ทันใดนั้นร่างของนักโบราณคดีแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็วกระทั่งกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้นกลับกลายเป็นเป็นหญิงสาวผิวพรรณเต่งตึงแทน
“ จงภูมิใจเสียเถอะที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา ”
ระหว่างกล่าวเธอหยิบกระจกขึ้นมาส่องใบหน้าย้อนวันวานของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ผู้เข้าร่วมประชุมชายอีกคนจะพูดขึ้นมา
“ข้าก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะ จะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้ ถึงพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้นแต่ก็ต้องแก่ตายสักวัน.. ข้าคงตายตาไม่หลับ ถ้าไม่เห็นวิสัยทัศน์แห่งบิดาของพวกเราเป็นจริงขึ้นมา”
ชายคนหนึ่งในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึงแล้วทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล
“ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็!! พวกเราสมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำแบบนี้ แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปในที่ที่เคยเป็นของพวกเรา จนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสเหล่านั้น!!! ”
“จงอยู่ในความสงบทุกท่าน!” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้องบรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองไปยังบุคคลลึกลับสวมหมวกอารยธรรมโบราณในเงามืดแลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสงท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับที่หัวโต๊ะ
บุคคลลึกลับเริ่มกล่าวปราศรัยให้ทุกคนฟัง
“พวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์เดียวกันจนเลยเถิดเป็นสงคราม แต่ตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะเหลือน้อยแล้ว
อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราถูกปิดผนึกกำลังจะกลับมาและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้
คราวนี้ลิงทั่วโลกจะพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกันตามที่เราต้องการทุกคำ แล้วเราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!
พวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็ปิดปากพวกมันซะ แต่ขอย้ำว่าต้องจำเป็นจริงๆ ”
พอสิ้นคำปราศรัย ผู้ประชมทุกคนลุกขึ้นมาเอามือทุบอกของตน
“ เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !! ” แล้วพร้อมใจเปล่งภาษาลึกลับอันเป็นรากของทุกภาษาบนโลก แต่ละคำนั้นดูน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันเดินออกจากห้องประชุม ทิ้งบุคคลลึกลับ ณ หัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน
"................... สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย ข้าจำวันนั้นได้ดีในยุคแห่งมนตราอาคม เมื่อลิงพวกนั้นนับถือพวกเราดุจสมมติเทพ หนึ่งแสนสามปีผ่านมาแล้วกระมัง ”
ย้อนไป 130000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิงใดมาหล่อเลี้ยงมัน ณ ใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณห้อมล้อมด้วยเก้าอี้ศิลาห้าตัว บัดนี้ถูกเว้นว่างไว้ตัวนึงเนื่องจากเจ้าของที่ยังมาไม่ถึง
บรรยากาศดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสี่ต่างนั่งด้วยกิริยาสง่างาม ไม่กระดุกกระดิกไปมาดั่งปุถุชนทั่วไปแม้แต่น้อย
กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชายรูปงามแบบฉบับอินเดีย ผมดำยาวและยุ่งแต่งกายด้วยเครื่องทรงแห่งวรรณะชั้นสูงของอินเดีย ทว่ามิมีสิ่งใดจะโดดเด่นไปกว่าจุดดำบนหน้าผากของท่าน
ผู้ประชุมคนหนึ่งจึงหันมากล่าวทักทาย
"ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นดั่งพี่น้องของพวกเรา เจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร !!”
ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวหนึ่งได้โบยบินขึ้นฟากฟ้า จนแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณเบื้องล่าง
ส่วนนอกเขตอาณาจักรเหล่านั้น เต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง กับมนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา
จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนกสยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกันนัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกจากเบื้องบน
ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้าได้พบกับนางผู้นั้น สุธน....
จบบทเกริ่น และ..
ยินดีต้อนรับอยู่มหากาพย์แห่งผลึกสีแดงทุกท่าน
ปล. ตัวอักษรที่ ทำตัวหนาจะแสดงถึงภาษาของชนชั้นสูง ที่มีมนตราไว้สื่อสารกับชนชั้นสูงทั่วโลกเพียงภาษาเดียวนอกจากเป็นเพียงแค่ภาษาต่ำที่ชนชั้นสูงประดิษฐ์ไว้ให้ประชากรของตัวเองสื่อสารกันภายในอาณาจักรของตน
ปล.2 หากไม่ชอบตรงไหน การจัดวางหน้า สำนวน กรุณาช่วยชี้แนะ โพสบอกวิจารณ์ด่าเลยก็ได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างมาก แต่ถ้าชอบโพสชมก็ดีนะครับแหะๆ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in