เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คิดหลังหนังseminoir
Tomorrow I will date with Yesterday's You : เธอในอนาคตที่ฉันเจอเมื่อวาน

  • SPOILER ALERT
    สปอยหนักมากๆ เป็นการบันทึกหลังจากดูรอบสองค่ะ



    ...



    พรุ่งนี้ผมจะเดทกับเธอคนเมื่อวาน

    ก่อนอื่นอยากตะโกนบอกค่ายหนังว่ามันไม่ใช่ "เวลาของผมเดินไปข้างหน้า แต่เวลาของเธอกลับถอยหลัง" แต่เป็น "เวลาของทั้งคู่ต่างก็เดินไปข้างหน้าแต่ว่าสวนทางกัน" ต่างหากเล่า!!

    จะมีหนังกี่เรื่องที่ดูจบแล้วรู้สึกทันทีว่านี่เป็นหนังที่ต้องดูสองครั้ง เราเป็นคนไม่ค่อยดูหนังซ้ำ แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ หนังว่าด้วยเรื่องของคนสองคนที่มีความรู้สึกตรงกันแต่เวลาสวนกัน ในเมื่อเป็นเรื่องที่มีไทม์ไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องย่อมอดไม่ได้เลยที่จะเผลอคิดโยงไทม์ไลน์ไปด้วยในหัวขณะที่ดู

    ครั้งแรกสำหรับหนังเรื่องนี้ของเรามีความรู้สึก "ขอไวท์บอร์ดด้วยค่ะ" แทบจะตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นเราจะได้ยิ้มตามไปกับรอยยิ้มของทั้งทาคาโทชิและเอมิ (โดยเฉพาะนานะละลายหัวใจมากๆ ตลอดทั้งเรื่องทั้งที่เราเมนโซตะ นานะก็ขโมยโฟกัสสายตาเราไปบ่อยมาก) สงสัยกับห้วงเวลาและก้าวผ่านมันตามทาคาโทชิ และหนังก็เปิดโอกาสให้เรารับรู้มุมมองของเอมิหลังจากเข้าใจเรื่องทุกอย่าง และการดูครั้งแรกก็จบลงแบบที่เรียกว่าสมบูรณ์ในตัว เข้าใจง่าย และสวยงาม

    พรุ่งนี้ผมจะเดทกับเธอคนเมื่อวาน ไม่ได้งงแบบที่ดูรอบเดียวไม่รู้เรื่อง แต่รอบเดียวมันไม่พอ มันไม่ "เข้าใจ"



    ...



    พรุ่งนี้ฉันจะเดทกับเธอคนเมื่อวาน

    เมื่อวานนี้เดินเข้าโรงหนังอีกครั้งแบบที่เคลียร์ไทม์ไลน์ทั้งหมดแล้ว รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

    เราเข้าใจโลกฝั่งเอมิแล้ว 

    สำหรับเอมิ หนแรกที่สบตาคือหนสุดท้าย การที่เขาบอกชอบคือหนสุดท้าย และเมื่อประโยคคำถามของทาคาโทชิว่า "พรุ่งนี้เราจะได้เจอกันอีกมั้ย" ก็เป็นประโยคสุดท้าย 5 ปีถัดไปจากนี้แม้จะได้พบกันอีกครั้ง แต่จะกลายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง

    ขณะที่ทุกคนขำกับความเด๋อด๋าของทาคาโทชิในวันแรก แต่ ใช่ค่ะ เราร้องไห้หนักมาก เพราะเราเข้าใจถึงความหมายของวันที่ 30 

    เอมิตอบทั้งน้ำตาว่า "อื้อ พรุ่งนี้เจอกัน" แต่เป็นฉันคนเมื่อวานหรอกนะ เพราะพรุ่งนี้ของฉัน เธอจะไม่รู้จักฉันอีกแล้ว


    และการ "ร้องไห้ในจังหวะแปลกๆ"
    ก็เกิดขึ้นอีกหลายต่อหลายครั้ง



    เมื่อทาคาโทชิขอคบ นั่นแปลว่าพรุ่งนี้เราจะเพิ่งรู้จักกัน เมื่อการไปห้องครั้งแรกคือการไปครั้งสุดท้าย เมื่อการจับมือแรกคือจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว เมื่อการเรียกชื่อจากสนิทสนมกลับเป็นทางการขึ้นเรื่อยๆ 

    ทั้งหมดนี่เราได้รับรู้ไปแล้วจากการดูรอบแรกจากคำพูดของทาคาโทชิ ได้เศร้าเล็กๆ ตามไปกับการย้อนเล่ามุมของเอมิในช่วงท้ายของหนังคราวนั้น แต่เมื่อมาเผชิญเต็มๆ อีกครั้ง ทุกโมเม้นท์เรียกน้ำตาเสมอ 



    และมันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
    เมื่อมีแต่เราที่เช็ดน้ำตาป้อยๆ
    ขณะที่คนทั้งโรงกำลังเขินและหัวเราะ 





    เรากลายเป็นเอมิที่น้ำตาไหลง่ายในเวลาแปลกๆ


    ให้ตาย มันเป็นการดูหนังรอบสองที่ "แตกต่าง" ที่สุดที่เคยดูมา เหมือนเรามาจากโลกคู่ขนานที่เวลาสวนกับคนอื่นจริงๆ 




    ฉันไม่ได้รู้อนาคตหรอก
    เพียงแต่ทั้งหมดนี่ฉันเห็นมาแล้ว





    และในตอนที่ครั้งก่อนเราโฟกัสที่ความรู้สึกของเอมิ ครั้งนี้เรากลับได้เห็นทาคาโทชิชัดขึ้นกว่าเดิม ตอนที่เพื่อนบอกว่าเหมาะสมกันนะในขณะที่เวลาเหลือเพียงไม่กี่วัน ตอนที่แม่บอกว่าคราวหน้าพาเอมิมาด้วยนะขณะที่พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้าย เราเข้าใจเหลือเกินว่าทำไมทาคาโทชิถึงร้องไห้ออกมามากมายขนาดนั้นทั้งในรถบัสและหน้าเฟรมผ้าใบ

    ดูครั้งแรกเราร้องไห้แค่เบาๆ เพียงครั้งเดียวกับการบอก "เจอกันพรุ่งนี้" ที่เป็นครั้งสุดท้ายของเอมิเพราะ "ตั้งแต่พรุ่งนี้เขาจะไม่รู้จักฉัน" แต่ในครั้งนี้เราร้องไห้น้ำตาเป็นสายกับการที่เด็กหญิงเอมิถามขึ้นว่า "เราจะได้เจอกันอีกมั้ยคะ"

    เพิ่งตระหนักในเวลานั้นอย่างรุนแรงว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบเธอ นับจากนี้โลกของเขาจะไม่มีเอมิอีกแล้ว ไม่ว่าจะ 5 ปีซักกี่ครั้ง จะเป็นปีที่ 40 45 50 55 ... เขาก็ไม่มีโอกาสพบเธออีกต่อไป

    และแน่นอนว่าทาคาโทชิวัย 35 คนนั้นก็ตอบว่า "แล้วเจอกัน" ด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้วเธอจะได้เจอกับผมอีก..ผมคนเมื่อวานน่ะนะ

    การพูด "แล้วเจอกันใหม่" แม้จะรู้เต็มอกว่าไม่ได้เจออีก ย่อมเป็นความเศร้า แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังคงยิ้ม เพราะฉันได้มีความสุขกับเธอไปแล้วเมื่อวาน ฉันต้องส่งเธอด้วยรอยยิ้มไปพบกับอนาคตแสนหวานของเธอ แม้มีแค่ฉันในอดีตที่มีโอกาสจะได้เจอ

    ตลกดี ที่ไม่ว่าจะดูจากหน้าไปหลังหรือหลังไปหน้าก็เศร้าทั้งคู่

    นานะและโซตะถ่ายทอดดีมาก เรารู้สึกถึงความต่างของ "ครั้งแรกของเธอครั้งสุดท้ายของฉัน" ได้ชัดเจนในทุกๆ ซีน ฉันคุ้นเคยกับมันอย่างดีในขณะที่เธอเก้อเขิน คนนึงดูเป็นผู้ใหญ่เพราะก้าวข้ามเวลาที่สับสนไปแล้วขณะที่อีกคนยังไม่เข้าใจถึงมันดีนัก

    สิ่งที่หนังสื่อคงไม่ใช่ "คนสองคนที่อยู่บนโลกที่เวลาต่างกันจะรักกันได้มั้ย" ตามคำโปรยหน้าหนังเวอร์ชั่นไทย แต่เป็นการให้ความสำคัญกับปัจจุบัน อะไรที่เป็นความสุขก็ซึมซับเอาไว้ และ ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะทำยังไงถ้ารู้ว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย มากกว่า



    เราไม่ได้เดินสวนกันแล้วผ่านเลย
    ที่สุดปลายของห้วงเวลามาบรรจบกัน
    เราจะเป็นหนึ่งเดียว



    ไม่รู้ว่าหลังจากวัย 35 ทั้งคู่จะใช้ชีวิตยังไง จะมีใครคนอื่นหรือเปล่า แต่เชื่อสุดหัวใจว่าความทรงจำช่วง 30 วันในวัย 20 ปี ที่ทั้งคู่พยายามช่วยกันสร้างขึ้นให้เป็น "ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว" จะส่องประกายเวลานึกถึงทุกครั้งตลอดไปอย่างแน่นอน



    ...





    เป็นประสบการณ์ดูหนังรอบสอง ที่ประทับใจมากจริงๆ อยากให้ทุกคนมีโอกาสได้ลองเหมือนกัน










Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Adisorn Sirisomboon (@sang_sorn)
ขอบคุณครับ