เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#NICE to meet you ;)ฉัตรทิพย์
บินไปฝึกงานที่ฝรั่งเศส (2019)
  • #NICE to meet you

    หลังจากห่างหายการเขียน Blog ไปนาน แบบโคตรจะนาน (เพราะครั้งล่าสุดที่เขียนคือปี 2017 จ้า) และครั้งนี้กลับมาเพราะพิษของ COVID-19 นั่นแหละหนา รูปแบบการเขียนอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยถึงมาก นั่นก็เป็นเพราะเราโตขึ้น และอยากเขียนเหมือนเรากำลังเล่าเรื่องให้เพื่อนคนนึงฟัง

    (ฮ่าๆ)

    เอาล่ะ... ครั้งนี้จะมาเล่าถึงประสบการณ์การฝึกงาน ช่วงปี 3 ของตัวเอง ที่มีโอกาสได้ไปฝึกงานไกลถึงฝรั่งเศส ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณ คุณพ่อและคุณแม่ (ปกติไม่ได้เรียกอย่างนี้หรอก ฮ่าๆ) ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักในการส่งฉันไปถึงยุโรปที่ดินแดนน้ำหอม...


    *รูปไม่ตรงกับเนื้อหาใดๆ ใส่เพื่อความเก๋
    *เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

    "จุดนัดพบ"

    ทำไมถึงไปฝึกไกลถึงฝรั่งเศส ?

    เกริ่นก่อนว่า เราเรียนอยู่คณะมนุษยศาสตร์ สาขาภาษาฝรั่งเศส ตอนนี้อยู่ปี 4 และกำลังเตรียมตัวเผชิญกับช่วงเปลี่ยนผันของชีวิต (นั่นก็คือรอจบการศึกษา และหางานทำนั่นแหละ) และเหตุผลที่เลือกไปฝรั่งเศสก็เพราะเรียนภาษาเขามาตั้งหลายปี ตั้งแต่มัธยมจนมหาลัย ก็อยากไปสัมผัสฝรั่งเศสแบบเรียลๆ บ้าง

    การไปฝรั่งเศสครั้งนี้ไปในฐานะ Stagiaire หรือเด็กฝึกงาน ซึ่งเราไปกับโครงการ Ieo หลายคนที่กำลังวางแผนจะไปฝึกงานหรือ WAT น่าจะรู้จักโครงการนี้กันมาบ้าง เรารู้จักโครงการนี้จากอาจารย์ชาวฝรั่งเศส และพี่รหัสที่เคยไปมาแล้วเหมือนกัน ส่วนงานที่ไปฝึกเป็นงานโรงแรม ซึ่งเขามีตัวเลือกให้เราระหว่างฝึกระยะ 3 เดือน กับ 6 เดือน ค่าโครงการก็จะต่างกันไป


    "ส่วนตัวพูดแบบไม่อวย นี่น่าจะเป็นโครงการที่ค่าโครงการถูกสุดแล้ว!!"


    ด้วยความที่เราอยู่ปี 3 ต้องกลับเรียนให้ทันเพื่อนเลยต้องเลือกระยะ 3 เดือน หลังจากติดต่อโครงการไป เขาก็จะให้เราส่งเรซูเม่เป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสไปให้เขา หลังจากนั้นจะนัดวันเวลาเพื่อสัมภาษณ์ เนื่องจากเรียนภาษาฝรั่งเศสมาโดยตรง เราเลยถูกสัมภาษณ์เป็นภาษาฝรั่งเศส คำถามที่เจอก็จะเป็นคำถามทั่วไป เช่น

    "แนะนำตัว"

    "รู้จักโครงการนี้ได้อย่างไร"

    "ทำไมถึงอยากไปฝรั่งเศส"

    "อยากไปเมืองไหน"

    เป็นต้น

    ตอนที่ถูกถามเมืองที่อยากไป จำได้ว่าตอนนั้นในหัวเรารู้แค่ว่า อยากจะเลี่ยงปารีสหรือเมืองทางเหนือ เพราะเห็นข่าวเกี่ยวกับการประท้วงบ่อยๆ ในช่วงนั้น เลยตอบไปว่าอยากไปใต้ เขาก็ถามว่าทำไมถึงอยากไปแถบนั้น เราก็ตอบไปว่า เห็นตามแผนที่มันเป็นฝั่งที่ติดทะเล และช่วงฤดูร้อนนักท่องเที่ยวจะเยอะ น่าจะมีโอกาสได้เจอคนเยอะ เขาก็ถามอีกว่า แล้วเราสนใจเมืองไหน เอาตามตรงนะ... เราไม่ค่อยรู้จักเมืองทางใต้สักเท่าไหร่  (ณ ตอนนั้น) เลยตอบไปว่า เมือง Cannes เพราะเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมากๆ แค่นั้น... แต่สุดท้ายเราได้เมือง Nice เป็นหนึ่งเมืองหลักของทางใต้เหมือนกัน ซึ่งอยู่ติดกับ Cannes เลย

    การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี แต่เราติดปัญหาอย่างหนึ่งคือ เราเรียนสายภาษาไม่ใช่สายงานโรงแรม และไม่มีประสบการณ์การทำงานเลย (หมายถึงงาน Part-time) ทางเจ้นเลยแนะนำให้เราลองไปหาประสบการณ์ด้านงานโรงแรมหรืองานบริการ เช่น ร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ เพื่อจะได้ทำความรู้จักกับงานด้านนี้ โชคดีที่พ่อเรารู้จักกับผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งอยู่ เลยขอไปลองทำโดยไม่รับค่าจ้างใดๆ ระยะเวลา 1 เดือน หลังจากการสัมภาษณ์เราก็รอแค่การตอบกลับจากโรงแรม ซึ่งเจ้นจะติดต่อมาอีกทีทางอีเมล์
  • Nice! ที่เป็นชื่อเมือง

    ทางโครงการติดต่อกลับมาพร้อมสัญญาที่ต้องเซ็นและใช้ประกอบในการทำวีซ่าของเรา เราได้ไปฝึกงานในส่วนของ F&B (ตามที่ถูกถามตอนสัมภาษณ์ว่าอยากไปทำตำแหน่งไหน) ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์งานด้านนี้เลยเถอะ ถึงจะได้ไปลองงานในโรงแรมมาแล้ว... ก็... ค่อนข้างเซอร์ไพรส์และแอบจิตตกในเวลาเดียวกัน โรงแรมที่ต้องไปอยู่ในระยะเวลา 3 เดือนเป็นโรงแรมที่อยู่ในเมือง Nice เป็นเมืองใกล้ๆ กับ Cannes ซึ่งเราสามารถเดินทางไปมาระหว่างสองเมืองนี้ด้วยรถไฟหรือบัส หลังจากรู้ชื่อโรงแรมก็เปิด Google ทันที! 

    "แหล่งเสียทรัพย์ ระวังนะ!"

    อืม... ไม่เลว อยู่ในเมือง ติดย่านชุมชน แหล่งชอปปิ้ง... รอดแล้ว!


    หลังจากนั้นเราก็ไปทำวีซ่า ซื้อของ และเตรียมตัวบินแบบสวยๆ... ค่ะ...

    การบินเดี่ยวออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ภาพในหัววาดฝันไว้ (โคตรร) สวยงาม มีก้อนเมฆนุ่มนิ่ม มองเห็นเมือง ไม่ก็ประเทศต่างๆ เวลาบินผ่านแบบฟินๆ แต่ความเป็นจริงคือ เราการที่ต้องนั่งแหง็กอยู่บนเครื่องสิบกว่าชั่วโมง บินตอนเที่ยงคืน มองไม่เห็นแม้กระทั่งปีกเครื่องบิน แม่งโคตรจะไม่บันเทิง! แนะนำว่าแต่งตัวแบบสบายๆ ขึ้นเครื่องดีกว่า และใครที่ชอบเมารถ เมาเรือ เตรียมยาไปด้วยก็ดี เพราะเรา...

    เมา เครื่อง บิน!

    (ข่มตานอน)

    บินรวดเดียวสิบกว่าชั่วโมงอาจจะดูเว่อร์ไป อันที่จริงเราต่อเครื่องที่โดฮา โดยบินเดี่ยวจากไทยไปลงโดฮา ไปเจอเพื่อนอีกคนที่เลือกมาฝึกฝรั่งเศสทางใต้เหมือนกัน แต่คนละเมือง แล้วบินต่อไปที่ Nice เลยยยยยย!

    "แค่รอบข้างของแหล่งชอปปิ้งเท่านั้น"

    Nissa Nissa~

    ตอนใกล้จะถึง (โดยอิงจากเวลาสิบกว่าชั่วโมงนั่นแหละ) ภาพที่เห็นผ่านหน้าต่างคือเหมือน "ฝัน" เราบินมาถึงตอนประมาณบ่ายสองโมง แดดกำลังดีเลยยย ข้างล่างเป็นเมืองตากอากาศที่มีตึกสีส้มชมพูสลับกัน ทะเลที่จรดกับท้องฟ้าจนกลืนเป็นสีเดียวกัน ตึกของสนามบินมีป้ายต้อนรับ "Nice to meet you"  ให้เห็นตอนรอลงจากเครื่อง คิดว่าน่าจะมาจากการเอาคำว่า Nice ที่เป็นชื่อเมืองมาเล่นคำ ตอนนั้นมีเสียงในหัวแค่...


    "โคตรดี"

    และ

    ...

    "กูมาถึงแล้วค่ะ!"

    "กินลม ชมวิว ดูวอลเลย์บอล"

    ตอนลงจากเครื่องได้สัมผัสอากาศข้างนอกเล็กน้อยก่อนไปเอากระเป๋า ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดอุณหภูมิอยู่ที่ 15 องศา (กำลังเข้าหน้าร้อน) มีลมเย็นๆ กับเสียงต้นไม้ลู่กับลมที่พัดมาจากทะเล ตอนนั้นแค่อากาศเย็นก็ตื่นเต้นแล้ว หลังจากเอากระเป๋าเสร็จเราก็เดินไปรอคนจากโรงแรมที่นัดกันว่าให้มารับ ซึ่งเราไม่เคยเห็นหน้าเขา มีแค่เบอร์โทรเท่านั้น และรออยู่นานมากเกือบชั่วโมงก็ไร้วี่แวว  สุดท้ายติดต่อทางเจ้นไป เขาก็ตอบกลับมาทันทีว่า เดี๋ยวติดต่อให้ และให้เรารออยู่ที่ประชาสัมพันธ์ของสนามบิน ก็รอนานอีกเช่นเคย เริ่ม ปสด... (อันนี้คือประสาทแดก) เลยขอให้เจ๊ผมทองที่อยู่ประชาสัมพันธ์ติดต่อเบอร์คนมารับให้ โอเคตอนนี้ติดต่อได้แล้ว เขากำลังมา สุดท้ายมารู้ว่า เขามารอเราตามเวลาที่เครื่องบินจะลง แต่เรายืนรอกระเป๋านานมาก เกือบชั่วโมง และเขาต้องรีบไปส่งลูกค้าเหมือนกันเลยเลือกไปส่งลูกค้าที่โรงแรมก่อน สุดท้ายเลยน่าจะคลาดกัน 

    (เรื่องคนมารับไปโรงแรม อันนี้ลองขอทางเจ้นดูนะ อาจจะได้หรือไม่ได้ก็ลองดู เราคุยได้)

    โอเค... เราขึ้นรถของทางโรงแรมมาแล้ว และเขาบอกว่าต้องไปทำธุระอีกที่ก่อนเข้าโรงแรม เราก็โอเคไปเลยค่ะ บนรถเราก็คุยกับเขาไปว่า นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มาต่างประเทศ เมืองนี้สวยมาก วันนี้อากาศดีมาก (บลา บลา) สุดท้ายมาถึงโรงแรม ได้เจอกับ "ชาร์ลอตต์" ซึ่งทำหน้าที่ Front อยู่ที่นี่ นางดูใจดี พอรู้ว่าเราเป็นเด็กฝึกงานก็เข้ามาคุยด้วยใหญ่เลย แถมยังช่วยลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์ไปส่งที่ห้องพักอีกด้วย (ที่พักของเราอยู่ในโรงแรมนะ ในส่วนของพนักงาน) 

    เราก็มาถึงห้องซึ่งมีเด็กฝึกงานอยู่มาก่อนแล้วสองคนในห้องนี้ ไทยหนึ่งคน ฝรั่งเศสหนึ่งคน แต่ตอนนี้เหมือนทุกคนจะทำงานอยู่ เราก็หาที่วางกระเป๋า สำรวจห้องไป (เอาจริงๆ ห้องไม่ได้ใหญ่มากพอจะใช้คำว่า "สำรวจ" ด้วยซ้ำ) ยังไม่ทันได้พักจากการนั่งตูดเปื่อยสิบกว่าชั่วโมงบนเครื่องบินก็ถูกเรียกไปที่ F&B ทันที 

    เขาเรียกเราให้มาที่บาร์ของโรงแรม (สภาพตอนนั้น น้ำฉันก็ยังไม่ได้อาบ) ให้มารับชุดทำงาน วันเวลางาน มาทำความรู้จักกับเมเนเจอร์ของห้องอาหาร เราได้เจอกับ "ปีแอร์" และ "จอร์น" เราก็แนะนำตัวไป และถูกถามว่าจะเลือกทำหน้าที่อะไร ระหว่าง "ห้องอาหาร" กับ "ครัว" ด้วยความที่ฉันไม่มีสกิลการทำอาหารใดๆ จึงเลือกทำที่ห้องอาหาร ซึ่งมีหน้าที่ดูแลแขกในช่วงเช้าและบ่าย หลังจากนั้นปีแอร์ก็ปล่อยให้ขึ้นไปพักแล้วมาเจอกันในวันทำงานวันแรกตอน 7 โมงเช้า...

  • 2 วัน ก่อนทำงานวันแรก

    เราบินมาถึงก่อนวันเริ่มงานประมาณ 2 วัน ซึ่งวันแรกที่มาถึงหลังจากกลับมาจากห้องอาหาร "รูมเมท" (ซึ่งเป็นคนไทยเหมือนกันอยู่มาก่อนประมาณ 4 เดือน) ชวนออกไปเดินเล่นในเมือง เราก็ตอบตกลง โอเค... ไปก็ได้ ค่อยกลับมานอนทีเดียว! 

    ภายในเมือง Nice การเดินทางหลักคือ "รถราง" หรือ "แทรม" ซึ่งหรูหรา ดูไฮ และวิ่งไปทั่วเมือง ค่ารถรางอยู่ที่ 1.50 ยูโร ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกลราคานี้เท่านั้น ซึ่งสถานีก็อยู่ติดกับโรงแรมเราเลย ไปมาสะดวกมาก

    ห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่จะเปิดปิดเวลา 09.00-19.00 หรือ 10.00-20.00 บางร้านปิดวันอาทิตย์ บางร้านปิดวันจันทร์ ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Carrefour จะเปิดทุกวัน เรื่องวันเวลาทำการแต่ละสาขาก็จะแตกต่างกัน (เราเองก็ยังไม่แม่นนะ) เอาเป็นว่าเราสามารถเปิด Google เช็คดูได้เลยก่อนจะออกไปชอป เพราะตลอดระยะเวลา 3 เดือน เราพึ่งมันตลอดตั้งแต่ดูเวลาร้านค้า เวลาขึ้นแทรมหรือบัส ไปจนถึงวิธีเปิดขวดเบียร์โดยไม่ใช้ที่เปิดขวด... (งัดกัดจนได้แผล)

    เราพกเงินติดตัวมาหมื่นกว่าบาท (แลกเป็นเงินยูโรแล้วนะ) ช่วงแรกเราไม่ค่อยกล้าใช้เงินเลย เพราะในหัวจะบวกลบคูณหารเป็นเงินบาทตลอด แล้วจะรู้สึกว่ามันแพงไม่กล้าซื้อ แต่พออยู่นานเข้าเราก็เริ่มซื้อแหลก ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น อ่อ... ก่อนมาเราได้เปิดบัญชีไทยเอาไว้เก็บเงินฉุกเฉินกับเอาไว้ให้แม่โอนมาให้ในยามจำเป็น... เดือนแรกเรายังไม่ได้รับเงินเดือน ดังนั้นเราต้องพึ่งตัวเองไปก่อนนะ และก่อนมาเราลืมคิดถึงค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ ไปเลย เช่น 

    - ค่าเปิดซิมโทรศัพท์ 
    เริ่มต้นจ่าย 40 ยู (เปิดเบอร์เพื่อใช้เล่นอินเทอร์เน็ตเวลาอยู่ข้างนอก และติดต่อกับหัวหน้าหรือเพื่อน ส่วนราคาขึ้นอยู่กับค่ายโทรศัพท์ เราเลือก Orange หลายคนบอกว่าดีที่สุด มีโทรฟรี มีเน็ตให้ แต่มันไม่ได้เร็วอะไรเลย)

    - ค่าทำบัตรรถราง
    รายเดือน 20 ยู (เราว่าคุ้มมากก เพราะใช้รถรางเป็นหลัก นอกจากนี้ยังใช้กับรถบัสของเมืองได้อีก และเราออกไปข้างนอกแทบจะทุกวัน)

    - ค่าชุดทำงาน 
    รวมเกือบ 70 ยู (เราได้แค่หมวกกับผ้ากันเปื้อนจากโรงแรมเท่านั้น ที่เหลือเราต้องไปซื้อเอง ซึ่งมีกางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว รองเท้าสีดำล้วน ซึ่งฉันไม่มีอะไรเลย เลยต้องซื้อใหม่หมด และแพงมากโว้ย! อาจเป็นเพราะหาซื้อได้ในห้างเท่านั้น ไม่มีประตูน้ำเหมือนบ้านเรา)

    - ค่าของเครื่องใช้ (ตั้งใจมาซื้อใหม่ที่นี่)

    - ค่าอาหาร 
    (ตามสัญญาเราสามารถไปกินอาหารของโรงแรมได้ตลอดเวลาการทำงาน แต่มันไม่ค่อยถูกปากเรา และหากต้องซื้อกินร้านข้างนอก อย่างต่ำเริ่มต้นที่ 5 ยู) 

    เป็นต้น

    "เดินขึ้นเขาร่างแทบพังเพื่อรูปนี้"
    และการทำงานในโรงแรมใจกลางตัวเมืองจะไม่มีการจ่ายเงินเดือนเป็นเงินสด ทางโรงแรมจะโอนเข้าบัญชีธนาคารเท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องไปเปิดบัญชีธนาคารฝรั่งเศสเอง และมันโคตรจะยุ่งยาก บ้านเราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการเปิดบัญชี แต่ที่นี่ใช้เวลาเป็นเดือน! ดังนั้นแนะนำว่าถ้ามาถึงแล้วให้รีบทำ ไม่งั้นเราก็จะได้เงินเดือนช้าไปด้วย การเปิดบัญชีฝรั่งเศสจะต้องโทรนัดล่วงหน้า และไม่ใช่ว่าทุกสาขาจะสามารถเปิดบัญชีให้กับเด็กฝึกงานต่างชาติได้ เราโชคดีที่เพื่อนคนไทยช่วยแนะนำ และหัวหน้าแผนกพาขับรถไปคุยกับธนาคารให้

    หลังจากกลับมาจากเดินเล่นชมเมืองเราก็กลับมาสลบที่ห้อง และนอนจนถึงเช้าวันใหม่

    ก่อนทำงานวันแรกหนึ่งวัน... เราอยากสำรวจบริเวณรอบๆ โรงแรม เลยตัดสินใจไปซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยตัวเอง เปิด Google Maps และเดินไปยังร้านที่ใกล้ที่สุด แต่... แม่งไม่ได้ใกล้ที่สุดเลย! เพราะเดินหลงไปมั่ว แต่ก็มาถึงจนได้ เราเลือกซื้อพวกของกินเล็กๆ น้อยๆ กาแฟ ชา เอาไปเก็บไว้กินในแต่ละวัน (มาอยู่ยุโรปทำให้เราอินกับการดื่มชามาก เพราะมันมีหลายยี่ห้อ น่าลองไปหมด) และโชคดีที่ไม่ได้ซื้ออะไรเยอะ เพราะพึ่งจะรู้ว่าที่นี่เขาไม่ใช้ถุงพลาสติกกันจ้า (แต่มีขายนะ และคุณภาพก็ดีด้วย) สุดท้ายได้ยัดทุกอย่างใส่ถุงผ้าใบน้อยของตัวเอง และต้องเดินกลับโรงแรมอีก 

    ไหล่แทบหลุด...

    เรามาถึง Nice เป็นช่วงเข้าฤดูร้อน อากาศกำลังเย็นสบาย แต่ตอนกลางวันแดดก็แรงไม่แพ้ไทยแลนด์ เป็นเมืองตากอากาศ บรรยากาศชิลๆ แต่ทุกคนขับรถเร็วเหมือนรีบไปต... ไหนกันวะ... นั่นแหละ ถึงแม้ถนนในเมืองจะไม่ได้ใหญ่มากเท่ามิตรภาพบ้านเราแต่ความเร็วและความแรงของฝีปากชาวฝรั่งเศสก็ไม่แพ้กันเลยแม้แต่น้อย
  • รีวิวที่พัก

    "รกไปหน่อย"

    เราได้อยู่ห้องที่ไม่ใหญ่มาก มีห้องน้ำส่วนตัว มีเครื่องทำความร้อน มี Wifi ไม่มีแอร์ แต่มีพัดลมตั้งโต๊ะให้ (อากาศไม่ร้อน เราอยู่ได้... เชื่อดิ ขนาดไปซัมเมอร์...) กลางวันถ้าต้องนอนอืดในห้องอาจจะร้อนหน่อย เราเลยชอบแอบมานั่งเป็นแขกของโรงแรมที่แผนกต้อนรับ แอร์มันฉ่ำ...

    ไม่มีตู้เย็น! (เวลาอยากทำอาหารคือต้องกินให้หมด เก็บไม่ได้ หรือจะใช้ตู้เย็นโรงแรมก็ได้ แต่!! เราต้องคุยกับเชฟก่อนนะ เขาเหมือนเจ้าของครัวเวลาจะทำไรก็บอกเขาก่อน) เราโชคดีที่เพื่อนคนไทยที่อยู่มาก่อนไม่รู้เขาเอาหม้อสุกี้กับกาต้มน้ำมาจากไหน เราเลยได้ใช้ด้วยก็ถือว่าโชคดีไป เวลาหิวกลางดึกต้มมาม่ากินได้เลย ภายในห้องมีหน้าต่างบานใหญ่หนึ่งบาน พอได้ส่องลงไปจะเห็นถนนข้างโรงแรม ช่วงเลิกงานแอบวุ่นวายเพราะเสียงรถเบาๆ นอกจากนั้นก็มี ตู้เสื้อผ้า ชั้นเก็บของ

    "มุมจิบน้ำมาม่า"

    ห้องที่เราพักจะอยู่ในโรงแรมเลยในส่วนของพนักงาน และอยู่ติดกับห้องทำงานของหัวหน้า ซึ่งเวลาเลิกงานของเรา 14:30 แต่หัวหน้าชอบนั่งทำงานในห้องจนถึงห้าหกโมง บางทีอาจจะต้องเงียบๆ หน่อย เราเคยเปิดคอนเสิร์ตในห้องจนโดนดุเบาๆ...

    อีกอย่างคือเราสามารถใช้ซักรีดของโรงแรมได้ฟรี!! แต่ต้องเป็นชุดใส่ทำงานเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าอื่นๆ เราต้องไปซักเองที่ร้านข้างนอก เราซักอาทิตย์ละครั้ง ครั้งหนึ่งอย่างต่ำ 8 ยูโร ราคาแอบแพง เราต้องอบแห้งด้วย เพราะห้องเราไม่มีระเบียง เวลาอบแห้งมาแต่ยังไม่แห้งสนิท เราก็ต้องเอามาพักหน้าตู้เสื้อผ้าแปบนึงก่อน

    ส่วนผ้าปูที่นอน ถุงขยะ เราสามารถไปหยิบของโรงแรมที่เขาไว้ใช้กับแขกได้เลย แต่ต้องแจ้งก่อนด้วยนะ ไม่งั้นอาจจะโดนดุนะจ้ะ

    สรุป

    ขั้นแรก

    - ติดต่อทาง Ieo รับคำแนะนำ คำปรึกษา (อยากรู้อะไรก็ถามไปเลย ไม่งั้นเราจะไปกังวลเองนะ)

    - ส่งเรซูเม่ (ทางเจ้นจะมีฟอร์มให้)

    - รอสัมภาษณ์ (ของเราสัมกับเจ้าของโครงการ)

    - ระหว่างรอเซ็นสัญญางาน ใครยังไม่มี Passport ก็ไปทำรอได้เลย

    - ซื้อตั๋วเครื่องบิน (เราซื้อตั๋วไป-กลับบนแอพเอง ไม่ได้ผ่านเจ้น)

    - ทำวีซ่า (วิธีกรอกข้อมูลต่างๆ มีให้ดูใน YouTube เยอะแยะเต็มไปหมด)

    ขั้นสอง

    - ซื้อของจำเป็น เสื้อผ้า ยา เครื่องสำอาง (บลาๆ) แนะนำว่าใครมีโรคประจำตัว ก็ให้เตรียมยาไปเยอะๆ เลย ไม่ว่าจะยาแก้ปวด แก้ท้องเสีย แก้เมาเครื่องบิน... เตรียมไปเลยย!

    - ซื้อกระเป๋าเดินทาง (ขนาดกระเป๋าแนะนำว่าให้ไปดูด้วยตาตัวเอง ลองเลือกที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง ไม่ใหญ่หรือเล็กไป เพราะถ้าใครต้องเดินทางไปโรงแรมเองอาจจะลำบาก แต่ถ้าได้มาเมือง Nice เหมือนเรา ชิลได้เลยค่ะ มีรถรางวิ่งไปทั่วเมือง)

    ขั้นสาม

    - เตรียมบิน (เช็คดูตั๋วเครื่องบินที่ปริ้นท์จากคอม Passport เอามาด้วยมั้ย ? เราถือใบที่เซ็นสัญญากับโรงแรมติดกระเป๋าถือขึ้นเครื่องไปด้วย เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินใดๆ)

    - เช็คอิน โหลดกระเป๋า

    บินนนนนนนนนนนนนน!

    คำแนะนำ

    "ถ้าเรามีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการฝึกงานให้ถามเจ้นเลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่"

    "บางครั้งถ้าต้องพึ่งตัวเอง Google ช่วยเราได้เสมอ (5555) ไม่ว่าจะวิธีการจองตั๋วเครื่องบิน การทำวีซ่า หรือแม้แต่สำรวจสนามบินที่จะไปเปลี่ยนเครื่อง สิ่งของจำเป็นก่อนบินไปต่างประเทศ มีคนแนะนำเราไว้เยอะมากๆ"

    "เตรียมเงินติดตัวไปสัก 20,000 อาจจะแบ่งติดตัวกับในบัญชีแบบครึ่งๆ ก็ได้"

    "เปิดบัญชีไทยไว้กดเงินหรือโอนเงินให้ดูว่ามีคำว่า Visa มั้ย (ใช้เพื่อกดตู้ที่ต่างประเทศ และที่ฝรั่งเศสไม่ใช่ทุกตู้จะกดได้นะ ถามพนักงานก่อนจะกดด้วย ไม่งั้นโดนกินบัตรไม่รู้ด้วย ทุกครั้งที่กดจะมีค่าธรรมเนียมสำหรับบัญชีต่างประเทศ ของเรา 100 บาท)"

    "ซื้อซิมส์ไว้ใช้เน็ตระหว่างการเดินทาง ลองไปสืบดูแต่ละเครือข่าย อันนี้เราว่าจำเป็นมากนอกจากใช้ติดต่อ และแก้เบื่อแล้ว เราได้ดูเวลาหรือเกทขึ้นเครื่องได้ บางครั้งไปรอดูที่สนามบินมันอัพเดทช้ากว่าในแอพ มันจะยิ่งทำให้เสียเวลาตอนต่อเครื่อง"

    "ตอนซื้อตั๋วเครื่องบิน ถ้าใครไม่ได้อยู่กรุงเทพหรือบ้านห่างไกลจากสนามบิน ดูวันเวลาดีๆ นะ (อย่าบ้งเหมือนเรา) เช่น ถ้าเครื่องที่จะขึ้นอยู่สุวรรณภูมิจะบินวันที่ 2/10/19 เวลาเที่ยงคืน เราจะต้องไปถึงสุวรรณภูมิในวันที่ 1/10/19 นะ และทุกครั้งที่ขึ้นหรือต่อเครื่องเผื่อเวลาดีๆ อย่างต่ำ 3 ชั่วโมง นี่ระยะปลอดภัย เพราะเวลาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินต่างประเทศ เราไม่รู้ทางนะเว้ย แต่ไม่ยาก บอกแล้วไม่มีอะไรเกินความสามารถ! ดูป้าย Transfer ไป แต่ถ้าบ้งจริง ถาม! ใครสักคน พนักงานในสนามบินหรือคนที่บินมากับเรานั่นแหล่ะ)"

    "อยู่ไกลไปเกือบหมื่นไมล์ คนที่จะให้คำปรึกษาเราได้ดีกว่าเจ้นคือ เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า มีไรสงสัย หรือขอความช่วยเหลือใดๆ บอกเขาได้เลย ไม่ต้องกลัว เขาพร้อมช่วยเราอยู่แล้ว"

    พูดภาษาฝรั่งเศสไม่เก่ง ทำไง? 

    "ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ก็เอาตัวรอดได้เด้อออ... แต่ไปถึงที่แล้วก็ลอง Bonjour! ไม่ก็ทักทายแบบแก้มชนแก้มหน่อยก็ไม่เลว (คิ้กค้าก)"

    "ไปถึงที่แล้วอย่าเสียเวลานอนอืดอยู่ในห้อง ออกไปเที่ยว ออกไปรับแดดข้างนอกด้วย ใช้ชีวิตให้เต็มที่ อยากลองทำอะไรลองเลย ถ้าา! มันไม่ส่งผลเสียหรือเป็นอันตรายกับตัวเอง"


    สิ่งที่เรามาเล่าให้ฟังมันแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เวลาที่เราไปเจอกับมันจริงๆ มันมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมาก แต่เราจะผ่านมันไปได้แน่นอน ไม่มีอะไรยากหรอก

    "สถานที่อันสวยงามบนระดับน้ำทะเล"

  • ส่งท้าย


    "สำหรับใครที่มีโอกาสจากพ่อแม่หรือมีทุนที่จะมา เราแนะนำให้มานะ..."


    มันได้อะไรมากกว่าที่คิดมากๆ เราได้เรียนรู้การทำงานในโรงแรมเสมือนเป็นพนักงานของเขาจริงๆ และเขาก็ทรีทเราดีมากๆ ก่อนมาเราค่อนข้างเป็นคนไม่เข้าสังคม ติดบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน แล้วก็... แอบกลัวที่จะเจอคนใหม่ๆ ด้วยซ้ำ แต่มาถึงนี่เราได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำที่ไทยมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นไปเต้นที่คลับกับคนแปลกหน้า ไปอาบแดดแบบชิลๆ โดยไม่อายใครทั้งสิ้น วางแผนเที่ยวด้วยตัวเอง เตรียมของกินไปนั่งชิลที่สวนสาธารณะในวันหยุด ไป Hang out หลังเลิกงานกับเพื่อน ได้ฝึกใช้ชีวิตที่ต้องจัดการอะไรเองทุกอย่าง ได้ออกไปเดทครั้งแรก... และที่สำคัญเราได้เจอผู้คนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแขกที่โรงแรมหรือเพื่อนร่วมงาน

    แขกที่เราได้เจอทุกวันมาจากหลายประเทศทั่วโลกเลย เราได้เรียนภาษาสเปนกับแขกรุ่นคุณย่า ได้ช่วยต้มมาม่าให้คนเกาหลี ซ่อมเครื่องทำแพนเค้กครั้งแรก ได้ทิปจากแขกที่เราไปช่วยไล่นกให้ ได้รับคำชมจากแขกแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเขาเขียนโน๊ตชมเราแล้วฝากไว้ที่หัวหน้า แล้วยังเดินมาบอกเราด้วยตัวเองอีก

    ส่วนเพื่อนร่วมงาน... เราเคยกังวลว่าเขาจะใจดีกับเรามั้ยนะ ? เราจะเข้ากับเขาได้มั้ย ? สุดท้ายเราก็ได้รับมิตรภาพที่ดีมากๆ ถึงแม้ตอนทำงานจะแอบซีเรียสกันบ้าง แต่หลังเลิกงานคือทุุกคนเฮฮาสุดอะไรสุด...

    "ปีแอร์" หัวหน้า F&B ที่คอยดูแลเราเป็นส่วนมาก คอยสอนงานให้เราตลอด ให้เราได้ลองทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสิร์ฟมือเดียว วิธียิ้ม วิธีคุยกับแขก หรือแม้กระทั่งการชงเครื่องดื่ม และคอยดูแลเรื่องอื่นๆ ระหว่างฝึกงานของเรา และตอนกลับนางก็แอบเอาของมาให้เป็นที่ระลึกอีกด้วย (ตอนกลับแอบมีน้ำตาคลอ)

    "ชาร์ล" หัวหน้าใหญ่ของ F&B อีกทีนึง เราได้เจอชาร์ลไม่บ่อยนัก เพราะมาถึงช่วงที่นางกำลังจะไปพักร้อนพอดี แต่ชาร์ลคอยให้คำแนะนำ และให้เรามีบทบาทในห้องอาหารเสมอ

    "แตแคส & ฟาติล่า" คุณป้าของครัว แอบดุนะ แต่ก็ใจดีเหมือนกัน ตอนแรกที่มาถึงเราไม่ค่อยอยากไปใกล้ป้าเลย เพราะกลัวโดนดุ แต่กลายเป็นว่าเราสนิทกับป้าๆ มากกกก ก่อนกลับแอบมีของขวัญให้เรา พร้อมการ์ดด้วยนะ (อันนี้ร้องไห้เลย)

    "เชฟ & โอลิเว่ & บ๊อบ" พ่อครัวของห้องอาหารของเรา สามคนนี้เถียงกันทั้งวัน เสียงดังสุดในครัว แต่ใจดีมากๆ 

    เชฟ คอย (สั่งให้บ๊อบ) ทำอาหารจากเมนูของโรงแรมให้กินบ่อยๆ เลี้ยงเบียร์จากบาร์ของโรงแรม (ซึ่งแพงกว่าร้านซูเปอร์สามเท่า...) และก็คอยเป็นกระบอกเสียงให้เราทุกเรื่อง (5555) 

    โอลิเว่ พ่อหมีอีกคนของครัว คอยเตรียมอาหารให้พนักงาน ซึ่งใจดีมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แบบมากกกกกกกกกกก น่ารักสุดๆ คนนี้ ชอบมาถามเราว่า "เที่ยงนี้จะกินอะไรดี" ให้เราเป็นคนเลือกเมนูด้วยนะ แต่ขี้ฟ้องมาก (5555 ชอบฟ้องเชฟว่าเราแอบกินขนม) 

    บ๊อบ อันนี้ก็ใจดีอี๊กกกก นางไว้เคราดูน่ากลัวแต่ใจโคตรหมี นี่ก็ชอบแอบไปเอาขนมกับไอศรีมของโรงแรมมาให้เรากิน เวลาเราทำงานเราเลยรู้สึกเหมือนมีพ่อสามคนคอยดูแลอยู่ตลอด (555555)

    "ระหว่างรอเพื่อนลองชุด"
    และอีกหลายๆ คน บางคนเราก็จำชื่อไม่ได้ เพราะทุกคนเวียนทำงานไปมาใหม่ทุกวัน แต่เราก็ได้รับมิตรภาพที่ดีมากจริงๆ นอกจากแผนก F&B แล้ว ไม่ว่าจะ Front หรือ House พวกเขาก็ใจดีกับเรามาก


    ถึงแม้จะอยู่แค่ 3 เดือน เราก็สามารถเรียกที่แห่งนี้ว่า "บ้าน" ได้เลย 

  • S i n c è r e s

    R e m e r c i e m e n t s


    ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะ... เมื่อก่อนเราก็หาอ่านรีวิวเหมือนกัน เลยเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากเขียนแชร์ประสบการณ์บ้าง เราไม่มั่นใจนะว่าแต่ละที่จะเหมือนกันมั้ย ไม่รู้ว่าทุกคนจะได้ไปเจอเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานแบบไหน เราก็หวังว่าทุกคนจะได้พบกับเรื่องราวดีๆ และผู้คนที่ดีเหมือนกับเรา และเรายังหวังอีกว่าสิ่งที่เราแชร์มาทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนด้วยเช่นกัน


     และสุดท้าย... 


    "มันเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขและสนุกกับชีวิตเอามากๆ 
    ทุกอย่างดูสวยหรู แต่อย่าลืมนะ... เมื่อมีขาวก็ต้องมีดำเสมอ"



    ...

    แต่ไม่ท้ายสุด


    "ถ้าทุกอย่างดีขึ้นเราจะได้กลับไปร่วมโครงการอีกครั้ง รอบนี้เราเลือกระยะเวลา 6 เดือน และเราตั้งใจไว้ว่าอาจจะทำเป็น Vlog ให้ทุกคนได้ดูด้วยนะ"


    "พ่อค้าแซ่บ"



    ไว้เจอกันนะ ;)

    À   b i e n t ô t !




    ...
    สามารถเข้าไปดูรูปภาพ และ Story เล็กๆ ของเราได้ที่ Instagram │ abchat97
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
cherrypopcorn1 (@cherrypopcorn1)
แง น่าสนใจมากเลยค่ะ อยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อยังไงได้บ้างคะ