เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Lazy Pace StoryPituphoom
จดหมายจากมิยาจิมะ - ตอนจบ
  • ถึงคุณ

     

    ผมเขียนจดหมายถึงคุณอีกครั้ง ซึ่งนี่อาจจะเป็นฉบับสุดท้ายหรือไม่ใช่ก็ได้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้าหากสมองผมมันเกิดเล่นสนุกหรือผมบังเอิญไปเจอเข้ากับประสบการณ์ใหม่ที่ชวนให้ตั้งคำถามที่น่าขบคิด แต่กลับไม่ฉลาดพอที่จะหาคำตอบเองได้ทันทีทันใด วันนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าผมอาจจะนึกถึงคุณแล้วเขียนจดหมายยืดยาวแบบนี้หาคุณอีกครั้ง หรืออีกหลายครั้ง หรืออย่างที่บอกแต่แรกนั่นแหละว่าฉบับนี้อาจจะเป็นฉบับสุดท้ายแล้วจริง ๆ

     

     

    1.

    บนยอดเขามิเซนตอนที่ผมเดินขึ้นไปถึง หิมะกองเล็ก ๆ อยู่กระจัดกระจายไปตามซอกมุมที่แสงแดดส่องไม่ถึงได้โดยตรง กำลังละลายและดูเลอะเทอะมากกว่าจะเป็นองค์ประกอบที่สวยงาม มองไปข้างล่างคือผืนทะเลสีฟ้าที่ถูกทำให้ดูหม่นลงด้วยบรรยากาศขมุกขมัวของวันนั้น หินขนาดใหญ่หลากหลายรูปทรงถูกธรรมชาติวางเรียงซ้อนกันบ้าง พิงกันบ้าง เรียงรายล้อมรอบทั้งบริเวณคล้ายกับเป็นป้อมปราการที่แน่นหนาไว้ต่อต้านข้าศึกยามสงครามได้อย่างดี ซึ่งนั่นหมายความว่าผมไม่ได้นับรวมเอาบางก้อนที่ถูกวางไว้อย่างสะดุดตาแต่ไร้ความสำคัญในแง่ของประโยชน์ใช้สอย เหมือนเป็นเพียงงานศิลปะนามธรรมกลางแจ้งที่พร้อมจะมอบทั้งความรู้สึกกลวงเปล่าหรือทั้งความรู้สึกหนักอึ้งหากจะตีความไปทางใดทางหนึ่ง

     

    มันไม่ใช่ยอดเขาสูงชันและเส้นทางเดินขึ้นมาก็คงไม่ได้สร้างความยากลำบากจนท้าทายมากพอที่จะทำให้บรรดานักเดินเขามากประสบการณ์ต้องเลือกที่นี่เป็นเป้าหมาย ความจริงเส้นทางขึ้นมาถึงบนนั้นใช้เวลาแค่ไม่เกินสองชั่วโมงครึ่งเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในสายตาของผม บรรยากาศแวดล้อมและทิวทัศน์ข้างบนนั้นมันทำให้ที่นี่เป็นปลายทางที่ตอบแทนความเหนื่อยพอประมาณจากการเดินได้อย่างพอดิบพอดีไม่น้อยเกินไป หญิงสาวคนนั้นที่เดินขึ้นมาจากอีกเส้นทางจนมาถึงยอดเขาพร้อมกันกับผมคงยืนยันความคิดของผมได้ดี ออกจะมากกว่าของผมไปเยอะเสียด้วยซ้ำ ด้วยท่าทางตอนแรกที่ดูเหนื่อยล้าพอควร แต่กลับปรากฎรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจจนแสดงขึ้นมาบนใบหน้าอย่างชัดเจนตอนที่เธอมาถึงตรงนั้น รางวัลคงยิ่งมีค่ามากขึ้นแปรผันตามความเหนื่อยที่ใส่ลงไป

     

    การได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้นนับเป็นความรู้สึกที่ดีทีเดียว และรวมกับที่ระหว่างทางเดินขึ้นมานั้น ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาไม่นาน แต่มันก็ทำให้ผมได้ใช้เวลาหลีกหนีออกจากผู้คนที่ยิ่งมากก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ออกจากสังคมที่มีกรอบความคิดที่ล้อมรอบและดูดกลืนตัวเราเข้าไปพร้อมกับละลายความเป็นตัวตน จากนั้นก็ค่อย ๆ ยัดเอาวิถีสำเร็จรูปเข้ามาใส่ในแนวคิดและการกระทำ ทีละน้อยจนผมอาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงโดยไม่ทันรู้ตัว ในสังคมเมืองข้างล่างนั้น ผมไม่รู้สึกว่าจะสามารถกลมกลืนไปกับผู้คนจำนวนมากได้ดีนัก และผมคิดว่าที่แบบนั้นก็ไม่ได้ต้องการคนแบบผมมากสักเท่าไหร่

     

    ถึงตรงนี้คุณกำลังหัวเราะเหมือนกันกับผมอยู่ใช่หรือเปล่า

     

    คุณต้องหัวเราะขบขันความความคิดของผมเป็นแน่ เพราะผมเองยังหัวเราะกับสิ่งที่พึ่งจะพรรณนาออกไปอย่างไร้สติแบบนั้น มันเหมือนกับผมจะบอกว่าสังคมมนุษย์เป็นสิ่งเลวร้ายโหดเหี้ยมไร้ปราณีพร้อมที่จะคอยดูดกลืนและทำลายความดีทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่ตรงหน้า เป็นหลุมดำในใจกลางกาแล็กซี่ที่มวลหนาแน่นของมันสร้างแรงดึงดูดมหาศาลจนพร้อมจะทำลายล้างและดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นแม่แต่อนุภาคของแสง หรือถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่านั้น ผมเปรียบราวกับว่าสังคมมนุษย์คืออ่างใบใหญ่ที่บรรจุสีดำแห่งความชั่วร้ายเอาไว้จนเต็ม และตัวผมคือสีขาวแห่งความดีหยดเล็ก ๆ ที่ถูกหยดลงไปในอ่างใบนั้น แล้วถูกดูดกลืนหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

     

    ราวกับว่าตัวผมเท่ากับความดี ราวกับว่าหากกลมกลืนไปกับวิถีของสังคมคือความเสื่อมถอยไร้จุดยืน ราวกับว่าตัวเองคือความแตกต่างที่น่ายกย่อง การใช้คำพูดยกตัวเองให้ดูเหนือกว่าคนอื่นนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย หากแต่ใครจะรู้ความจริงที่ขัดแย้งกันแบบนี้ไปดีกว่าตัวเองได้ ซึ่งนี่ก็คือเรื่องน่าตลกอย่างที่สุด แต่ก็เอาเถอะ ผมจะไม่ลบข้อความขัดแย้งในตัวเองที่ผมร่ายเรียงมาทั้งหมดนี้ไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว เพราะผมถือว่าความคิดขัดแย้งมันเกิดขึ้นอยู่ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นในหัวสมองของเราเอง หรือในสังคมที่รวมอยู่ด้วยผู้คนมากมายที่ต่างก็ตีความสิ่งเดียวกันไปในความหมายที่ต่างกันเสมอ ยังไม่นับรวมว่าแต่ละช่วงเวลาของชีวิตก็สามารถสร้างมุมมองต่อสิ่งเดิมได้ต่างกันออกไป

     

    สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคงเป็นการรับฟังและจดจำ เพื่อเรียนรู้และโต้แย้งไปตามสมควร

     

     

    2.

    มีอยู่พักหนึ่งที่ดูเหมือนว่าลมข้างบนนั้นจะพัดแรงจนผมต้องพาตัวเองหลบความหนาวเข้ามาอยู่หลังบันไดของศาลาชมทิวทัศน์บนยอดเขามิเซนนั่น และตรงนั้นก็เป็นห้องเล็ก ๆ ที่คาดคะเนจากสายตาขนาดคงไม่เกิน 7 ตารางเมตร หลบตัวอย่างสงบเสงี่ยมคล้ายจะพยายามซ่อนตัวจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือน หรืออีกแง่หนึ่งคงอยากวางตัวไว้ตรงนั้นเพื่อให้รบกวนทิวทัศน์ของธรรมชาติบนยอดเขาให้น้อยที่สุด หากจะเรียกว่าห้องขายของที่ระลึกก็ยังฟังแล้วผิดความจริงไปบ้าง เพราะสิ่งที่พอจะเก็บเป็นที่ระลึกจากห้องนั้นได้ก็มีเพียงโปสต์การ์ด 5 แบบ และที่คั่นหนังสือกระดาษสีขาวที่วาดด้วยหมึกดำเป็นลวดลายและตัวอักษรญี่ปุ่นอีก 8 แบบ นอกจากนั้นแล้วก็เป็นเพียงแผ่นพับแนะนำข้อมูล และลูกอมขิงที่เอาไว้ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย

     

    ความจริงต้องเรียกมันว่าห้องแจกของที่ระลึกเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนที่ผมเดินเข้าไปเงียบ ๆ ในแบบที่ไม่ต้องการส่งเสียงรบกวนชายชราผู้ดูแลที่กำลังก้มหน้าเขียนบันทึกในสมุดของเขาอย่างตั้งใจ ผมหยิบลูกอมขิงราคาห่อละ 300 เยน ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกับที่เขากำลังง่วนกับการเขียนบันทึกขึ้นมาพิจารณาดูเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไรก่อนจะวางกลับลงไปที่เดิมแล้วกำลังจะเดินกลับออกไปอย่างช้า ๆ ชายชราคนนั้นกลับวางปากกาที่กำลังเขียนอยู่แล้วเชื้อเชิญให้ผมไปรับลูกอมขิงหนึ่งเม็ดจากเขา พร้อมกับบอกอย่างเป็นมิตรว่ามันจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้ดีทีเดียว

     

    ราวกับว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวคนแรกของวันที่หลงเข้าไปในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ห้องนั้น ชายชราดูกระตือรือร้นที่จะแนะนำข้อมูลของภูเขาลูกนี้ให้กับผมอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าข้อมูลหลายอย่างคงตกหล่นไปบ้างในการสนทนาเนื่องจากข้อจำกัดของภาษาที่สื่อสารกัน แต่ตอนที่เขาเล่าให้ฟังถึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ใน Reikado Hall บนยอดเขานั้นว่า หากใครที่ดื่มเข้าไปหนึ่งจอกจะอายุยืนยาวขึ้นไปอีก 10 ปี ชายชรามีท่าทางขึงขังและตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ตัวเองเล่าเรียงออกมาราวกับว่านั่นเป็นความลับที่พึ่งจะถูกเปิดเผยและมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และท่าทางแบบนั้นเองที่ดูเหมือนจะทำให้เรื่องราวนี้ถูกสื่อสารออกมาอย่างครบถ้วนน่าเชื่อถือ

     

    ผมไม่รู้หรอกว่าชายชราคนนี้จะพึ่งมาเริ่มงานที่นี่เป็นวันแรก หรือสัปดาห์ที่แล้ว หรือเดือนที่แล้ว หรือสิบปีหรืออาจจะดูแลที่นี่มาตลอดทั้งชีวิตของเขา แต่ในวันนั้นเขายังดูมีความสุขและเอาใจใส่เป็นอย่างไม่ขาดตกบกพร่องกับสิ่งที่เขาทำอยู่ตรงนั้น  เพื่อให้มั่นใจว่าผู้คนที่ไม่ว่าจะตั้งใจเดินเข้ามาหรือหลงเข้ามาได้รับความรู้สึกที่ดีกลับออกไปด้วยเสมอ

     

    ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนั้น ชายชรามอบของที่ระลึกให้ผมมาอีกหนึ่งชิ้น เป็นที่คั่นหนังสือที่วาดด้วยหมึกดำเป็นรูปพระพุทธเจ้าในท่านอนหงายและอธิบายว่าภูเขามิเซนลูกนี้ เมื่อมองดูมาจากนอกชายฝั่งจะมองเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้านอนในท่าทางแบบนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เชื่อว่าทำให้ภูเขาลูกนี้มีความศักดิ์สิทธิ

     

    ผมกลับออกมาด้วยความรู้สึกขอบคุณและยินดีที่ได้รับไมตรีจากชายชราผู้แจกของที่ระลึกคนนั้น

     

     

     

    3.

    คุณคงเคยมาถึงที่นี่แล้วหลายครั้งหรืออย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง ถึงได้ไม่มีท่าทางตื่นเต้นมากนักกับบรรยากาศข้างบนหรืออะไรพวกนั้น ผมสังเกตว่าคุณหยุดพักเพื่อชมทิวทัศน์บนนั้นหรืออาจจะเป็นเพียงการพักเหนื่อยแค่ครู่เดียวก่อนที่คุณจะเดินต่อไปตามทางลงจากเขา ผมทิ้งระยะห่างให้คุณเดินนำออกไปสักพัก ก่อนที่จะเดินตามคุณไปในทิศทางเดียวกัน เพราะผมเชื่อว่าคุณคงอยากใช้เวลาเดินคนเดียวต่อไปเหมือนตอนที่คุณเดินขึ้นมาถึงจุดนี้เหมือนกันกับผม

     

    แต่ในสิ่งที่เหมือนกันเพียงสิ่งเดียว มันมีความต่างที่ชัดเจนจนสังเกตได้ง่ายกว่ามาก ตลอดเส้นทางเดินนั้นคุณดูจะมั่นใจกับแต่ละจังหวะก้าว แม้จะดูเชื่องช้าไปบ้างแต่กลับดูหนักแน่นมั่นคง ผิดกับผมที่แม้จะเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน เส้นทางที่มีทิศทางและป้ายบอกกำหนดไว้ชัดเจนแต่กลับดูไม่มั่นใจและหากจะพูดว่าขาดความมุ่งมั่นก็คงไม่ผิดนัก และมันไม่ได้หมายถึงแค่การเดินขึ้นเขาลูกนี้เท่านั้น แต่มันรวมถึงวิธีที่ผมเลือกใช้กับชีวิตของตัวเองมาตลอด

     

    คล้ายเพียงจะออกเดินหาความสำเร็จง่าย ๆ อะไรซักอย่างเข้ามาในแต่ละช่วงเวลาเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้มันยังคงเคลื่อนไหวมีชีวิต หรือแค่หาที่ทางที่เหมาะสมกับความอยากหลีกเร้นไร้ตัวตน ในวันที่ความฝันสวยงามแบบวัยเยาว์ที่มีต่อโลก ต่อผู้คน ต่อตัวเอง มันดูเหมือนจะเหือดแห้งและเป็นเรื่องโง่เขลา การปล่อยชีวิตให้เลื่อนไหลลอยไร้ทิศทางเหมือนกับดอกหญ้าแห้งที่ถูกลมของฤดูกาลพัดพาล่องลอยกระจัดกระจาย ก็ดูง่ายดี เพียงแต่ลมมันไม่ได้สนใจหรอกว่าสุดท้ายแล้วดอกหญ้ามันจะไปลงหลักปักฐานสร้างเป็นต้นหญ้าต้นใหม่ หรือจะถูกเหยียบย่ำทับถมจนกลืนหายไปบนทางเดินอย่างไร้ร่องรอย

     

    ที่จริงแล้วถ้าพูดแบบนั้นอาจจะฟังดูเป็นคำที่ยิ่งใหญ่และสวยงามเกินตัวไปมากเสียด้วยซ้ำเมื่อหยิบเอาธรรมชาติไม่ว่าจะแง่มุมไหนมาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง ตัวเราเล็กมากเมื่อเทียบกับมัน เอาแค่ภาพถ่าย landscape ของทิวเขาในมุมกว้าง หากเราไปยืนอยู่ในเฟรมจากระยะไกลก็ยังเป็นได้แค่องค์ประกอบระดับพิกเซล แล้วต้นไม้เก่าแก่นับร้อยพันต้นระหว่างทางก็คงไม่ได้แยแสอะไรสักนิดกับการมาอยู่ตรงนี้ของผม มันยังคงยืนทื่อเรียงรายรอวันเติบโตและแก่ชราไปพร้อมกับเพื่อนที่ยืนข้างเคียงไปอีกนับร้อยนับพันฤดูกาลอย่างที่มันทำมาตลอด ตามหน้าที่ของมัน ถึงตอนนั้นตัวผมคงกลายเป็นแค่เศษฝุ่นที่ปลิวไร้ทิศทางและปราศจากความทรงจำใดเหลือติดอยู่

     

    ผมไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำว่าที่ผ่านมามีสิ่งใดที่ได้ลองลงมือพยายามกับมันมากพอแล้วหรือยัง กลับกลายเป็นว่าเหมือนตัวตลกที่บ่นพร่ำถึงความหมายมากมายมหาศาลของชีวิตแต่กลับทีเล่นทีจริงในเวลาที่ควรจะจริงจัง

     

    วาบหนึ่งของความคิด ที่ผมนึกอิจฉาในสิ่งที่ชายชราผู้แจกของที่ระลึกคนนั้นทำอยู่

     

    หากแต่เป็นเพียงแค่ความฝันเลื่อนลอยถึงจุดหมายปลายทางที่สงบเรียบง่ายตามแบบฉบับของคนเมืองใหญ่ที่ปากพร่ำแสวงหา แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้าให้คว้าเอาไว้ได้ กลับเบือนหน้าหนีออกไปพร้อมกับคำแก้ตัวว่ายังไม่ถึงเวลา และที่แย่ไปกว่านั้นคือผมยังมีคำแก้ตัวอื่นอีกมากมายให้กับตัวเอง

     

    หากที่ผ่านมาคือความละเลยที่ผิดพลาดของตัวผม มันคงย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้

     

    ผมจึงเขียนจดหมายนี้เพื่อเป็นบันทึกให้คุณได้อ่านในอีกจะสิบปีหรือว่ายี่สิบปีข้างหน้า คุณอาจจะย้อนกลับมามองแง่ความคิดของตัวคุณเมื่อยี่สิบปีก่อน ซึ่งก็หมายถึงตัวผมในวันนี้ ว่ายังหลงเหลือความทรงจำเก่าหรือมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากตัวตนเดิมมากน้อยแค่ไหน ผมเขียนจดหมายนี้ขึ้นเพื่อตั้งคำถามกับตัวเองว่าในอีกยี่สิบปีภาพที่ยังไม่ชัดเจนในวันนี้จะถูกวาดให้เสร็จสมบูรณ์ หรือสุดท้ายแล้วมันจะกลายรูปร่างไปอย่างสิ้นเชิงจากที่เริ่มต้นไว้หรือไม่

     

    และในอีกยี่สิบปี ผมซึ่งก็คือตัวคุณ จะกลับมาที่มิยาจิมะเพื่อเดินขึ้นเขามิเซนและสำรวจความคิดของตัวเองอีกครั้ง

    อย่างที่ผมมองเห็นภาพคุณในวันนี้

     

     

    ด้วยความห่วงใย

     

    (ปล. คุณไม่ต้องกังวลว่าผมจะอยู่ถึงวันนั้นหรือไม่ ผมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิไปสามแก้ว)


    mylazypace.com

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in