เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LIFE SPEAKS FOR MEpuroii
Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring
  • (นี่อาจจะเป็นเอนทรี่ที่รูปแบบแตกต่างจากหลายเรื่องที่เราเคยเขียน
    เพราะมันจะเป็นส่วนตัวกว่า คล้ายกับ journal เล่มหนึ่ง)


    24.05.2018


    I FEEL FUCKING ZEN RIGHT NOW.


    อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกสงบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก (แม้จะใส่ capslock และคำหยาบในประโยคข้างบนก็ตาม) คาดว่าเป็นผลจาก Lean on Pete เมื่อวาน เหมือนหนังทำให้เราได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างที่อัดอั้นในใจ เป็น emotional catharsis ที่ได้ผลอย่างน่าประหลาด เราไม่เคยร้องไห้ตอนดูหนังเยอะขนาดนั้นมาก่อนทั้งที่ภูมิหลังของตัวละครและเรื่องราวตรงข้ามกับเราทุกอย่าง แต่มันคงมีอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างใน (ความจริงก็รู้แหละว่าอะไร)

    เวลาดูหนังดี ๆ เจอผู้กำกับที่ถูกใจ จะมองโลกเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่เล่าเรื่องในแบบที่สื่อสารกับเราได้ตรงจุด มันเหมือนได้มีบทสนทนาลึกซึ้งและจริงจังกับใครสักคนโดยที่เราไม่ต้องพูดออกมาเลย มันเป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ทำได้ เพราะนอกจากฝีมือแล้วยังต้องมีความ click กันด้วย (เรื่องมากจริง)

    อีกความสงบที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราไม่ได้เข้าโซเชียลเลย ช่วงนี้มีความรู้สึกว่าเรากำลังเบื่อโซเชียลมีเดียมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเบื่อได้นานแค่ไหนเหมือนกัน บางทีเราก็ต้องการพูดอะไรยาว ๆ จริงจังและไม่ฉาบฉวยบ้าง ไม่ใช่ว่าตอนเล่นมันไม่สนุกนะ มันก็สนุกแหละ แต่เหมือนเราได้อะไรเข้ามามากไปจนไม่ได้ยินเสียงตัวเองชัดเจนเท่าที่ควร เหมือนทุกคนต่างมีเรื่องที่ต้องการพูดแล้วเสียงมันก็ดังปะปนกันไปหมด เหมือนพยายามสร้างบทสนทนาในโรงอาหารมหาลัยโดยที่บางคนถือโทรโข่ง บางมุมมีคนซ้อมเชียร์ แถมบางครั้งก็มีเสียงตามสาย ไหนจะทีวีที่เปิดไว้ไม่มีใครดูอีก แต่บางทีเราก็แค่ต้องการนั่งกินข้าวบนดาดฟ้าเงียบ ๆ มันก็ดีที่ได้ยินเสียงคนอื่น แต่บางทีความเงียบก็เป็นการใช้เสียงรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน 

    พอมีเวลาอยู่กับตัวเอง มันรู้สึกดีมาก ๆ เหมือนทุกอย่างรอบตัวมันช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนได้ตัดเสียงรบกวนออกจากชีวิต หรือนาน ๆ ทีเราอาจจะต้องการวันที่ดีท็อกซ์จากความวุ่นวายพวกนี้ แต่ใครจะไปรู้...บางทีมันอาจเป็นเพราะอากาศก็ได้ 



    ช่วงนี้กำลังชอบฟังเพลง Jet ล่ะ ความจริงรู้จักมานานแล้วเพราะแวน (นักร้อง Catfish and the Bottlemen) เคยพูดถึงอยู่หลายครั้ง ก่อนหน้านี้เคยฟังแค่ Are You Gonna Be My Girl เพลงเดียว แต่พักหลังมีศิลปินพูดถึงมากขึ้นก็เลยได้เวลาฟังแบบจริงจัง ปรากฏว่ามันเป็นแนวดนตรีที่เราชอบมาก ก็ใช่ที่มันเป็นร็อกเพียว ๆ แต่นั่นแหละที่เราต้องการ เราชอบความตรงไปตรงมาและความจริงใจของเพลงร็อก ไม่ต้องยุ่งยาก ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อน เนื้อร้องง่าย ๆ พูดถึงเรื่องทั่วไปในชีวิต เราพบว่ามันสื่อสารกับเราได้ดีที่สุด (แม้เราจะไม่สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าเข้าผับก็เถอะ)




    ส่วนชื่อเอนทรี่นี้เอามาจากหนัง Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring (2003) ของคิมคีดุก เพราะเรารู้สึกว่ามันอธิบายความรู้สึกเราตอนนี้ได้ดี 


    เราเพิ่งได้ดูวันนี้และชอบมาก มันเป็นหนังที่เล่าวัฏจักรชีวิตผ่านฤดูกาลต่าง ๆ (ดูจากชื่อเรื่องก็จะพอเข้าใจ) พูดถึงเด็กชายคนหนึ่งที่โตมาในวัดกลางเขาซึ่งล้อมรอบด้วยน้ำ ดูผิวเผินอาจเหมือนหนังที่พูดเรื่องความเชื่อของศาสนา แต่ความจริงแล้วมันพูดถึง "ชีวิต" ที่ไม่ว่าศาสนาไหนก็รู้จักดี

    ผ่านไปหนึ่งฤดู ชีวิตก็ก้าวกระโดดไปอีกขั้น จากเด็กไปเป็นวัยรุ่นจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราจะได้เห็นความตายในฤดูใบไม้ผลิ ความรักและความปรารถนาในฤดูร้อน ความโกรธและความผิดพลาดในฤดูใบไม้ร่วง การปรับตัวและยอมรับเมื่อฤดูหนาวมาถึง แต่ทุกอย่างก็วนเวียนกลับไปที่เดิมเหมือนฤดูกาล ไม่ต่างกับชีวิตที่หมุนเวียนไม่มีวันจบ

    สิ่งที่หนังทำได้ดีมากก็คือการใช้ "ความเงียบ" ทั้งเรื่องมีไดอะล็อกน้อยมาก เรียกได้ว่าเล่าเรื่องผ่านภาพล้วน ๆ และนั่นทำให้เราประทับใจมาก เพราะนอกจากกำกับภาพจะสวยมาก ๆ แล้ว มันยังทำหน้าที่ของการเป็นภาพยนตร์ในฐานะงานศิลปะชิ้นหนึ่งได้ดีมากด้วย

    นอกจากชีวิตมนุษย์ก็มีทั้งกบ งู หมา ปลา ไก่ แมว เต่า และนกอยู่ในเรื่องเดียวกัน มันผ่านเข้ามาในฐานะบทเรียนชีวิต เพื่อนร่วมทาง หรืออาจจะเป็นตัวแทนของอีกชีวิตหนึ่งบนโลกนี้

    หนังเรื่องนี้มีสัญญะเยอะมากถ้าจะมองกันจริง ๆ แต่ว่าวันนี้เราขอมองเล่น ๆ พอ 555



    สัญญะที่เราชอบอย่างหนึ่งคือ "ประตู" ไม่ว่าจะเป็นประตูที่ตั้งอยู่กลางห้องหรือประตูที่พาไปยังป่า ทั้งที่ประตูทั้งสองบานต่างก็ไม่มีผนังแต่ทุกคนก็ปฏิบัติกับมันเหมือนประตูบ้านที่เราใช้กัน มันไม่ได้มีประโยชน์ในแง่การใช้งานเลย แต่เรารู้สึกว่ามันหมายถึงกรอบของศีลธรรม เรารู้ว่ามีประตูอยู่ตรงนั้น แต่ในขณะเดียวกันเราก็สามารถเดินอ้อมมันไปได้ ในหนังจะมีครั้งหนึ่งที่ตัวละครไม่ใช้ประตูและเป็นตอนที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมซะด้วย ถ้าคิดแบบจิตวิเคราะห์ ประตูก็เหมือนจิตสำนึก (conscious mind) ที่กดจิตไร้สำนึก (unconscious mind) เอาไว้ หรือจะเป็นอีโก้ (Ego) ที่คอยควบคุมการกระทำของอิด (Id) ก็ได้




    เราชอบประโยคนึงของพระอาจารย์ในเรื่อง 

    "You will always carry that stone in your heart." 

    เขาพูดหลังจากให้บทเรียนกับลูกศิษย์ตอนเด็ก คนเราคงต้องผ่านช่วงเวลานั้นมาบ้างแล้ว ช่วงเวลาที่ทำให้เราต้องแบกหินเอาไว้ในใจตลอดไป หินก้อนนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่น้ำหนักของมันจะถ่วงเราไว้ตลอดระยะเวลาที่มันยังอยู่ (ถึงว่าทำไมน้ำหนักขึ้น)


    เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเอนทรี่เกี่ยวกับหนังไปซะก่อน เอาเป็นว่ามันมีอะไรน่าสนใจเยอะและเราชอบมาก พอดูต่อจาก Lean on Pete แล้วยิ่งรู้สึก FUCKING ZEN (x2) 


    ขอบคุณทุกคนที่อ่าน ไว้เราหายเบื่อแล้วจะกลับไป (อาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ 5555)


    ปล. ชอบรูปครอบครัวน้องเลียมมาก ฮือ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in