้นจริงๆตั้งแต่วันที่เราเห็นรูปเธอในไม่กี่วินาทีนั้น หลังจากทำความรู้จักกันนิดหน่อยเราก็เดินหน้าจีบเธอ รุกเธออย่างตรงไปตรงมา โดยที่ตั้งเป้าหมายไว้เลยว่ายังไงเราก็ต้องทำให้เธอยอมคบกับเราให้ได้ ซึ่งนั่นก็ไม่เกินความพยายามของเราเสียเท่าไหร่ เธอที่ย้ำกับเรานักหนาว่าความรักเป็นเรื่่องน่ากลัว เธอที่ถามเราซ้ำๆว่าแฟนคืออะไร และเธอที่เป็นฝ่ายบอกให้เราคบกันเถอะ เป็นแฟนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย วินาทีนั้นเราถึงจะขำแต่เราก็ย้ำกับตัวเองว่าเราไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยที่ได้คบกันแล้วจริงๆ และเราก็ได้คบกันจริงๆ การเจอกันครั้งแรกของเราเป็นไปได้ด้วยดี ดีมาก ดีมากจริงๆ เป็นเดทแรกที่เรากล้าพูดว่าดีที่สุดในชีวิต และไม่คิดว่าจะลืมเดทแรกนี้ได้ด้วย เราคบกันเพียงแค่ 4-5 เดือน เราเองก็ทำงานด้วย เธอเองก็ทำงานเหมือนกัน บวกกับช่วงโควิดที่เดินทางไม่ได้ด้วยทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกันก็จริง แต่ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ดีใจ ไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ตื่นเต้น และไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่มีความสุข ตอนคบกันเอาจริงๆก็เหมือนเราโดนทำของใส่นะ เราคลั่งรักเธอมาก ตามใจเธอที่หนึ่ง ซัพพอร์ทเธอทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรเราก็อยากหามาให้ อยากให้เธอยิ้้ม อยากให้เธอมีความสุข หลงลืมไปว่าเธอก็คือเธอ เผลอคิดไปว่าเธอคือทุกอย่างของชีวิตเรา จนในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้น เราเคยบอกเธอว่าเราไม่ชอบคนแบบไหน เราไม่อยากเป็นคนแบบไหน แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นเรากลับทำมันเสียเอง และเรากลับเป็นมันเสียเอง น่าเศร้าที่เรามัวแต่ขอโทษเธอซ้ำไปซ้ำมา และอ้างถึงความรักที่เรามีให้เธอจนหลงลืมความรู้สึกเธอไป ลองย้อนกลับไปคิดเราเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าวันไหน เรือ่งอะไร ที่ทำให้เราสองคนกลายเป็นความไม่สบายใจซึ่งกันและกัน เธอไม่อยากคุยกับเรา ส่วนเราก็กลัวการคุยกับเธอแล้วทะเลาะ แล้วทำให้เธอหงุดหงิด มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่เคยหวานชื่น แปรเปลี่ยนไปเป็น Toxic Relationship ได้ไงก็ไมรู้ ปัญหาเดิมๆก่อเกิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าเราเบื่อที่จะต้องพูดมันซ้ำๆต่อกันแล้ว เราพยายามกันมาที่สุดแล้ว และกลายเป็นเราเลือกที่จะจบความสัมพันธ์โดยที่วันสุดท้ายเราพูดคุยปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้่นกันด้วยความใจเย็นกันที่สุดทั้งคู่ การเลิกลาเวียนมาอีกครั้ง เราตกลงกันว่าจะเป็นพี่น้องกัน เพื่อที่จะได้เรียนรู้และรู้จักกันมากขึ้น ทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดี แต่เปล่าเลย เราทั้งคู่กลับมีเรื่องที่ทำให้ต้องเข้าใจผิดกัน... เธอเกลียดเราไปแล้ว เธออคติกับเราไปแล้ว และเราก็ไม่มีโอกาสได้อธิบายเรื่องที่เข้าใจผิดนั้นอีกต่อไป สุดท้ายเหมือนตอนนี้เรากำลังกลายเป็นคนเคยรู้จักกันแค่เฉยๆแล้วมั้งนะ
ปัญหาของตัวเราที่มองจากตรงนี้ตอนนี้วินาทีนี้คือการที่เราไม่มีความสุข เราไม่มีความสุขเลย ทำไมเราถึงต้องยกให้คนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง ทั้งๆที่บนโลกนี้ไม่มีใครเป็นความสุขให้ใครได้อย่างแท้จริง และเราควรมีความสุขด้วยตัวเองซิถึงจะถูกต้อง แต่ทำไมเราถึงทำแบบนั้นไม่ได้ การมีคนรักสำหรับเราเพิ่งจะมาคิดได้เอาตอนนี้ว่าเพราะตัวเองไม่มีความสุขจากตัวเองเลยต้องหาใครซักคนมาทดแทนสิ่งที่เราทำเองไม่ได้ ซึ่งมันไม่ใช่....
พรวันเกิดที่กำลังจะถึง ถ้ามันมีจริงๆ อยากจะขอให้ตัวเองพบเจอกับความสุขที่เกิดจากตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากใคร เป็นความสุขที่ถึงแม้เราจะต้องอยู่คนเดียวไปตลอดอายุขัยก็ยังมีความสุขได้ ปีนี้มันเหนื่อยมากจริงๆนะ น้ำตาที่ไหลรินออกมาคือหมดไปเป็นแกลลอนได้แล้วมั้ง ขอได้มั้ย ขอพบเจอความสุขจริงๆซักที ความสุขที่เกิดจากตัวเองมันเป็นยังไง อยากรู้อยากพบเจอ อยากเอาไปบอกใครต่อไปใครได้ว่าแบบ เห่ย อยู่คนเดียวก็ไม่ได้แย่นะ มีความสุขจะตายไรงี้บ้าง พรข้อนี้คงไม่ได้ยากไปใช่ไหม ที่ถามนี่ไม่ได้ถามใครหรอก ถามตัวเองนั่นแหละ "กลับมารักตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ฟังเสียงหัวใจตัวเอง มันคงไม่ยากเกินไปใช่ไหม" หวุังว่าหลังจากนี้จะมีความสุขได้อย่างจริงๆจังๆซักทีนะ บะบายเบญจเพส เล่นเอาซะหนักหนาเหมือนกันนะ และสวัสดี 26 ปีของฉัน มาเริ่มต้นปีใหม่นี้ด้วยการยิ้มและบอกรักตัวเองเยอะๆกันเถอะ
แกเก่งมากๆ ที่เขียนบทความจนยาวมาได้ถึงตรงนี้ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นมาตักบาตรนะ ฝันดีนะตัวฉันที่อายุ 25 .....
23.51 น.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in