ถ้าหากผมสามารถขอพรได้สักข้อ ผมก็อยากจะขอให้...
ชิวิตเล่นตลกกับคนเสมอผมเชื่ออย่างนั้น หลังจากที่สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปในอุบัติเหตุรถยนต์ชีิวิตของผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เวลาเดินเชื่องช้าในสถานสงเคราะห์ ใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อเอาตัวรอด เรียนรู้ที่จะใช้ความเป็นเด็กเพื่อให้ได้รับความสงสาร ได้ข้าวได้ขนมพออิ่มท้องไปวันๆ ไม่มีเวลาจะมาวาดฝันถึงอนาคต ผมคิดว่าตัวเองคงจะโตมาเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ทำงานในสถานสงเคราะห์นั่นแหละ อาจเป็นตำแหน่งภารโรงหรือคนสวนก็ได้
เด็กตัวคนเดียวจะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น
จนกระทั่งผมได้เจอกับคุณแม่ เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ผิวขาวนวลทำให้รู้ว่าคงจะถูกทะนุถนอมมาอย่างดี เธอมาที่สถานสงเคราะห์กับเพื่อนของเธออีกกลุ่มใหญ่ จัดงานเลี้ยงวันเกิดของใครสักคน ได้ยินพวกพี่ๆ ว่าอย่างนั้น ผมไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าอาหารตรงหน้าที่พิเศษกว่าอาหารประจำวันที่ได้กินมา มีไก่ทอด มีพิซซ่า ที่ก่อนหน้าเคยได้เห็นแต่ในจอโทรทัศน์
เธอสบตากับผม จ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมเองจะเป็นฝ่ายเสหลบ รู้ตัวในตอนนั้นว่าความไร้เดียงสา ความเป็นเด็กดีที่บรรจงสร้างมาเพื่อเอาตัวรอดจะไม่มีวันได้ผลกับเธอ
"ชื่ออะไรคะหนุ่มน้อย"
เสียงหวานสมตัว ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเจือกระแสบางอย่างที่ไม่น่าจะมาพร้อมกับรอยยิ้มได้ ผมคิดว่าเธอกำลังเศร้า ผมไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เธอเศร้าแต่กลับยิ้มให้ผมราวกับโลกนี้มันสวยงาม
"ว่าน ว่านครับ"
ผมตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกัก ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมได้ยินเธอหัวเราะเสียงใส วันนั้นเราคุยกันมากมายบางเรื่องก็ไร้สาระ บางเรื่องก็ดูจริงจังอย่างที่ไม่น่าจะเอามาคุยกับเด็กได้ เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องลูกชายคนเดียวของเธอ ภพธร เขาแก่กว่าผมสี่ปีแต่เป็นคนจริงจังกว่าอายุไปเยอะ เธอกลัวว่าลูกชายของเธอจะเหงาหลังจากที่สูญเสียพ่อไปด้วยอุบัติเหตุรถยนต์
เหมือนครอบครัวของผมเลย
"ไปอยู่ด้วยกันไหมคะว่าน"
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตอบกลับไป ทั้งที่ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ไม่อยากได้มาเพื่อสูญเสีย แต่คำตอบที่หลุดออกไปก็ไม่ใช่อย่างที่สมองสั่งการ
"ครับ"
สองเดือนหลังจากนั้นผมก็มาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ใหญ่เกินกว่าที่คนอย่างผมจะคู่ควร ผมรู้สึกผิดที่ผิดทางไปหมดแต่จะทำยังไงได้ ผมดันเดินมาไกลจนกว่าจะหันหลังกลับไป เพราะตั้งแต่วันที่รู้ว่าจะได้ออกมาอยู่ข้างนอก สถานสงเคราะห์แห่งนั้นก็ไม่มีที่ให้ผมอีกต่อไปแล้ว คงต้องเดินหน้าต่อไปไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม
"กลับมาแล้วเหรอครับคุณแม่"
แต่นี่ไม่เหมือนกับที่ผมคิดเอาไว้เลยสักนิด
"กลับมาแล้วจ้ะ"
เธอหันมามองผมด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะให้พูดประโยคเดียวกันออกไป ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะทำแบบนั้น มันเป็นมารยาทสังคมที่ฝึกหัดเองมาตั้งแต่จำความได้ แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันอยู่เหนือการควบคุมทันทีที่ได้เห็นหน้าเขา ดวงตาคมรับกับสันจมูกโด่งได้รูป นั่นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับริมฝีปากอิ่มๆ และผิวสีแทนอย่างคนสุขภาพดี
"ส...สวัสดีครับ คุณภพธร"
พระเจ้า เขาหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เหมือนเสียงจากสวรรค์ ผมไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาก้าวเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เมื่อไร กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมาแตะจมูก สีหน้าและแววตานั่นมันทำให้ผมต้องข่มความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอาไว้ภายใน
"คนโกหก"
อา... เขาดูออกซะแล้ว
Fin
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in