Note: Inspired by Call me by your name
แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูร้อนมานานพอควรแล้ว แต่ฤดูร้อนของคิมดงฮยอนเพิ่งเริ่มขึ้นในวินาทีที่เสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาในโสตประสาท เด็กหนุ่มดีดตัวขึ้นจากเตียงทันทีที่ได้ยินเสียงนั่นแล้ววิ่งลงบันไดไปยังชั้นล่างของบ้านโดยมีแม่คอยเอ็ดให้ใจเย็นๆ ขาสองข้างของเขาเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว
จนกระทั่งเท้าของเขาแตะลงกับพื้นของชั้นล่างบ้าน ดงฮยอนก็หยุดชะงักลงเมื่อสายตามองเห็นแขกผู้มาเยือน คนคนนั้นกำลังคุยกับพ่อของเขา ในมือถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ดงฮยอนคุ้นหน้าคุ้นตามันดี
“อ้าว เจ้าดงฮยอนลงมาพอดี มารับกระเป๋าอาไปสิลูก”
คิมดงฮัน คือแขกผู้มาเยือนที่เขารอคอย ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆที่มีศักดิ์เป็นคุณอาบุญธรรมของเขา
เหมือนเคยเลยคนๆนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปสักนิด ยกเว้นแต่ว่าเรือนผมที่ถูกกัดย้อมเป็นสีบลอนด์ดูแปลกตา และแหวนเงินที่นิ้วมือ
หรือนั่นล่ะคือการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง
“ครั้งนี้ก็ฝากด้วยนะ” ดงฮันคลี่ยิ้มให้บางๆ ก่อนจะยื่นกระเป๋ามาให้ดงฮยอนที่รอรับอยู่
“ครับ”
ดงฮยอนก้มหน้าลงจนคางแทบชิดอก เบียดวงแขนที่โอบกอดกระเป๋าใบนั้นเข้ากับตัวขณะที่เดินขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า เสียงพูดคุยของพ่อกับอายังคงดังมาให้ได้ยิน บทสนทนาเรื่องสัพเพเหระและสารทุกข์สุกดิบที่ดงฮยอนตั้งใจฟังมันอย่างดี
ดงฮยอนวางกระเป๋าของดงฮันลงบนเตียงในห้องนอนที่เคยเป็นของเขาแต่ตอนนี้ยกให้อีกฝ่ายไปแล้ว เพราะทุกครั้งที่ดงฮันมาเยือนนั้นเด็กหนุ่มจำเป็นต้องย้ายไปใช้ห้องนอนเล็กฟากตรงข้ามที่มีห้องน้ำกั้นกลาง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงดงฮยอนเลยสักนิด เมื่อคุณอาของเขามักจะมาอาศัยอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆของการพักร้อนเท่านั้น
เด็กหนุ่มจัดแจงหยิบข้าวของเครื่องใช้ของผู้เป็นอาออกมาวางเก็บในตู้เสื้อผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะสะดุดลงเมื่อเขาหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมท่าของคิมดงฮันออกมากางออก ตัวนี้ตัวโปรดของอาเลย เขาจำได้ดี ชายหนุ่มมักจะสวมใส่มันเสมอในช่วงหน้าร้อนที่มาเยือน
ดงฮยอนจดจ้องมันอยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ตัวว่าบัดนี้มีคนได้เข้ามาในห้องแล้ว
“ไง”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นทำให้ดงฮยอนสะดุ้งเฮือกพร้อมหันขวับไปทางต้นเสียง พบว่าผู้มาเยือนของเขากำลังยืนกอดอกพิงประตูอย่างสบายอารมณ์
คุณอาของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากคราวก่อนที่ได้เจอกันนัก ยกเว้นแต่น้ำหอมที่ใช้นั้นเหมือนจะเปลี่ยนกลิ่นไป ดงฮยอนรู้สึกได้ตอนอีกฝ่ายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ จากเดิมที่เคยหอมสดชื่นคราวนี้เป็นกลิ่นหอมที่ดูนุ่มลึกและชวนฝัน
“ไม่เจอกันนานโตขึ้นอีกแล้วนะ”
เพราะระยะที่ใกล้ เสียงของดงฮันจึงเหมือนกำลังกระซิบกระซาบข้างหู แล้วฝ่ามือใหญ่ก็ยกขึ้นมาแตะค้างเหนือเรือนผมของเขา ไออุ่นจากการลูบอย่างแผ่วเบาซึมลึกลงถึงกลางใจ ดงฮยอนลอบกัดริมฝีปากของตนเองเล็กน้อย เขาก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคนตรงหน้า เห็นเพียงฝ่ามือใหญ่ที่เลื่อนลงมารับเสื้อในมือไปถือเอง “เดี๋ยวอาจัดต่อเอง...ขอบคุณมาก”
ให้ตายเถอะ
แหวนเงินวงนั้น...
ดงฮยอนไม่ค่อยแน่ใจนักว่าความรู้สึกสั่นไหวแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นในหน้าร้อนครั้งที่เท่าไหร่
หากทว่าในฤดูร้อนปีที่ 17 ของเขา ตะกอนความรู้สึกที่ตกค้างในใจถูกเขี่ยให้ฟุ้งกระจายขึ้นอีกครั้ง ทันทีที่ได้สบสายตาอันแสนอ่อนโยน
“ม...ไม่เป็นไรครับ” ดงฮยอนยื่นเสื้อในมือให้คนตรงหน้าก่อนจะเดินกลับห้องพักชั่วคราวของตนเองไป
ทันทีที่ประตูห้องของตนถูกปิดลง เด็กหนุ่มทรุดกายลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน มือเรียวเอื้อมขึ้นกุมเหนือบริเวณที่หัวใจดำรงตัวอยู่ ก้อนเนื้อเจ้ากรรมกลับมาทำงานอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
ไม่ถูกต้องเลยใช่ไหมอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ ดงฮยอนสูดหายใจเขาเต็มปอดก่อนจะผ่อนมันออกให้ใจสงบลง ก่อนจะลงไปข้างล่างบ้านอีกครั้งเพื่อทำกิจวัตรประจำวันอย่างการนั่งดูรายการโทรทัศน์ที่ห้องนั่งเล่น
รายการโปรดไม่สนุกเหมือนอย่างเคย
มันมีอะไรคอยรบกวนจิตใจ
เรือนผมสีบลอนด์ แหวนเงิน และความรู้สึกที่สั่นไหวเต็มอก
“ขึ้นไปปลุกอาลงมากินข้าวหน่อยลูก น่าจะหลับไปเพราะเหนื่อย”
แม่บอกกับเขาตอนที่รายการจบลงและฟ้าข้างนอกเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดินเต็มแก่ ดงฮยอนพยักหน้ารับทราบคำสั่งก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบนห้องอีกครั้ง
เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ เป็นอย่างที่แม่บอก ผู้ชายตัวโตกำลังนอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อนที่คาดว่าจะมาจากการเดินทางจริงๆ เขาลอบมองคิมดงฮันที่พริ้มตาหลับ แผ่นอกของเจ้าตัวกระเพื่อมขึ้นลงช้าๆตามจังหวะการหายใจ
ผมบลอนด์ของคนบนเตียงตกลงปรกใบหน้าหล่อเหลา ดงฮยอนเขยิบตัวเข้าใกล้ แทบจะกลั้นหายใจเมื่อเอื้อมมือเข้าหาหวังจะช่วยปัดเส้นผมออก
ดวงตาคู่นั้นเบิกขึ้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เขาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยเอ็ดขำๆ
คนไม่ให้สุ้มให้เสียงมันอาต่างหาก... ดงฮยอนบ่นอุบกลับในใจ ที่เขาแสดงกลับมีแค่การชักมือกลับไปซ่อนด้านหลังช้าๆแล้วเอ่ยเสียงค่อย
“แม่ให้ตามลงไปกินข้าว”
“อืม ขอบคุณมาก”
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารดำเนินไปด้วยพ่อของเขาที่คอยถามไถ่น้องชายบุญธรรมของตนเอง ดงฮยอนใช้ส้อมและมีดช่วยตัดชิ้นเนื้อเสต็กและส่งเข้าปากตนเองอย่างเงียบเชียบในขณะที่คอยฟังเรื่องราวที่ทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้ไปในเวลาเดียวกัน
อาของเขา...คิมดงฮันที่นั่งตรงหน้ากำลังจะแต่งงานในไม่ช้า อันที่จริงแหวนเงินนั่นก็บ่งบอกได้ดี
ดงฮยอนใช้เวลาไม่นานบนโต๊ะอาหาร เขาสามารถกินเสร็จได้อย่างรวดเร็วและรีบเก็บจานเพื่อหนีขึ้นไปบนห้องได้
เพลงโปรดครั้งนี้ไม่เพราะอย่างเคย
หนังสือนิยายเล่มโปรดก็เช่นกัน มันไม่น่าอ่านอีกแล้ว
จิตใจของเด็กหนุ่มล่องลอยตั้งแต่ในอ่างอาบน้ำจวบจนจะเข้านอน เขาพลิกตัวไปมาบนเตียง แม้แต่ในความมืดแสงจันทร์ก็ยังไม่น่าอภิรมย์
ความคิดมากมายตีรวนรบกวนจิตใจ จิตใจเบื้องลึกสั่งให้เขาหอบหมอนข้างใบโปรดเดินไปเคาะประตูห้องอีกฝั่งที่มีห้องน้ำกั้นอยู่ ไม่กี่อึดใจ คิมดงฮันในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเข้ากันดีเดินมาเปิดประตูให้ ในมืออีกข้างของคนที่อายุมากกว่ามีหนังสือเล่มเล็กอยู่ในมือบ่งบอกว่ายังไม่ได้นอนหลับไปก่อน
“ไง”
“...ขอนอนด้วยได้มั้ย...” ว่าแล้วก็กระชัดหมอนในอ้อมกอดเข้าหาตัวแน่นราวกับจะบดบังหัวใจที่สั่นระรัวเอาไว้ให้มิดชิด “...ครับ”
“ฝันร้ายมาเหรอ”
“ครับ”
โกหกล่ะ เขานอนไม่หลับด้วยซ้ำ
“อืม...เอาสิ” เสียงทุ้มต่ำนั้นขานรับทำให้ดงฮยอนละสายตาจากหมอนในอ้อมกอดไปยังเจ้าของเสียง ใบหน้าของดงฮันกำลังระบายยิ้มให้เขา และนั่นทำให้เด็กหนุ่มเลือกจะหลบเลี่ยงสายตาอีกครั้งและเบี่ยงตัวตรงไปยังเตียงนอนขนาดใหญ่ที่พอดีสำหรับสองคน
“มองอะไร หืม” เสียงทุ้มต่ำของคนที่นอนอยู่ข้างๆเอ่ยถามขึ้นตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจ้องมองอย่างไม่วางตา สิ้นเสียงนั่น ดงฮยอนหลุบตาลง ไม่กล้าสู้สายตาของอาหนุ่มที่จ้องมองกลับมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง จับจ้องไปยังเรือนผมสีบลอนด์ที่แสงจันทร์กำลังอาบไล้ เรือนผมที่ทำให้คิมดงฮันช่างโดดเด่น
“ผมของอา...”
“ผมของฉันมันทำไม”
“ถ้าผมย้อมบ้าง จะดูดีแบบนี้มั้ย” ดงฮยอนพึมพำขณะที่เอื้อมมือไปแตะเส้นผมของคนที่นอนอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายพลิกตัวเข้าหา กลายเป็นว่าคนทั้งคู่กำลังนอนตะแคงข้างสบตากันอยู่
“ผมสีน้ำตาลของนายก็ดีอยู่แล้ว” ไม่ว่าเปล่า แต่ยังยกมือขึ้นมาแตะที่ข้างแก้มของเขา ก่อนจะค่อยๆเกลี่ยไล้นิ้วขึ้นไปตามเส้นผมแล้วลูบเบาๆหลังท้ายทอย “เข้ากับนายดี”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจ ดวงตาของคนตรงหน้าที่จับจ้องมาทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกอีกครั้ง อันที่จริงมันอาจจะไม่แปลกหรอก...หมายถึงการนอนเล่นพูดคุยกันเช่นนี้ ในครั้งที่เขายังเยาว์วัย คิมดงฮันก็เปรียบเสมือนพี่ชายก็คอยดูแลอยู่เสมอมา
ใครจะคาดคิดเล่าว่าการเติบโตของตนจะมาพร้อมเรื่องราวอันน่าปวดใจ
“ผู้หญิงที่อาจะขอแต่งงาน...เป็นคนยังไง...” ดงฮยอนกลั้นใจเอ่ยถามถึงเรื่องราวบนโต๊ะอาหารที่เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่รับรู้
“ได้ยินเหรอ” ดงฮยอนเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยอมรับ คนตรงหน้าหัวเราะในลำคอเบาๆ “เด็กไม่ดี แอบฟังผู้ใหญ่คุยกันเหรอ”
“ขอโทษครับ”
“หยอกเล่นน่า ยังไงวันหนึ่งเธอก็ต้องรู้อยู่ดี จริงมั้ย” ดงฮยอนพยักหน้าอีกครั้ง ดงฮันเริ่มเล่าต่อ “เธอชื่อคังโซฮี เราทำงานที่เดียวกัน เธออัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม แล้วก็ใจดี คิดไปคิดมาแล้วก็เหมือนนายเลยนะ...”
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าน้ำตากำลังจะเอ่อคลอเต็มหน่วยตา ทั้งที่ในใจไม่อาจระบุอารมณ์ความรู้สึกได้ถูกต้องด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่เขาเก่งกาจพอจะจัดการมันไม่ให้ไหลออกมาอย่างไม่ถูกเวลาได้
“มาครั้งนี้อาอยากไปเที่ยวไหนก็บอกนะ จะพาไป”
“ใจดีจังเลยนะ”
“ก็ถ้าคราวหน้าคงอีกนานจะมาไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมคิดงั้นล่ะ”
“ก็จะมีครอบครัวแล้วนี่นา...”
.
.
อากาศร้อน ท้องฟ้าแจ่มใส
สมกับเป็นหน้าร้อน คิมดงฮยอนมองตามแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตสีกรมท่าที่เขาคุ้นตา คนด้านหน้าปั่นจักรยานนำเขาไปตามเส้นทางที่เรียงรายไปด้วยทุ่งหญ้าทั้งสองข้างทาง คิมดงฮันชื่นชอบการปั่นจักรยานในทุกครั้งที่กลับมาเยือนที่แห่งนี้ และใจโลดโผนมากพอที่จะปล่อยมือทั้งสองข้าง
มือสองข้างของเด็กหนุ่มยังจับแฮนด์จักรยานแน่นในตอนที่ปั่นตามไป เขายังหวาดกลัวเกิดกว่าจะปล่อยมือออก แต่ท่าทีของอาก็ดูสนุกเหลือเกิน
สนุกจนน่าอิจฉา
อิจฉาจนอยากที่จะรู้สึกแบบนั้น ไม่รู้ตอนไหนที่มือของเขาปล่อยออก ไม่ทันได้ตั้งตัวจักรยานของเขาล้มลงและเป็นตัวของเขาที่กลิ้งลงไป ภาพตรงหน้าตัดไปมาจนมึนงง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กลิ้งลงมานอนบนพื้นหญ้าและเกิดอาการเจ็บแปลบตามเนื้อตัว
พระอาทิตย์ที่ส่องอยู่ข้างบนทำงานได้ดีเหลือเกิน
เจิดจ้าจนเด็กหนุ่มรู้สึกแสบตาเสียแล้ว
เขาคงเจ็บตัวจากการล้มเพราะจักรยานจนอยากจะร้องไห้
ไม่ใช่เพราะว่าคิมดงฮันที่รีบทิ้งจักรยานของตนเองแล้ววิ่งมาดูด้วยหน้าตาตื่นๆแบบนี้หรอก
.
.
“โอ๊ย”
ดงฮยอนร้องขึ้นมาเมื่อปลายสำลีที่ชุบน้ำยาเช็ดแผลแตะลงที่แขน แม้คิมดงฮันจะพยายามเบามือแต่มันก็ยังทำให้รู้สึกแสบจนต้องร้องออกมาอยู่ดี
โชคดีที่ข้างทางมีร้านค้าพอให้เข้าไปพักและมีคุณลุงเจ้าของร้านที่แสนใจดีให้หยิบยืมอุปกรณ์ เด็กหนุ่มกับอาของเขาจึงนั่งจุมปุ้กทำแผลกันอยู่เช่นนี้
“ทนนิดนึงนะ เดี๋ยวจะไม่เจ็บแล้ว” ว่าแล้วคนแก่กว่าก็โน้มหน้าลงมาแล้วเป่าลมลงบนรอยถลอกอย่างแผ่วเบา และนั่นทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มเห่อร้อนขึ้นมาไม่แพ้เวลาดินกลางแดดร้อนๆเลย “ดีนะไม่ช้ำหรือเคล็ดน่ะ วันหลังอย่าปล่อยมือถ้าไม่มั่นใจรู้ไหม”
“อืม”
“เด็กน้อยเอ๊ย” ไม่พูดเปล่าแต่ยังเอื้อมมือขึ้นมาขยี้ผมบนหัวเขาอย่างมันเขี้ยวอีกด้วย ก่อนที่อาของเขาจะจับแขนของเขาพลิกดูรอยแผลอีกครั้ง
ดงฮยอนไม่ได้มองตามแผลที่แขน แต่กลับจับจ้องมองใบหน้าของคนโตกว่าตรงหน้า ใบหน้าที่ตั้งอกตั้งใจทำให้จิตใจของเขาหลุดลอยอีกครั้ง
จะเป็นอย่างไรหากเขาได้สัมผัสคนตรงหน้ามากกว่านี้
ผลลัพธ์ของมันจะเจ็บปวดมากไปกว่าแผลของเขาตอนนี้ไหม
“ไง หิวหรือยัง” คิมดงฮันละสายตาขึ้นมาสบตาเขาตรงๆ และนั่นทำให้ก้อนความคิดชั่วครู่แตกกระจายหายไป ดงฮยอนกะพริบตาปริบๆมองคุณอาหนุ่มของตน ก่อนจะพยักหน้าตอบเล็กน้อย
“ไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้คงปั่นไปไหนไกลๆไม่ไหวแล้วเนอะ” คนตรงหน้าคลี่ยิ้มบางๆอย่างที่ชอบทำก่อนจะลุกนำเขาไปยังจักรยานที่จอดทิ้งไว้นอกร้าน “ทิ้งจักรยานไว้กับคุณลุงละกัน เดี๋ยววันนี้ซ้อนอาไปก่อนนะ”
“ครับ...”
เด็กหนุ่มนั่งลงที่ที่นั่งด้านหลังอย่างระมัดระวัง แผ่นหลังของคนตรงหน้าอยู่ใกล้กว่าที่เคย
“จะกอดก็ได้นะ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแซว ทว่าดงฮยอนประหม่าเกินกว่าจะทำตามคำหยอกล้อนั่น เขายึดเบาะด้านหน้าพอให้ได้มั่นใจว่าจะไม่ร่วงหล่นระหว่างทางเป็นพอ
มากไปกว่านี้น่ะไม่มั่นใจหรอกนะ
ว่าผลลัพธ์จะเจ็บแปลบยิ่งกว่าล้มลงจากจักรยานหรือเปล่า
.
.
เด็กหนุ่มเหม่อมองอาของเขาที่ห้องฝั่งตรงข้ามผ่านประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้ คิมดงฮันกำลังจัดข้าวของลงในกระเป๋าใบที่นำมาด้วย
บางครั้ง วันคืนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หมดช่วงพักร้อนแล้ว คิมดงฮันกำลังจะกลับไป
“ไว้อาจะมาเยี่ยมใหม่นะ”
มือใหญ่ของคนตรงหน้าลูบลงบนกลุ่มผมหนานุ่มของดงฮยอนอย่างเบามือ ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ดงฮยอนมองตามเจ้าของฝ่ามือนั่นจวบจนแผ่นหลังของเขาคนนั้นห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้น ก่อนที่คันรถสีขาวจะขับออกไป ไกลจนลับตา
.
.
“ก็ถ้าคราวหน้าคงอีกนานจะมาไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมคิดงั้นล่ะ”
“ก็จะมีครอบครัวแล้วนี่นา...”
.
.
คล้ายว่าฤดูร้อนของเด็กหนุ่มจะจบลงแล้ว
ทิ้งไว้เพียงเมฆฝนก้อนใหญ่ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเขา.
.
“จะมาเยี่ยมบ่อยๆก็แล้วกัน”
How much sorrow can I take?
Blackbird on my shoulder
And what difference does it make
When this love is over?
.
.
#มนต101
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in