เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ฝึกเขียนFollow the Red
อดทนกับเรื่องห่วยๆแล้วได้อะไร โลกที่เปลี่ยนไป&คำสอนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
  •  อดทนกับเรื่องห่วย ๆ แล้วได้อะไร โลกที่เปลี่ยนไปกับคำสอนที่ไม่เปลี่ยนแปลง

    “ทำงานมันก็เป็นแบบนี้แหละ อดทนไปก่อนเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” แม่ของผมพูดขึ้นหลังจากที่ผมทำท่าจะเล่าถึงปัญหาที่ได้พบเจอมาจากการทำงานในระหว่างที่เราทั้งสองนั่งทานข้าวเย็น คำพูดแม่เปรียบเหมือนการนำจุกไม้ก๊อกอุดเข้ากับปากขวดไวน์เพื่อรักษาคุณภาพของไวน์ไว้ เพียงแต่จุกไม้ก๊อกของแม่ดันมีไว้สำหรับใช้อุดขวดในใจผมซึ่งหาเป็นขวดที่เต็มไปด้วยไวน์ไม่ หากแต่เป็นขวดที่เอ่อล้นด้วยความอัดอั้นที่สั่งสมมาทั้งวันจากการทำงาน “สมัยก่อนน่ะนะ แม่เริ่มทำงานตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก อดทนทำงานไม่บ่นสักคำ แถมยัง....”  เมื่อเห็นว่าผู้ฟังของผมไม่มีท่าทีจะรับฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูดแล้ว ผมจึงยักไหล่ให้แม่หนึ่งทีแล้วก้มหน้าพุ้ยข้าวเข้าปากต่อไป

                คำพูดของแม่เมื่อเย็นนั้นหลอกหลอนอยู่ในหัวผมเหมือนเทปม้วนเดิมที่เล่นกลับไปกลับมา “ความอดทน” มันใช้กับทุกเรื่องได้จริงๆหรือ แล้วมันใช้ไม่ได้กับเรื่องอะไรบ้างล่ะ? ทุกคนในเอกภพนี้ต่างก็เคยเจอกับปัญหามากน้อยกันมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งการอดทนก็เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่คนเลือกใช้ในการแก้ปัญหา เป็นวิธีที่เรียบง่ายและหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน เพียงแค่ทำในสิ่งที่เคยทำอยู่ในกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมเรื่อย ๆ จนกว่าปัญหาจะผ่านไป คำถามคือ แล้วเจ้าปัญหาที่เรากำลังต่อสู้ด้วยอาวุธที่ชื่อว่า “ความอดทน” ของเราเนี่ย มันจะคลี่คลายได้ตอนไหน แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงคิดว่าความอดทนจะสามารถแก้ปัญหาได้?

                นั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างผมกับแม่ ไม่สิ มุมมองที่แตกต่างกันระหว่างคนทำงานเจเนอเรชั่นปัจจุบัน (Y) กับคนทำงานเจเนอเรชั่นก่อนหน้าก่อนหน้า (Baby Boomer) จากคำบอกเล่าของแม่ ในยุคสมัยนั้นเศรษฐกิจยังไม่เจริญและเทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าอย่างปัจจุบัน หนำซ้ำยังเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หากไม่ได้ทำงานรับราชการหรือเป็นเจ้าของธุรกิจเอกชนแล้ว ก็จะเหลือเพียงอาชีพการเป็นลูกจ้างโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมัยนั้น สำหรับแม่ของผมซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเย็บผ้าแล้ว ความอดทนคือหัวใจสำคัญในการทำงาน ความอดทนในที่นี้หมายถึงยิ่งทำมากยิ่งมีรายได้มาก แม่จึงยกให้ความอดทนเป็นเครื่องหมายของความสำเร็จในการทำงานของตัวเอง

                ตัดมาที่ปัจจุบัน การค้าขายไม่ได้หยุดอยู่ที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ธุรกิจปัจจุบันมีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยการแลกเปลี่ยนทางความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆการทำงานที่เน้นไปทางด้านความคิด ความสร้างสรรค์มากกว่าการใช้แรงงาน อัตราความก้าวหน้าในการทำงานขึ้นอยู่กับฝีมือและความสามารถของผู้ที่สมควรได้รับมัน เหล่ามนุษย์เงินเดือนไม่น้อยจึงพยายามทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้านั้น จึงวกเข้ามาเรื่องของ “ความอดทน” ที่เป็นพระเอกของบทความนี้ ความอดทน ที่แตกต่างกันระหว่าง 2 ยุคสมัย ในสมัย Baby Boomer ความอดทนทำให้คนทำงานอยู่รอด  ส่วนในยุคปัจจุบัน ความอดทนทำให้คนทำงานก้าวหน้า ความอดทนจึงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตการทำงานให้สำเร็จลุล่วงไป

                ทว่า หากงานที่เราทำอยู่มองไม่เห็นความก้าวหน้าล่ะ? ความอดทนนั้นจะยังส่งผลอะไรนอกเสียจากกลายมาเป็นโซ่ตรวนฉุดรั้งโอกาสและอนาคตของเราเอาไว้ การก้มหน้าก้มตาทำงานไปเรื่อย ๆ โดยหวังว่าสักวันมันจะดีขึ้น สักวันมันจะผ่านไป หรือสักวันอีตาหัวหน้าแผนกหัวล้านจะเลิกทำนิสัยแย่ๆ ใส่ โดยที่แม้แต่ตัวเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะเกิดขึ้นตอนไหน เป็นการพอกพูนความเครียด ความเหนื่อย สะสมไว้กับตัวเรา จนท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่คุณได้รับก็จะมีเพียงความอดทนในการอยู่ร่วมกับระบบอันห่วยแตกที่เพิ่มขึ้น แลกกับเวลาและโอกาสที่คุณควรจะได้รับขณะที่คุณฝึกความอดทนอยู่ในที่ทำงานที่ไม่เห็นคุณค่าของคุณ

                ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเป็นเวลาใด ยุคสมัยไหน ความอดทนก็เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นในการทำงานเว้นเสียแต่ความอดทนนั้นได้ใช้ไปกับสิ่งที่สมควรและคุ้มค่าที่เราจะยอมอดทนกับมันหรือไม่ หากคำตอบในหัวของท่านผู้อ่านคือไม่ ฉะนั้นแล้ว ท่านจะอดทนกับเรื่องห่วย ๆไปเพื่ออะไร?

    ความอดทนมีไว้เฉพาะเรื่องที่ควรอดทน

     

    Follow the Red

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in