เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรียนภาษาจีนฟรี 1 ปีกับทุนขงจื่อWannavatakul Mint
ขั้นตอนการขอทุนขงจื่อ
  • อธิบายก่อนว่าทุนสำหรับไปเรียนที่จีนมันมีหลายทุนมาก เท่าที่เรารู้ก็จะตามด้านล่างนี้ 

    1. ทุนรัฐบาลจีน (CSC) อันนี่้สำหรับไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก เลือกสาขาอะไรก็ได้ 

    2. ทุนขงจื่อ (CIS) อันนี้สำหรับเรียนปริญญาตรี โท และเรียนภาษา 1 ปี โดยสาขาที่จะเรียนได้สำรับปริญญาตรี โท คือสาขาภาษาจีนเท่านั้น เลือกสาขาอื่นไม่ได้

    3. ทุนมณฑล เช่น ทุนมณฑลเซี่ยงไฮ้ ก็จะเรียนได้แต่มหาลัยในเซี่ยงไฮ้

    4. ทุนสมาคม อันนี้เราไม่รู้รายละเอียดเท่าไหร่ รู้แค่ว่าเป็นสมาคมให้ทุนเราไปเรียน 

    5. ทุน One Belt One Road อันนี้ไม่รู้รายละเอียดจริงๆ แต่เคยได้ยินมา ใครสนใจไปลองหาข้อมูลได้ 


    ที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เราจะพูดถึงเฉพาะทุนเรียนภาษา 1 ปีเท่านั้น เพราะเราขอทุนอันนี้ (ข้อมูลอัปเดทเมื่อมีนาคม 2020) 


    ทุนขงจื่อหรือ Confucius Scholarship จะไม่เหมือนกับเวลาที่เราขอทุน Chevening หรือ Fullbright อย่าง Chevening เราต้องสมัครมหาลัยก่อน ให้ได้ Conditional Offer ก่อน ถึงจะสมัครทุนได้ ส่วน Fullbright ต้องติดทุนก่อน แล้วค่อยไปสมัครมหาลัย แต่ของขงจื่อ เราสมัครทุนไปเลยและเลือกมหาลัยไปในเวลาเดียวกันเลยทีเดียว พอเขาประกาศผลก็คือได้เรียนแล้ว อาจจะได้ตามที่เลือกหรือเขาจัดสรรมาให้ แล้วแต่คะแนน โปรไฟล์ และดวง


    อธิบายเกี่ยวกับทุน 1 ปีก่อนว่าทุนนี้ เราจะไปเรียนภาษาที่จีนเป็นเวลา  1 ปี ทุนจะออกค่าเรียน ค่าอยู่ ค่ากินให้เรา ก็คือเรียนฟรี อยู่ฟรี มีเงินใช้ในชีวิตประจำวัน **ค่าทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน ออกเอง** ตอนสมัครเราสามารถเลือกได้ 2 มหาลัย และทุน 1 ปีมี 3 โปรแกรมย่อย แต่ละโปรแกรมคะแนนที่ทุนต้องการจะแตกต่างกัน 


    โปรแกรมย่อยที่ 1 ทุนขอ HSK 4 210 คะแนน และต้องมี HSKK ให้ทางทุนด้วย (ไม่ระบุเลเวล)  

    โปรแกรมย่อยที่ 2 ทุนขอ HSK 4 270 คะแนน และต้องมี HSKK เลเวลกลาง 

    โปรแกรมย่อยที่ 3 ทุนขอ HSK 3 210 คะแนน ถ้ามี HSKK จะพิจารณาเป็นพิเศษ 


    ซึ่งเรานั้นสมัครโปรแกรมย่อยที่ 3  55555 เพราะเค้าเอาคะแนนต่ำสุดเลย ส่วนแต่ละโปรแกรมนั้นต่างกันยังไง คำตอบคือ ไม่เคยมีใครมาบอกว่าเรียนต่างกันยังไง เดี๋ยวขอไปเรียนก่อนแล้วจะกลับมาเล่า เผื่อเจอเพื่อนที่ขอจากโปรแกรมย่อย 1 เดี๋ยวไปถามเพื่อนในอนาคตให้ว่าเค้าเรียนต่างกับเรายังไง แต่ที่ต่างแน่ๆ คือแต่ละมหาลัยรับโปรแกรมย่อยไม่เหมือนกัน บางมหาลัย เช่น Zhejiang University มหาลัยอันดับ 3 ของจีนมีแค่โปรแกรมย่อยที่ 2 ดังนั้น สมมติเราอยากไปเรียนที่มหาลัยดังกล่าว เราก็ต้องทำคะแนนให้ถึง requirement ของโปรแกรมย่อยที่ 2 

  • มาถึงเอกสารที่ต้องเตรียม 

    1. อย่างแรกเลยคือคะแนน HSK กับ HSKK (ต่อให้เขาไม่ขอก็เตรียมไปเถอะ มันทำให้เค้าสนใจเรามากขึ้น) เราเตรียมแค่ HSK 4 กับ HSKK Elementary Level เพราะคิดว่าพอ ตอนท้ายๆ ก็มารีบเร่งลงสอบเลเวลกลาง ปรากฎโดนแคนเซิลสอบเพราะติดโควิด-19 สุดท้ายก็ยื่นไปเท่าที่มีอะแหละ HSK 4 - 281/300 pts. HSKK Elem - 81/100 


    คำแนะนำจากเราคือควรเตรียมสอบแต่เนิ่นๆ นะ เพราะพอโดนแคนเซิลสอบไป ก็ไม่ได้สอบอีกเลย ละก็การสอบ HSK, HSKK มี 2 แบบ แบบกระดาษกับแบบออนไลน์ เราสอบ HSK แบบกระดาษที่อัสสัมชัญพาณิชยการตรงสาทร หลังโรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ เราว่าสนามสอบนี้ดี นั่งไม่แออัด สอบห้องแอร์ ในห้องสอบมีนาฬิกาใหญ่ๆ ส่วน HSKK เราสอบแบบออนไลน์ที่ไอคอนไชนีส ตรงแพลทฟอร์มวงเวียนใหญ่ นั่งเบียดกันมาก ตอนพูดก็ตะโกนกันไปดิ แต่ถ้าไม่สอบแบบออนไลน์ ตอนสอบ HSKK แบบกระดาษเขาก็จะให้เครื่องอัดเสียงมา เราว่าแบบออนไลน์ดีกว่าสำหรับ HSKK และผลสอบแบบออนไลน์จะออกเร็วกว่าแบบกระดาษนะ  


    2. Study Plan ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน เรียนจบที่ไหน ทำงานอะไร และ key point ของ Study Plan คือทำไมอยากไปเรียน ไปเรียนแล้วจะกลับมาทำอะไร หนึ่ง สอง สาม สี่  

    เอกสารนี้คือสิ่งที่เตรียมได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และควรหาเพื่อนที่รู้ภาษาจีนช่วยแก้ให้ นึกภาพเราสมัครมหาลัยที่อังกฤษหรือเมกาแต่เขียนจดหมายแนะนำตัวผิดแกรมม่าอะ แบบนี้มหาลัยคงไม่รับเนอะ เราก็โชคดีที่เพื่อนเราเรียนเอกจีน แถมมีรุ่นพี่เคยเป็นนักเรียนทุนนี้กับทุนรัฐบาลจีน (csc) มาก่อน ก็ถามพวกเขาได้เยอะเลย 


    3. จดหมายรับรองจากสถาบันขงจื่อ ฟังเหมือนเป็นเอกสารสุดท้าย เปล่าเลย บอกเลยว่าอีกเยอะ เพราะแต่ละสถาบันขงจื่อมีเงื่อนไขการออกใบรับรองไม่เหมือนกัน ในที่นี้จะพูดถึงสถาบันขงจื่อที่จุฬาฯ ตั้งอยู่ที่ห้องสมุดอักษร จุฬาฯ ชั้น 3 ตึกเทวาลัยอะ สถาบันขงจื่อ จุฬาฯ จะมีเงื่อนไขในการออกใบรับรองอยู่ประมาณว่า ต้องเป็นนิสิตจุฬา จะจบไปแล้วหรือนิสิตปัจจุบันก็ได้ หรือต้องเคยเข้าอบรมกับทางสถาบัน (ปกติสถาบันจะมีจัดคอร์สภาษาจีนฟรีช่วงมหาลัยปิดเทอม) อะไรทำนองนี้ ซึ่งเขาจะประกาศในเฟซบุคเค้าตั้งแต่ประมาณตุลาเลย และจะเปิดให้เรายื่นคำร้องขอใบรับรองช่วงมีนาของทุกปี โดยในการยื่นคำร้องขอให้เขาออกใบรับรองให้ เราจะต้องเตรียม 


    3.1 จดหมายแนะนำตัวเอง แค่เขียนแนะนำตัวเองสั้นๆ ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เรียนจบจากคณะอะไร ปัจจุบันทำงานอะไร 


    3.2 Study Plan ใบนี้ไม่ต้องแนะนำตัว แค่บอกว่าทำไมเราอยากไปเรียน ถ้าได้ทุนเราจะทำอะไรต่อ (ก็ต้องตั้งใจเรียนไง ทุกคนก็เขียนงี้หมดอะแหละ 5555) กลับมาจะเอาความรู้มาทำอะไร 


    3.3 Recommendations Letter จากอาจารย์ 2 คน โดยคนนึงต้องเป็นอาจารย์สอนภาษาจีน  


    โอเค อาจารย์คนไทยหาไม่ยาก มีเยอะแยะที่เรียนจบมา สุดท้ายเราให้อาจารย์ที่ปรึกษาเขียน และอยากฝากทริคนิดนึงว่าให้ติดต่ออาจารย์แต่เนิ่นๆ และตอนที่ไปคุยกับอาจารย์ เรียบเรียงความคิดในหัวไปด้วยว่าทำไมอยากเรียน เรียนแล้วจะเอามาทำอะไร เพราะเราเคยโดนอาจารย์บางท่านตีตกกลับมาว่าทำงานไป ดีแล้วนะนิสิต ซึ่งก็ไม่แปลก ตอนนั้นเราไม่หนักแน่นพอ 


    ทีนี้จะเหลือ Recommendation Letter อีกใบที่ยากคืออาจารย์สอนภาษาจีน จะเป็นอาจารย์คนไทยก็ได้นะ ขอแค่เขาสอนภาษาจีน แต่ว่าอาจารย์คนไทยที่เรารู้จักเป็นแค่อาจารย์สอนคอร์สบุคคลภายนอกของอักษร ฬ เค้าไม่มีตัวปั๊มคณะ สุดท้าย ปรากฎว่าเราเรียนจีนคอร์สบุคคลภายนอกถึงจีนขั้นสูง ได้เจอกับอาจารย์คนจีน เลยให้เขาช่วยเขียน Recommendations Letter ให้ เพราะเขาก็เป็นอาจารย์ประจำของคณะอักษรฯ ฬ เช่นกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีตัวปั๊มอยู่ดี ไมมีหัวจดหมายคณะอักษรใดๆ อาจจะเพราะตอนนั้นติดโควิด-19 ด้วย มหาลัยปิด แต่สุดท้าย สถาบันขงจื่อ ฬ ก็ออกจดหมายให้เรานะ 


    3.4 ทรานสคริปท์ 

    3.5 ใบจบ สำหรับคนที่เรียนจบแล้ว 

     

    เตรียม 3.1 - 3.5 ครบปุ๊บ เดือนมีนาก็ส่งเมลไปหาสถาบันขงจื่อ ฬ เค้ามีเขียนเมลบอกไว้ในโพสต์เค้าในเฟซบุค แล้วอีกไม่เกิน 1 อาทิตย์ อาจารย์ก็จะให้เข้าไปเอา แต่ตอนของเราก็ติดโควิด-19 มหาลัยปิด อาจารย์เลยส่งอีเมลมาแทน 

     

    หลังจากนั้นเราก็เข้าไปกรอกข้อมูลในเว็บ cis.chinese.cn ก็จะกรอกพวกข้อมูลส่วนตัว เรียนจีนมากี่ปี และเลือก 2 มหาลัย ข้อควรระวังคือมันจะมีช่องนึงถามว่า เราโอเคมั้ยถ้าทางทุนเลือกมหาลัยให้ ถึงเราจะไม่โอเคแต่ก็ติ๊กถูกไปเถอะค่ะ เพราะถ้าเราไม่ติ๊กถูกมันจะแปลว่าถ้าเราไม่ได้มหาลัยที่  1 เราจะไม่ได้ทุนเลย เขาจะไม่ส่งไปให้มหาลัยที่ 2 พิจารณาด้วย และอีกข้อนึงที่ทุกคนจะเจอปัญหา คือเขาจะให้กรอก contact person ในจีน ตรงนี้กรอกใครก็ได้นะ ขอแค่เป็นคนจีนก็พอ เราก็กรอกชื่อเพื่อนเราไป เคยอ่านเจอในเฟซบุ๊คกรุ๊ปทุนขงจื่อ บางคนไม่รู้จักใครในจีนเลย เขาก็กรอกชื่ออาจารย์ประจำสถาบันขงจื่อของมหาลัยที่เขาสมัครไปแทน เราก็กรอกจนถึงขั้นสุดท้าย ระบบจะให้อัปโหลดเอกสาร เราก็ต้องอัปโหลดเอกสารทั้งหมดขึ้นไปในเว็บ แล้วกด Submit ส่งใบสมัคร ใบสมัครก็จะวิ่งไปหาสถาบันจื่อที่เราไปขอให้เขาออกใบรับรอง ทางสถาบันก็จะตรวจเช็คข้อมูล ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด สถาบันขงจื่อก็จะกดส่งต่อไปให้มหาลัยแรกที่เราเลือก แล้วก็รอมหาลัยพิจารณา ของเราตอนนั้นรอไม่นาน มหาลัยก็ accept เลย และนี่คือสัญญาณดีแล้ว เพราะมหาลัยรับเราเข้าไปเรียนแล้วว ก็เหลือรอแค่ให้ทุนรับเรา บางคนคงจะสงสัยอ่าเนอะว่าถ้าสุดท้ายทุนไม่รับเรา เราจ่ายเองได้มั้ย คำตอบคือไม่ได้จ้า ถ้าอยากเรียนจริงๆ ก็ต้องไปสมัครใหม่กับทางมหาลัยนะจ้ะ 

     
    หลังจากนั้นก็คือ รอ รอ รอ รอ รอจนลืม รอจนทำใจได้ว่าเออ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเนอะ ส่วนใหญ่ผลทุนจะออก 1 เดือนหลังปิดรับสมัคร ซึ่งของปีเราเขายืดระยะเวลาสมัครออกไป ก็รอนานกว่าเดิมอีก คือรอตั้งแต่กลางเดือนเมษา เพิ่งรู้ผล 30/7 ยาวนานมาก และ  30/7 บางคนก็ยังไม่รู้ผลนะ ทางขงจื่อที่จีนก็บอกว่าจะประกาศผลเสร็จประมาณช่วงสิงหาเลย ก็รอ รอ ยาวๆ ไป ระหว่างรอก็เตรียมแผนสำรองกันไว้ด้วยก็ดี 


    ก็จบแล้ว วิธีขอทุน หลังจากได้ทุน ก็รอมหาลัยส่งใบตอบรับเข้ามหาลัยกับเอกสารทำวีซ่ามาให้ 

  • ทีนี้จะเห็นว่าจุดที่ยากคือจะไปหาสถาบันขงจื่อที่ไหน ความโชคดีคือเราเป็นนิสิตเก่าจุฬา เลยขอจดหมายแนะนำตัวจากสถาบันขงจื่อที่จุฬาฯ สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันขงจื่อ จุฬาฯ


    ทีนี้ถ้าสมมติว่าไม่ได้เป็นนิสิตจุฬาแล้วอยากขอทุนนี้ ก็คงต้องหาสถาบันขงจื่ออื่นให้เขียนใบรับรองให้ จะมีห้องเรียนขงจื่อสวนกุหลาบที่เขียนใบรับรองให้บุคคลภายนอก แต่ก็ต้องสอบสัมภาษณ์ สอบข้อเขียน จ่ายค่าสอบด้วยนะ  1500 บาท ซึ่งถ้าตรงนี้ไม่ผ่าน เค้าจะคืนให้ 1000 นึง แต่ถ้าผ่าน เค้าก็เอาไปเลย พอผ่านแล้วก็ต้องไปอบรมอีก ห้ามขาดอบรมเกินจำนวนครั้งที่กำหนดด้วย ซึ่งการอบรมก็คือเค้าจะสอนวิธีเขียน Study Plan วิธีกรอกข้อมูลในเว็บ แล้วก็เชิญศิษย์เก่าของเขามาให้คำแนะนำการไปเรียนต่อ ถ้าสุดท้ายเราประพฤติตัวดี ไปอบรมตามกำหนด ขาดไม่เกินกำหนด เขาก็จะเขียนจดหมายรับรองให้เรา และเราต้องจ่ายมัดจำอีกประมาณ 20,000 กว่าบาทให้เขาด้วยว่าเราจะไม่เทเขา ถ้าสุดท้ายได้ทุน เค้าคืนให้ประมาณครึ่งนึง ถ้าสุดท้ายไม่ได้ทุนเขาถึงจะคืนให้ทั้งหมด แต่สุดท้ายเราก็บอกไม่ได้ขอจดหมายแนะนำตัวจากสถาบันขงจื่อนี้ เพราะมีความเห็นเรื่องมหาลัยไม่ตรงกันเราบอกเค้าว่าเราอยากได้ 北大 กับ 浙大 แต่เค้าบอกเราว่าไปเรียนแค่ภาษา เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน เราไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้นะ เพราะเราก็อยากรู้จักคน รู้จักเครือข่ายศิษย์เก่าด้วย สุดท้ายก็เลยแยกกันไป


    วิธีเลือกมหาลัย 

    ขงจื่อจะมีลิสต์มหาลัยออกมาทุกปีว่ามีมหาลัยไหนรับทุนไหนบ้าง ซึ่งมันจะอยู่ในเว็บ ที่จะเจอส่วนใหญ่ก็คือมหาลัยที่เป้น 师范 มหาลัยประเภทนี้จะเป็นมหาลัยครู 


    เราก็ไปปรึกษาเพื่อนเราที่ไปอยู่จีนมานาน ตอนแรกเราจะเลือกมหาลัยที่เซี่ยเหมิน เพราะอี๊เราเคยไปเรียนเมืองนั้น แต่พอคุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่ามันก็จะต่างจังหวัดหน่อยนะ โอเคหรอ ทีนี้เลย aim high เลย ตั้งเป้าว่าจะไป 北大 Peking University เพื่อนคนเดิมและอีกคนก็บอกเลยว่า เหย เครียดมากนะ เรียนหนักมาก ก็เลยมานั่งคิดๆ เออ จริงๆ คือเราอยากเรียนด้วยความสนุก และได้ใช้ชีวิต ไม่ได้อยากขลุกตัวในห้องสมุดทั้งวัน เพราะเราก็ไปแค่ปีเดียว สุดท้ายเลยมาลงเอยที่อันดับหนึ่ง 同济大学 Tongji U ในเซี่ยงไฮ้ อันดับ 2 北京语言大学 ในปักกิ่ง (มารู้ทีหลังว่าคนไทยเยอะมาก ก็ลองพิจารณากันดู) และรุ่นพี่เคยเตือนเราว่าตอนเลือกมหาลัยดูเรื่องหอด้วย หอบางที่คือไม่โอเคเลย ประจวบเหมาะกับที่เพจ Dekshanghai ทำคอนเทนท์แนะนำ Tongji เราเห็นหอแล้ว เอออ โอเค ห้องนึงนอน 2 คน (หวังว่าของจริงก็จะเป็นแบบนี้) บวกกับซากุระสวย โอเค เลือกที่นี่แหละ ได้ไม่ได้ช่างมันละ และพอตอนนี้ได้แล้วก็คิดไม่ผิดนะ เพิ่งดูจาก Commercial Video ของมหาลัย ตึกสวยมากกกกก แต่สวยแค่ไหนชั้นก็ยังติดอยู่ในไทย เพราะจีนยังไม่ให้นักเรียนจากทุกชาติเข้าประเทศ ยกเว้นเด็กเกาหลี

  • ก่อนจบพาร์ทนี้ เราขอแนะนำว่าถ้าอยากได้ทุนจริงๆ ให้เข้าไป join Facebook Group : CIS Scholarship ในนั้นมีคนมารีวิวเต็มเลย เข้าไปแล้วเสิร์ชหาได้ หรือถ้ามีคำถามใดๆ ก็ตั้งโพสต์ถามได้ ยิ่งคำถามแนวๆ คะแนนเท่านี้จะติดทุนมั้ย จะบอกว่าทุกรอบที่มีการประกาศผลทุน ในกลุ่มเค้าจะมาแชร์คะแนนกันเพื่อเป็นข้อมูลให้รุ่นถัดไปเตรียมตัว


    สุดท้ายแล้วจริงๆ ถ้าอยากจะขอทุนจริงๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ให้เริ่มที่ตัวเราก่อน (ไม่ได้กวนตีน) 


    1. เตรียม HSK, HSKK ก่อน คะแนนสอบเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ด้วยตัวเองมากที่สุด  


    2. Study Plan บอกเลยว่าคะแนนเราไม่ได้สูงเลย ในคลาสมีทั้งคนที่ผ่าน HSKK กลางแล้ว ผ่าน HSK 5,6 กันแล้ว แต่เราผ่านแค่ HSK 4, HSKK ต้น แต่ก็ได้เข้าไป เราคิดว่าส่วนนึงมาจาก study plan และประวัติการทำงานเรา เราเคยทำงานบริษัทในจีน 1 ปี บริษัทที่เป็น MNC (มีสาขาทั่วโลก) อีก 1 ปี เราคิดว่าส่วนนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้เราได้มากเลย ถ้าใครคิดว่าอนาคตอยากจะขอทุน และตอนนี้หางานอยู่ ถ้าเป็นไปได้ การทำงานในบริษัทจีนหรือบริษัทที่มีชื่อเสียง ก็ช่วยให้เรามีแต้มต่อได้เลยแหละ 


    3. เนื่องจากยื่นทุนประมาณมีนา ช่วงมกรา เราถึงจะเริ่มติดต่ออาจารย์ให้ช่วยเขียนจดหมายแนะนำตัวให้ แล้วที่เหลือก็ไหลไปตามโพรเสสตามที่เราเล่าข้างต้น 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in