ผมได้รู้จักกับกาแฟตอนต้องทำงานโต้รุ่งอันเป็นวิถีชีวิตซึ่งเด็กถา’ปัดคุ้นเคยพอกับหายใจเข้าออกการพบกันครั้งแรกของเราเกิดจากความจำเป็นที่ต้องการคาเฟอีนมากระตุ้นประสาทอันอ่อนล้าให้กลับมาพร้อมเริ่มต้นภารกิจในวันใหม่
จากคนแปลกหน้าต้องมาพบเจอกันเพราะความจำเป็นนานเข้าก็เปลี่ยนเป็นคนคุ้นเคย ลงท้ายที่ผมขาดมันไม่ได้จะเรียกว่าเสพติดคาเฟอีนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
ดังนั้นเมื่อผมเห็นร้านกาแฟโลโก้ทรงกลมสีเขียวคุ้นตาอยู่ระหว่างทางขี่จักรยานไปมหาวิทยาลัย‘รอดตาย’ จึงเป็นคำแรกที่ผุดขึ้นในหัวและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ปั่นจักรยานไปมหาวิทยาลัยเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาในต่างแดนอย่างมีความสุข
ช่วงหกเดือนแรกผมยังไม่ต้องทำอะไรนอกจากเรียนภาษาถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ง่ายอยู่ดีสำหรับผู้ชายอายุยี่สิบต้นๆที่แทบไม่มีหัวทางด้านนี้ผมจึงต้องหาทางทบทวนบทเรียนให้ตนเองสารพัดวิธี ทั้งไปเดินในซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่ออ่านป้ายราคาสินค้าให้คุ้นเคยกับตัวอักษรหลังเลิกเรียนและวันหยุดเดินไปสถานีรถไฟฟ้า ฟังเสียงประกาศยิ้มกับตนเองเมื่อพบว่าฟังเข้าใจทุกคำ หรือมีบ้างที่ลองไปนั่งดื่มตรงบาร์คอยฟังบทสนทนารอบตัวเพื่อฟังสำเนียงที่แตกต่างไปจากในห้องเรียน
เริ่มเรียนภาษาได้ราวสองสัปดาห์ หลังเลิกเรียนในแต่ละวันผมก็ลองไปปักหลักตรงสถานีรถไฟฟ้าพกสมุดไร้เส้นเล่มเหมาะมือกับปากกาด้ามหนึ่งติดกระเป๋าเป้ไปด้วย สเก็ตช์ภาพบรรยากาศรอบตัวบันทึกมันลงบนแผ่นกระดาษ
ผมชอบถ่ายรูป แต่คิดว่าชอบวาดรูปมากกว่า เพราะมันต้องผ่านสายตาส่งไปยังสมองและจบที่มือขยับวาดเป็นลำดับสุดท้ายขั้นตอนที่มากและช้ากว่าทำให้ได้พิจารณาอย่างละเอียด รวมเป็นความทรงจำที่ตราตรึง
แม้รูปที่วาดจะหายไปแต่ความทรงจำขณะจรดปลายปากกานั้นจะคงอยู่กับผม...ตลอดไป
สามวันกับสถานีรถไฟฟ้าช่วงเย็นผ่านไปมวลคนแปลกหน้าเบียดเสียดในชั่วโมงเร่งด่วนก็เริ่มมีบางใบหน้าที่คุ้นเคย
พนักงานบริษัทวัยกลางคนกับพวงกุญแจรูปมิกกี้เมาส์ที่กระเป๋าเอกสาร
เด็กสาวมัธยมปลายที่มักจะมาถึงสถานีรถไฟในเวลาเดิมเหมือนตั้งเวลาไว้
และผู้คนมากมายที่ขยับเข้ามาเป็นภาพคุ้นตา แต่เราก็ยังไม่รู้จักกัน
ผมกำลังจะก้มลงวาดรูปคนต่อแถวหน้าตู้ขายเครื่องดื่มเมื่อชายหนุ่มในชุดสูทสีเข้มก้าวผ่านหน้าไป ความรู้สึกบางอย่างเรียกให้เงยหน้าขึ้นมอง
เป็น ‘เขา’ อย่างที่คาดไว้ไม่ผิด
ลำพังส่วนสูงที่เกินมาตรฐานผู้ชายญี่ปุ่นก็ทำให้เขาสะดุดตาอยู่แล้ว
เขาเบนสายตามาสบตาผม ยิ่งโดดเด่น...จนทำให้ผมมองไม่เห็นใครนอกจากเขา
เป็นวันที่สี่ ที่เราสบตากันโดยไม่มีคำพูดใดๆ
เช่นเดียวกับทุกวันที่ผมเลิกคิ้วอย่างฉงน ขณะเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
ทุกอย่างรอบตัวเหมือนกลับมาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปกติอีกครั้ง
ผมไม่เชื่อในเรื่องรักแรกพบไม่เคยคิดว่าช่วงเวลาสบตากับใครแล้วโลกหยุดหมุนมันจะมีอยู่จริง
แต่ผมก็อดคิดไม่ได้...ว่าความรู้สึกเวลาเดินช้าลงตอนสบตากับคนแปลกหน้าคนหนึ่งคงให้ความรู้สึกแบบนั้น
ผมลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแวะซื้อกาแฟร้อนที่ร้านสะดวกซื้อก่อนเดินกลับหอพักฝนตกลงมาหลังจากผมก้าวเข้ามาในอาคารได้ไม่กี่ก้าว
กลิ่นหอมของกาแฟจากถ้วยกระดาษในมือกับบรรยากาศเคล้าเสียงฝนทำให้ความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมา
หากมีวันหนึ่งที่ผมตกหลุมรักใครสักคน...ลักษณะความสัมพันธ์กับคนๆนั้นจะเหมือนที่ผมรู้สึกกับกาแฟหรือเปล่า
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in