เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Objective of Hate speechmonpropremonde
The Objective of Hate speech
  •           หัวข้อนี้เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจแต่ไม่เคยอยากทำความเข้าใจเลยเลยสักนิดนับจากที่ความคิดความอ่านของเราพอจะเรียกว่าเป็นระบบได้ ย้อนกลับไป เมื่อครั้งเราอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่1-2 อายุก็น่าจะราวๆ 19-20 ปี นั่นเป็นช่วงเวลาที่เราไม่แคร์และไม่สนใจที่สุด หัวรุนแรงที่สุด หากกล่าวว่าเป็นช่วงเวลาที่ก้าวร้าว(โดยปราศจากซึ่งความจำเป็น)ที่สุดก็เห็นจะได้

              แน่นอนว่าอาจเป็นไปได้ด้วยวัยวุฒิที่ยังไร้ซึ่งวุฒิภาวะมากพอ สภาพแวดล้อม สภาพจิตใจ และทัศนคติ  อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา หากมองย้อนกลับไปในความก้าวร้าวอันไร้ซึ่งนัยสำคัญเหล่านั้น จำนวนไม่น้อยในการต่อปากต่อคำกับผู้คนที่เรารู้สึกเสียใจและไม่เห็นถึงความจำเป็นใดๆกับการเสียอารมณ์ในบทสนทนาอันไร้ประโยชน์

              มาวันนี้ที่โลกลดข้อจำกัดในเรื่องของระยะทางด้วยสิ่งที่ชื่อว่าอินเตอร์เน็ต เรากลับพบว่า ผู้คนเลือกที่จะใช้ข้อดีตรงนั้นในการฉีกทึ้งทำลายใครคนใดก็ตามมากกว่าจะสร้างสรรซึ่งประโยชน์ในหลายๆเหตุการณ์ 

              Hate Speech ที่มุ่งแต่จะโยนความเกลียดชังลงในหัวใจของผู้อ่าน ความจริงที่ถูกบิดเบือนอย่างแนบเนียนซึมลงไปในตัวหนังสือ หยั่งรากลงลึกเข้าสู่จิตใจของผู้ที่ซึมซับใจความเหล่านั้นผ่านทางตัวอักษร

              คำถามหนึ่งของการเสพแม้เพียงหัวเรื่องหรือข้อความสั้นๆที่ใครต่อใครตัดตอนมาให้อ่านของตัวเราคือ


    ‘Hate Speech พวกนี้มีข้ึนเพื่อจุดประสงค์อะไรกันนะ?’


              หากนั่นเป็น Hate Speech ในหัวข้อที่มีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ เช่น Hate Speech ทางการเมือง แน่นอนว่าจัดประสงค์ของความชิงชังเหล่านั้นย่อมหมายถึงการชี้นำในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หากเป็น Hate Speech แบบที่แค่อยากทำลายชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมของคนๆหนึ่งล่ะ? คนที่แม้แต่ผู้เขียนHate Speechเองยังไม่แม้แต่จะรู้จักเขาได้สักครึ่งของตัวตนที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ บางคน อาจเป็นเพียงคนในโซเชียล ที่ตนก็เพียงแค่รู้จักเขาจากข้อมูลที่เขาแชร์ลงบนโลกอันไร้พรมแดนนี้ แวะผ่านมาอ่าน ทิ้งถ้อยคำทำร้ายเอาไว้ และก็จากไป

      Hate Speech แบบนั้น ให้ ‘ประโยชน์แก่ผู้ใด?’

    หากจะมีสักคนหนึ่งถามคำถามนี้ขึ้นในใจก่อนที่จะแวะเข้าไปให้ความสนใจและมีส่วนร่วมต่อข้อความแห่งความเกลียดชังนั้น หากจะลองถามดูสักคำว่าการได้แสดงความร้ายกาจในจิตใจของตัวเองออกมาให้ประโยชน์แก่ใคร 

    แน่นอนว่า Hate Speech จำพวกนี้ไม่ได้ให้สิ่งที่เป็นคุณแม้แต่ประการเดียวกับผู้พูด หากผู้รับผลกระทบของมันนั้นแสนสาหัส และไม่เคยมีใครใส่ใจเยียวยากับความรู้สึกเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

              เราชิงชังใครสักคนไปเพื่ออะไร? บ่อยครั้งที่การระบายความเกลียดชังออกไปเพียงเพราะความสะใจเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครสนใจว่าความสะใจและความพอใจส่วนตัวนั้นจะทำร้ายใครให้มีแผล

              นี่ไม่ใช่บทความที่มีรากฐานมาจากความโลกสวย หากรู้จักเราเป็นการส่วนตัว จะรู้ว่าเรานั้นปากร้าย โมโหง่ายและเกรี้ยวกราด อีกทั้งยังมองโลกในแง่ร้าย หากความร้ายกาจของเราไม่ได้เป็นไปเช่นในช่วงวัย19-20ปี เราไม่พอใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แสดงความเห็นในสิ่งที่คิดว่าถูก ยืนกรานแม้ใครจะมองว่ามันทิ่มแทงและเชือดเฉือนหากมันอยยู่บนความเป็นจริงและแนวคิดที่เราเชื่อมั่นว่าถูกต้อง เรามองโลกในแง่ร้าย แต่ร้ายกับตนเอง เช่น หากนั่งวินในวันที่ฝนตก เราก็จะคิดว่าถ้ารถล้มแล้วเราโดนรถสิบล้อทับ จะเป็นอย่างไรนะ เวลาที่เห็นคนอื่นมีชีวิตที่มีความสุข เรารู้สึกว่าดีจังนะ หากเราไม่เคยมุ่งร้ายชิงชังว่าขอให้มีอะไรบางอย่างมาทำให้เขาทุกข์ใจ ใครก็ได้แหกคนนี้ที เขาดีเขาเด่นและเป็นที่รักเกินไปแล้ว

    เราแค่มอง และคิดว่า ดีจังเลยนะ หากอยู่ในวงสนทนากับเพื่อน อาจมีการใส่ความห็นส่วนตัวลงไป เราว่ามันไม่ถูก มันดีเพราะเขาทำแบบนี้ๆนี่ เขาไปทำแบบนี้กับคนนั้นคนนี้มา แต่เราไม่เผยแพร่ความเกลียดชัง เราวิจารณ์บนสิ่งนั้น และปล่อยมันลงพร้อมกาแฟที่หมดแก้ว พระอาทิตย์ที่จมหายกับเส้นของขอบฟ้า 

    เราไม่ชี้นำว่า แก เกลียดคนนี้สิ แกคนนี้ไม่ดี แกคนนี้เลวมาก มากสุดที่เราทำคือการกล่าวจากประสบการณ์ และเราไม่ลืมที่จะลงท้ายว่า แต่นั่นคือที่เราเจอนะ เขาอาจจะดีกับแกก็ได้ แค่เตือนให้ระวัง แต่เขาไม่ได้ไม่ดีกับแก มันก็ไม่เป็นไรนะ เราไม่ชอบใจ และไม่ฝักใฝ่ในถ้อยคำมุ่งร้ายพวกนั้น ไม่ว่าจะกับคนที่ไม่ชอบแค่ไหนก็ตาม

    ด้วยแนวคิดเหล่านี้จึงทำให้เราไม่เคยเข้าใจเลยว่า Hate Speech ที่ไม่ได้มีไว้เป็นเครื่องมือให้ตนได้ประโยชน์ แค่เพราะความสะใจส่วนตัวกับการได้เห็นคนคนหนึ่งถูกทำลายมีไว้เพื่ออะไร

    และเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะตั้งคำถามนี้ก่อนอ่านอะไรสักอย่างที่อาจซ่อนเร้นไปด้วยความชิงชัง นั่นจึงทำให้เราเห็นถ้อยคำทำร้ายบนโลกใบนี้จากคนแปลกหน้า เสียงหัวเราะแห่งความสะใจจากคนที่ไม่แม้แต่จะรู้จัก และจิตใจที่แตกสลายจากการโดนทำร้ายอยู่เสมอ

    แน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่เห็นมันเป็นความสนุกส่วนตัว ความบันเทิงที่น่าตื่นเต้นเพียงเพราะมันเป็น ‘เรื่องของคนอื่น’ ไม่เคยขบคิดถึงผลกระทบ ไม่เคยรู้สึกผิดสำนึกใดๆ แค่ผ่านมา และผ่านไป

               มนุษย์ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว และถ้าจะมีใครหายไปอันเป็นผลมาจากความไม่รู้ร้อนรู้หนาวพวกนี้ อย่างมากพวกเขาก็แค่ ‘โอ้แย่จังนะ ไม่น่าเลย’ หรือไม่ก็โยนความผิดให้กันไปมาเหมือนเล่นลิงชิงบอล


              เราไม่ได้หวังว่าตัวหนังสือเหล่านี้จะเปลี่ยนอะไรใครได้ ไม่ได้หวังว่ามันจะเปลี่ยนความคิดของทุกๆคนที่ได้อ่าน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าใจสารที่ถูกสื่อออกมา อีกเช่นกันที่ไม่ใช่ทุกคนจะตั้งใจทำความเข้าใจในถ้อยคำเหล่านี้

              เราแค่หวังว่าอย่างน้อยที่สุด ก่อนที่ความทุกข์ของใครสักคนหนึ่งบนโลกจะเป็นเรื่องสนุกของคุณ ก่อนที่คุณจะมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาและทำร้ายใครต่อใครด้วยความคิดว่า ‘มันก็เรื่องธรรมดานะ’  เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของคุณที่เคยเห็นถ้อยคำเหล่านี้ผ่านๆตา มันอาจทำให้คุณหยุดชะงักสักนิด หยุดหัวเราะผ่านแป้นพิมพ์เลข5 หยุดซ้ำเติมใครสักคนอย่างสนุกสนาน หยุดยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องชาวบ้านด้วยวาจาเลวร้าย และปล่อยให้มันเงียบหายไปราวกับคุณไม่เคยอยู่ที่นั่น เพียงแค่รับฟังเหมือนอากาศและจากไปเช่นสายลมเท่านั้น

              โปรดอย่าลืมว่าหลายๆสถานการณ์ คุณไม่ได้อยู่ที่นั่น คุณรู้ความจริง(ที่อาจจะจริงหรือไม่ก็ได้)จากการเสพสารข้างเดียว และคุณไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆกับเรื่องของคนอื่น

              หากคุณเลือกที่จะทิ้งบางถ้อยคำเอาไว้ในที่แห่งนั้น คุณไม่ได้ทำคุณสิ่งใดเลยและยังผลักใสความชิงชังให้กับใครที่คุณไม่รู้จักไปอีกด้วย

              คุณไม่ใช่เขา และการสอดเท้าเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นย่อมหมายถึงคุณเป็นคนนอก คุณไม่ใช่คนที่รู้ข้อเท็จจริงในสิ่งเหล่านั้น นั่นหมายถึงหากคุณไม่รู้อะไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินผู้อื่น


    ที่จริง ต่อให้คุณรู้อะไร คุณก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตของใครอยู่ดี

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in