เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First StoryPP_Planet
First Thai Au Pair in Nebraska
  • "รัฐอะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีซิ"
    "ไม่เคยได้ยินชื่อรัฐนี้เลย"
    "มันอยู่ตรงไหนของอเมริกาอ่ะ"
    นี่เป็นประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆจากคนรอบตัวหลังจากที่เราบอกไปว่าเรากำลังจะไปเริ่มต้นใช้ชีวิตในฐานะออแพร์ที่รัฐ Nebraska

    เราว่าก็ไม่แปลกนักหรอกที่คนส่วนใหญ่จะต้องงงว่ารัฐนี้มันอยู่ส่วนไหนของสรัฐอเมริกา เพราะแม้แต่ตัวเราเองเราก็ยังงงไม่ต่างกับทุกคนเลย

    เราได้ match กับ host family ที่อาศัยอยู่เมือง Omaha เมืองที่ไม่ได้เป็น capital city ของ Nebraska หากแต่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของ Nebraska รัฐที่ตั้งอยู่ในส่วน Midwest ของสหรัฐอเมริกา หากอ่านถึงตรงนี้แล้วทุกคนก็ยังคงนึกภาพไม่ออกว่า Nebraska ตั้งอยู่ส่วนไหนของสหรัฐอเมริกา Nebraska ตั้งอยู่ใจกลางสหรัฐอเมริกาค่อนไปทางตะวันตกและถูกล้อมรอบด้วยรัฐเพื่อนบ้านอย่าง Iowa, Missouri, Kansas, Colorado, Wyoming และ South Dakota

    นับเป็นความท้าทายในชีวิตอย่างนึงก็ว่าได้ในการเลือกไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองและรัฐที่แทบจะไม่มีข้อมูลอะไรเป็นภาษาไทยให้เราได้ค้นหาและทำความรู้จักเมืองที่ตัวเองกำลังจะไปอยู่ในระยะเวลาหนึ่งปีต่อจากนี้ แม้แต่กลุ่มคนไทยใน Nebraska เราก็ยังไม่เคยเจอ รีวิวใดๆจากคนไทยที่เกี่ยวกับ Nebraska ก็ไม่เคยได้พบ แม้แต่รีวิวจากออแพร์ต่างชาติที่มาอยู่ Nebraska เราก็ไม่เคยเห็น เราจึงขออนุมานเอาว่าเราคือออแพร์ไทยคนแรกในรัฐ Nebraska และความท้าทายนั้นแหละที่ทำให้เรายิ่งอยากรู้และอยากค้นหาหลายๆคำถามในหัวเราและหลายๆอย่างที่อยู่ที่นั่น

    เราใช้เวลาในการเตรียมตัวเดินทางประมาณเกือบ 1 เดือนหลังรู้ผลวีซ่า นับเป็นเวลาที่ไม่ได้มากสำหรับเราเนื่องจากเรายังไม่ได้ทำเรื่องลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่และนี่เป็นการเดินทางไปต่างประเทศระยะยาวแบบที่ต้องใช้ชีวิตอยู่นานนับปีเป็นครั้งแรก ไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางท่องเที่ยวแบบที่เราเคยไปมา

    ในที่สุดวันเดินทางไปใช้ชีวิตในอีกซีกโลกของเราก็มาถึง เราใช้เวลาในการเดินทางจากไทยไปถึง Omaha, NE นานถึง 30 ชั่วโมงโดยการต่อเครื่องบินถึง 3 ลำ เราออกจาก Suvarnabhumi Airport (BKK) ไปยัง Hamad International Airport (DOH) และต่อเครื่องบินลำถัดไปเพื่อไปลงที่ O'Hare International Airport (ORD) และต่อสุดท้ายไปที่ Eppley Airfield (OMA)

    ด้วยความที่ route บินของเราต้องบินผ่านทั้งทวีปเอเชียและยุโรป จึงทำให้เราได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามและแตกต่างในทุกๆไมล์ที่เราบินข้ามผ่าน

    นี่คือภาพที่เราถ่ายได้จากหน้าต่างเครื่องบินตอนเรากำลังออกจากโดฮา เราค่อนข้างทึ่งกับความสามารถของมนุษย์ที่เนรมิตสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ขึ้นมาได้

    หลังจากนั่งๆนอนๆมาได้หลายชั่วโมงนับแต่เครื่องออกจากโดฮา เราก็มาถึงน่านฟ้าของยุโรป ทวีปที่เราใฝ่ฝันว่าอยากจะไปสักครั้ง แต่คงต้องรอเป็นโอกาสหน้า ตอนนั้นแค่ได้บินผ่านก็ดีใจมากแล้ว

    และนี่ก็คือวิวที่เราชอบที่สุดในการเดินทางอันยาวนานของเราครั้งนี้ นี่เป็นภาพที่เราถ่ายได้ตอนบินเหนือเทือกเขาแอลป์ เป็นภาพที่น่าทึ่งมาก ของจริงคือสวยแบบมองไม่เบื่อเลยจริงๆ 

    และภาพนี้ก็เป็นอีกหนึ่งภาพที่เราก็ชอบมาก เป็นวิวตอนที่เราบินผ่านสวิตเซอร์แลนด์
  • แม้จะเป็นการเดินทางที่ยาวนานกว่า 30 ชั่วโมง แต่โชคดีที่เราแทบไม่มีอาการ jet lag ในวันถัดไปเลย ถึงจะโชคดีเรื่องนี้แต่เรื่องปรับตัวกับสภาพอากาศที่นี่คือไม่รอดนะ เราดันมาถึงที่นี่ในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูจากฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวพอดี ช่วงสัปดาห์แรกที่มาถึงที่นี่เราก็หนีไม่พ้นอาการเจ็บคออย่างรุนแรงถึงขนาดเสียงแหบแห้งแถมกลืนอะไรแทบไม่ลงอีก หวัดก็มี คัดจมูกอะไรก็มาหมด ด้วยความสงสัยว่าจะติดโควิดรึเปล่า เราจึงทำการตรวจโดยใช้ ATK ที่เราพกมาจากไทย นับว่ายังโชคดีที่เดินทางบนเครื่องบินนานข้ามวันข้ามคืนถึง 30 ชม. แถมเปลี่ยนสนามบินเยอะขนาดนี้แต่ก็ยังรอดจากโควิดมาได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าการใส่ mask ตลอดเวลาที่บินตั้งแต่ไทยมาจนถึงอเมริกาในช่วงนี้เป็นอะไรที่ลำบากมากจริงๆ

    อากาศที่นี่ค่อนข้างแปรปรวนมาก บางวันหนาว บางวันหนาวมาก ช่วงที่เรามาถึงอุณหภูมิจะอยู่ที่เลขตัวเดียวตลอด บางวันก็ติดลบ คงไม่แปลกถ้าเราจะป่วยได้ง่ายๆ
    กว่าจะหายป่วยก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์ และกว่าจะปรับตัวให้ชินกับอากาศหนาวและแห้งของที่นี่ได้ก็ปาเข้าไปเป็นเดือนเหมือนกัน ช่วงเดือนแรกไม่มีวันไหนเลยที่เราจะไม่รู้สึกหนาวจนสั่น ถึงแม้เราจะประโคมใส่เสื้อกี่ชั้นรวมถึงใส่หมวกไหมพรมแล้วก็เถอะ ก็เหมือนจะยังเอาไม่อยู่กับอากาศสุดโหดของที่นี่ ยิ่งช่วงเข้าฤดูหนาว บางวันหนาวกว่าแคนาดาเลยก็มี

    นี่คือวิวหลังบ้านเราช่วงที่เรามาถึง ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีส้มและกำลังจะร่วงโรยต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เป็นวิวที่เราตื่นมาเจอแล้วอยากนั่งมองบ่อยๆ

    เราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่สวนสัตว์ที่ดังและใหญ่ที่สุดใน Nebraska เรายังได้ยินมาอีกว่าที่นี่ติด Top 5 ของสวนสัตว์ระดับโลกด้วย พอมาเห็นกับตาก็อาจจะจริง เพราะที่นี่ใหญ่มาก เดินวันเดียวก็ไม่หมด ที่เห็นในภาพนั่นคือโดมแก้วขนาดใหญ่สำหรับสัตว์เขตทะเลทราย ด้านในร้อนใช้ได้ แตกต่างจากอากาศที่หนาวเย็นข้างนอกมาก

    นี่เป็นด้านนอกของอควาเรียมที่เรากำลังจะเข้าไปชมโลกใต้น้ำกัน ตัวอควาเรียมก็ใหญ่ไม่แพ้โดมแก้วเลยทีเดียว

    ส่วนตัวเราค่อนข้างประทับใจในความอลังการของอควาเรียมที่นี่จริงๆ อุโมงค์ใต้น้ำที่นี่ใหญ่และยาวเกินพอที่จะให้เราเพลินเพลินกับบรรดาสัตว์น้ำจนลืมเวลาราวกับหลงมา
    อยู่อีกมิตินึงยังไงยังงั้น เราไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงติดหนึ่งใน Top 5 ของโลก

    หลังจากเดินในอควาเรียมอยู่นานเราก็ได้ไปดูสัตว์อีกสองสามแห่ง ถ้าจะเดินให้หมดสวนสัตว์จริงๆเราคงได้ขาลากแน่ วันเดียวไม่พอสำหรับที่นี่จริงๆ ใครได้มา Nebraska อย่าลืมมาแวะเยี่ยมชมความอลังการของสวนสัตว์แห่งนี้กันได้นะ

    เข้าใกล้เดือนธันวาคมก็เข้าใกล้ Christmas เข้าไปทุกที
    host family เลยพาเรามาซื้อต้นสนไปประดับบ้านซะหน่อย แต่ซื้อแบบธรรมดาได้ซะที่ไหน นี่เป็นการซื้อต้นสนแบบมาตัดเอง ใช่ค่ะ มาตัดเอง ทุกคนอ่านไม่ผิด ครั้งแรกที่ host ทั้งสองบอกเรา เราก็ยังคิดว่าล้อเล่น แต่นี่เป็นเรื่องที่ปกติสำหรับคนที่นี่เลยก็ว่าได้

    เมื่อเราไปถึงฟาร์มที่ปลูกต้นสนสำหรับขายในช่วงก่อน Christmas นั้น เราก็ต้องตกใจกับจำนวนผู้คนที่ต่างพากันมาเลือกซื้อเลือกตัดต้นสนจริงประหนึ่งช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้ายังไงยังงั้น

    ทุกคนต่างพาลูกๆหลานๆมาช่วยกันเลือกต้นสนที่จะนำไปประดับในเทศกาลอันแสนสำคัญนี้อย่างร่าเริง

    เลื่อยพร้อม คนพร้อม ก็จัดการตัดๆเจ้าต้นสนขนาดต่างๆตั้งแต่ต้นที่สูงเมตรกว่าๆไปยันสองเมตรกว่าๆ ส่วน host เรานั้นเลือกต้นที่สูงเกือบๆสองเมตรได้ พอใส่สแตนเข้าไปก็สูงเกือบติดเพดานบ้านเลยทีเดียว ภาพด้านบนคือเลื่อยต้นสนที่ต้องการเสร็จก็เอามาวัดส่วนสูงและคิดราคาค่าตัวต้นสนที่ตัดมา

    ต้นสนที่ถูกตัดก็จะถูกลำเลียงลงมาด้านล่างเขาที่ปลูกต้นสน อาคารที่หน้าตาเหมือนกระท่อมนั้นก็คือที่พัก
    และรับรองลูกค้าที่เหน็ดเหนื่อยและต้องทนหนาวตอนตัดต้นสนด้วยตัวเอง ด้านในอาคารจะมีเครื่องดื่มอุ่นๆเล็กๆน้อยๆให้ดื่มฟรีด้วย

    สิ่งที่ดูเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ดูเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเราไม่ใช่น้อย จะเรียกว่าเป็น Culture Shock นิดๆก็ว่าได้ ด้านบนคือภาพที่ทุกคนขนต้นสนขึ้นรถหลังจากที่เจ้าต้นสนทั้งหลายถูกห่อด้วยตาข่ายอย่างแน่นหนา
    เพืี่อรักษาสภาพของต้นสนไว้ไม่ให้หักหรือพังซะก่อนได้ใช้งานจริงระหว่างถูกขนส่งบนหลังคารถตามภาพที่เห็น

    นี่คือภาพที่ทุกคนจะเห็นได้ในช่วงเข้าฤดูหนาวและใบไม้ร่วงจากต้นไม้เกือบหมดทุกต้น เป็นภาพที่ทำให้เรานึกถึงภาพในอัลบั้ม Evermore ของ Taylor Swift ตลอด และก็อดไม่ได้ที่บรรดาเพลงในอัลบั้มนั้นของ Taylor จะวนเข้ามาในหัวเราอย่างซ้ำๆทุกครั้งที่ผ่านวิวทิวทัศน์ข้างทางแบบนี้

  • เราได้มีโอกาสไป Strategic Air Command & Aerospace Museum ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องบินและอวกาศ

    ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ก็จะถูกตกแต่งด้วยเครื่องบินและจรวดอยู่หลายแห่ง แม้แต่ลานจอดรถก็ไม่เว้น

    ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็จะรวบรวมเรื่องราวอันน่าสนใจและน่ารู้ไว้เพียบ ใครชื่นชอบเครื่องบินและอวกาศคงต้องรักที่นี่เหมือนเราแน่ๆ แม้ที่นี่จะใหญ่แค่ไหนแต่ด้วยความชอบและหลงใหลในเครื่องบินและอวกาศเราก็เดินสู้ไม่ถอย กว่าจะเดินครบคือขาลากไปหนึ่งกรุบ แต่การันตีได้เลยว่าคุ้มค่าเหนื่อยและเวลาที่เสียไปแน่นอน แอบกระซิบว่ามีอะไรเล็กไปน้อยๆเกี่ยวกับภาพยนต์ดังในอดีตที่นี่ด้วย Souvenir ของที่นี่ก็น่าสนใจไม่เบาเหมือนกัน เราก็แอบได้กลับบ้านติดไม้ติดมือมาด้วย

    เรายังได้มีโอกาสไปดูการแสดงบัลเล่ต์ที่โรงละครใจกลาง Omaha ด้วย เป็นเรื่อง Nutcracker ที่ทุกคนน่าจะต้องเคยได้ยินมาบ้าง คนมาดูเยอะแบบเต็มเกือบทุกที่นั่งเลยวันนั้น
    การแสดงก็ออกมาดีทั้งแสงสีเสียง ประทับใจเราเลย

    และแล้ว Christmas ก็มาถึง นี่คือต้นสนจริงที่ host เราเลื่อยเองกับมือวันนั้น พอมาอยู่ในบ้านจริงๆก็ใหญ่กว่าที่คิด กินพื้นที่บ้านไปเยอะอยู่เหมือนกัน พอต้นสนถูกตกแต่งแล้วก็มีเสน่ห์น่ามองทั้งวัน ทำให้เข้าใจ Spirit of Christmas เลยจริงๆ อยู่ที่ไทยว่าอินกับ Christmas แล้ว อยู่ทีีนี่อินกว่าสิบเท่า เพราะทุกพื้นที่ในบ้านจะถูกแต่งให้เข้ากับเทศกาลหมด ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางทีวี เตาผิง โต๊ะกินข้าว ขอบประตู ระเบียงบ้าน หน้าบ้าน ต้นไม้หน้าบ้าน ทุกๆที่ล้วนถูกเปลี่ยนต้อนรับเทศกาลนี้หมด เจ้าต้นสนนี่ก็จะอยู่กับเราไปตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนมกราคมเลย

    ถึงแม้ Christmas นี้จะไม่ใช่ White Christmas แต่ New Year นี้หิมะตกรับปีใหม่เลยนะ ภาพนี้คือวันที่หิมะกำลังตกตก ท้องฟ้าก็จะอึมครึมแบบนี้แหละ ส่วนอุณหภูมิต้อนรับปีใหม่ก็เบาๆ -17 เท่านั้นเอง ตอนออกไปข้างนอกวันนั้นเราแทบจะแข็งตาย สั่นไปทั้งตัว เสื้อกี่ชั้นก็เอาไม่อยู่จริงๆ หนาวกว่าแคนาดาเลยวันนั้น

    นี่คือวันถัดมาจากวันที่หิมะตก เป็นภาพที่เรามองได้ไม่เบื่อเลย ตื่นมาแล้วอยากจะเจอวิวนี้ทุกวัน ถึงเราจะไม่ชอบ
    อากาศหนาว แต่ถ้าหิมะตกเมื่อไหร่เราก็พร้อมออกไปเล่นหิมะได้ทุกครั้ง เล่นคนเดียวไม่พอยังพาน้องหมาที่บ้านออกไปเล่นด้วย หมาที่บ้านเราก็ชอบให้ปา snow ball เล่นกันตลอด

    นี่คือ ski resort ที่เรามากับ LCC และเพื่อนๆออแพร์ เป็นครั้งแรกที่เราได้ลองเล่นสกี

    เรายังได้มีโอกาสตาม host ไป roadtrip จาก Nebraska สู่ Florida เป็นการเดินทางใช้เวลากว่า 2 วันกว่าจะไปถึง วันแรกเราขับรถผ่านถึง 7 รัฐด้วยกัน รวมแล้วเราเดินทางด้วยระยะทาง 1,368 ไมล์ หรือ 2,201 กิโลเมตร เทียบแล้วก็เกือบๆ 3 เท่าของระยะทางจากกรุงเทพไปเชียงรายเลย ถ้ารวมขากลับอีกก็จะเท่ากับว่าเราขับรถด้วยระยะทางถึง 4,402 กิโลเมตร เป็นอะไรที่ท้าทายมาก นับว่าเป็นประสบการณ์ที่เราคงไม่มีวันลืม

    และเราก็ได้มาเยือน Universal Studios เป็นครั้งแรก เครื่องเล่นแต่ละอย่างที่นี่มีสตอรี่หมด นั่นยิ่งทำให้อรรถรสในการเล่นทุกเครื่องเล่นเพิ่มขึ้นไปอีก น่าเสียดายที่เรามาได้แค่ 1 park เครื่องเล่นแต่ละอย่างดูจะเหมาะกับคนใจถึงหน่อย ไม่ใช่เล่นๆเลยแต่ละอัน

    และนี่ก็คือชีวิตเราในฐานะออแพร์ไทยคนแรกของ Nebraska (คอนเฟิร์มโดย LCC เราแล้ว) ที่อยู่มาแล้ว 4 เดือน ระยะเวลาดูไม่นานแต่ประสบการณ์ที่ได้คือเทียบเท่าหนึ่งปี หลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อคงจะต้องรอดูกันต่อไป
    หวังว่าเรื่องราวของเราจะช่วยตอบคำถามคาใจของใครหลายคนได้ว่า Nebraska อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงนะคะ
    ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in