เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] The Red artifact adventure : บทแรกอาณาจักรมนตราทั้ง 5หน้ากากเหล็ก
บทเกริ่น การค้นพบ
  •            การค้นพบ
                
                 คุณเคยนึกสงสัยมั้ย ...  ว่าเคยมีอารยธรรมโบราณอันรุ่งเรืองในยุคก่อนประวัติศาสตร์  หลายสิ่งหลายอย่างจากยุคอดีตกาลที่วิทยาการปัจจุบันมิอาจหาคำตอบได้ 
                 
                 บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าสิ่งมีชีวิตจากดวงดาราอื่นในอวกาศอันไร้ที่สิ้นสุดติดต่อกับอารยธรรมเหล่านั้น  หรือแม้กระทั่งอารยธรรมเหล่านั้นเป็นผลพวงจากตัดสินใจตั้งรกรากจากต่างดาว ก่อนที่พวกเขาจะอันตรธานหายไป ทิ้งเพียงความพิศวงแด่คนรุ่นหลัง 

                 บ้างว่านั่นเป็นเพียงการละเมอเพ้อพกของนักเขียนสติเฟื่องคนหนึ่งเท่านั้น
     
                 จากสายพันธุ์นับร้อยพันบนโลกใบนี้ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นที่ครอบครองสติปัญญา....อย่างนั้นหรือ

                 "ผมเคยเชื่อว่าความคิดพรรค์นั้นเพ้อเจ้อสิ้นดี แต่ความคิดผมต้องเปลี่ยนไปหลังค้นพบโบราณวัตถุเหล่านี้ กระจายไปทั่วทุกมุมโลก"   นักโบราณคดีร่างผอมเกร็งในชุดนักสำรวจกล่าวอย่างตื่นเต้น พลางยื่นมือไปทางวัตถุโบราณนานาอารยธรรมบนโต๊ะสำหรับใช้เป็นหลักฐานสร้างความน่าเชื่อถือแก่สไลด์นำเสนอ ณ เบื้องหลัง
                 
                 ขณะเดียวกันบรรดาผู้รับชมภายใต้บรรยากาศมืดสลัวของห้องกำลังรับชมการนำเสนอนั้นอยู่
    " หลังจากทำการค้นคว้าเกือบครึ่งชีวิต ผมขอยืนยันว่าเคยมีมนุษย์ หรือ สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายกับพวกเรา 
                 ทว่าเหนือชั้นกว่าเราในทุกด้าน ไม่ว่าจะพลกำลัง หรือ สติปัญญา   พวกเขายังครอบครองวิทยาการที่สามารถทำงานได้โดยปราศจากพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย  "  นักโบราณคดีพักหายใจครู่หนึ่ง ร่างกายเหนื่อยอ่อนจากความตื่นเต้น 

                 "ผมไม่ทราบว่าจะนิยามวิทยาการเหล่านั้นแบบไหนดี นอกจากคำว่า ' วิทยาการเวทมนต์  '  
    หากพวกเราสามารถลอกเลียนแบบได้สำเร็จล่ะก็ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาโลกร้อนกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษยชาติก็เป็นได้"  

                 ท่าทีของผู้รับชมนั้นปราศจากอารมณ์ร่วม ชวนให้นักโบราณคดีใจเสียเพราะคำพูดของเขาเมื่อครู่นั้นช่างดูเพ้อเจ้อยิ่งนัก 

                 ทว่าราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของเขา ผู้ชมในเงามืดคนหนึ่งกล่าวให้กำลังใจขึ้นมา

                 "น่าสนใจมาก คุณโจนส์ กรุณาเล่าต่อเลยครับ" เมื่อใจเต็มไปด้วยกำลัง การนำเสนอก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนถึงสไลด์สุดท้าย

                 "ดังนั้นผมขอสรุปการนำเสนอครั้งนี้ ด้วยข้อสรุปว่าอาณาจักรโบราณทั้งห้านั้นตั้งอยู่ในบริเวณเหล่านี้นะครับ  ผมเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้จะสั่นคลอนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว !!"  
    ระหว่างกล่าวเขาใช้เครื่องชี้เลเซอร์ชี้ไปทางประเทศอินเดีย อียิปต์ เปรู สามเหลี่มเบอมิวด้า ! และที่โดดเด่นที่สุดคือผืนทะเลบริเวณหนึ่งที่ถูกระบุว่าเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมิว  

                 ไม่นานนักเสียงตบมือตอบรับท่วมท้นก็ดังก้องไปทั่วห้อง ชวนให้โจนส์ฝันหวานไปถึงอนาคตที่โรยไปด้วยชื่อเสียงและเงินทอง นามของเขาจะกลายเป็นตำนานแห่งวิชาประวัติศาสตร์แก่คนรุ่นหลัง 

                 "ยอดเยี่ยมมากคุณโจนส์ ไม่เสียเปล่าจริงๆที่พวกเราให้เงินสนับสนุนคุณแต่พวกเราขอแสดงความเสียใจด้วย การค้นพบครั้งนี้จะต้องไม่ออกไปจากห้องนี้ครับ ..."

                 ก่อนที่นักโบราณคดีฝันสลายจะทันได้โต้แย้งอะไร ผู้เข้าชมคนหนึ่งก็ลุกจากเก้าอี้หนังแล้วเดินเข้ามาจนแสงสว่างจากหน้าจอสไลด์เผยโฉมของสตรีวัยกลางคนในชุดราตรี  มือข้างหนึ่งถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์  ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกหวาดกลัวจนขาสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้นหล่อนจะดูเหมือนสตรีวัยทองธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น....

                 "คุณโจนส์ทราบไหมคะ ว่าทรัพยากรอะไรบริหารลำบากที่สุดในประวัติมวลมนุษยชาติ แต่ก็เป็นทรัพยากรแสนทรงคุณค่าที่สุดด้วย ?   " หล่อนกล่าวอย่างสบายอารมณ์พลางโยกแก้วเครื่องดื่มในมือไปมา 

                 ราวกับกบถูกอสรพิษจ้องมอง นักโบราณคดีตัวสั่น อ้าปากค้าง เหงื่อกาฬท่วมกายแม้นอากาศจะเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ  ณ ตอนนี้เพียงแค่ส่ายหน้าปฏิเสธก็เต็มกลืนแล้ว 

                 "ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากให้ลิงพวกนั้นเชื่อว่า 'เวทมนต์' เป็นเพียงของงมงาย  จะมีอยู่ในเพียงสื่อบันเทิงทั้งหลายเท่านั้น ..."

                 "ยะ อย่าฆ่าผมเลย !! ผะ ผะ ผม สาบานว่าจะไม่ พะ พะ พูดออกไปแน่ !!!!"

                 ทันใดนั้นเองสตรีผู้นั้นก็ยกมือโบราณคดีขึ้นมากุมพลางหลับตาทั้งสองข้าง ระหว่างปลอบโยน

                 "อย่ากังวลไปเลยค่ะ  คุณจะมีชีวิตต่อไปแน่นอน แม้พลังชีวิตจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตาม" ทันทีที่หล่อนเปิดตาขึ้นมาอีกคราดวงตามนุษย์อันทรงเสน่ห์กลับแปรเปลี่ยนเป็นนัยน์ตาดำมืดดุจราตรีไร้ดวงดารากับดวงตาดำเรืองแสงแห่งอสูรกาย 


                 ทันใดนั้นร่างของนักโบราณคดีแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็วกระทั่งกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา  ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้นกลับกลายเป็นเป็นหญิงสาวผิวพรรณเต่งตึงแทน

                 “ จงภูมิใจเสียเถอะที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา  ”

                 ระหว่างกล่าวเธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าย้อนวันวานของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมชายอีกคนจะพูดขึ้นมา  

                   “ข้าก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะ จะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้ ถึงพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้นแต่ก็ต้องแก่ตายสักวัน..  ข้าคงตายตาไม่หลับ ถ้าไม่เห็นวิสัยทัศน์แห่งบิดาของพวกเราเป็นจริงขึ้นมา”

                 ชายคนหนึ่งในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึงแล้วทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล

                  “ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็!!  พวกเราสมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำแบบนี้  แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปในที่ที่เคยเป็นของพวกเรา จนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสเหล่านั้น!!! ”

                 “จงอยู่ในความสงบทุกท่าน!”  น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้องบรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองไปยังบุคคลลึกลับสวมหมวกอารยธรรมโบราณในเงามืดแลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสงท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับที่หัวโต๊ะ

                 บุคคลลึกลับเริ่มกล่าวปราศรัยให้ทุกคนฟัง

                 “พวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์เดียวกันจนเลยเถิดเป็นสงคราม แต่ตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะเหลือน้อยแล้ว

                 อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราถูกปิดผนึกกำลังจะกลับมาและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้

                 คราวนี้ลิงทั่วโลกจะพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกันตามที่เราต้องการทุกคำ แล้วเราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!

                 พวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็ปิดปากพวกมันซะ แต่ขอย้ำว่าต้องจำเป็นจริงๆ ”

                 พอสิ้นคำปราศรัย ผู้ประชมทุกคนลุกขึ้นมาเอามือทุบอกของตน

                 “  เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !! ”  แล้วพร้อมใจเปล่งภาษาลึกลับอันเป็นรากของทุกภาษาบนโลก แต่ละคำนั้นดูน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง  ก่อนจะแยกย้ายกันเดินออกจากห้องประชุม ทิ้งบุคคลลึกลับ ณ หัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน

                 "...................   สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย  ข้าจำวันนั้นได้ดีในยุคแห่งมนตราอาคม เมื่อลิงพวกนั้นนับถือพวกเราดุจสมมติเทพ หนึ่งแสนสามปีผ่านมาแล้วกระมัง  ”

                                  ย้อนไป  130000 ปีก่อนคริสต์ศักราช  

               ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิงใดมาหล่อเลี้ยงมัน ณ ใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณห้อมล้อมด้วยเก้าอี้ศิลาห้าตัว บัดนี้ถูกเว้นว่างไว้ตัวนึงเนื่องจากเจ้าของที่ยังมาไม่ถึง

                 บรรยากาศดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสี่ต่างนั่งด้วยกิริยาสง่างาม ไม่กระดุกกระดิกไปมาดั่งปุถุชนทั่วไปแม้แต่น้อย

                 กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชายรูปงามแบบฉบับอินเดีย ผมดำยาวและยุ่งแต่งกายด้วยเครื่องทรงแห่งวรรณะชั้นสูงของอินเดีย ทว่ามิมีสิ่งใดจะโดดเด่นไปกว่าจุดดำบนหน้าผากของท่าน

                 ผู้ประชุมคนหนึ่งจึงหันมากล่าวทักทาย

                 "ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นดั่งพี่น้องของพวกเรา เจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร !!”

                  ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวหนึ่งได้โบยบินขึ้นฟากฟ้า จนแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณเบื้องล่าง

                 ส่วนนอกเขตอาณาจักรเหล่านั้น เต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง กับมนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา

                 จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนกสยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันนัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกจากเบื้องบน                 

          ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้าได้พบกับนางผู้นั้น  สุธน....

                                                                                               จบบทเกริ่น และ..

                 ยินดีต้อนรับอยู่มหากาพย์แห่งผลึกสีแดงทุกท่าน

                  ปล.   ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตราไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียวนอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน

                 ปล.2 หากไม่ชอบตรงไหน การจัดวางหน้า สำนวน กรุณาช่วยชี้แนะ โพสบอกวิจารณ์ด่าเลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก แต่ถ้าชอบโพสชมก็ดีนะครับแหะๆ

        










     



      

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in