เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[นิยาย] ดุจเรือนใจMepMhee
ดุจเรือนใจ (บทที่ ๑๗)
  • หลักฐานคาตา ไฮโซหนุ่มชาวไทย 
    เพื่อนก๊วนไฮโซของดาราดังไปโผล่ NY
    กลายเป็นของเล่นคนรวยของดีไซเนอร์ชายชื่อดังระดับโลก

    อยากรู้มากกว่านี้ เข้าไปดูคลิปสองดีเจสาวซ่า
    เม้ามอยในรายการ ผีบ้าท้าเมาท์ ได้เลย


    ภามินนึกอยากจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ เผื่อผีบ้าทั้งสองจะได้ไปผุดไปเกิดและเลิกรังควานคนอื่นเสียที

    ข่าวของจตุรวัชรเริ่มมีกระแสขึ้นมาตั้งแต่มีคนเห็นชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ในอินสตาแกรมของนางแบบชื่อดัง ซึ่งอัพโหลดรูปภาพจากเซ็ทการถ่ายทำลงนิตยสารและแน่นอนว่าใช้เสื้อผ้าของ PANTALEONE ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเขาถึงไปอยู่ในภาพนั้น แต่ด้วยอีกฝ่ายเคยมีเพื่อนพ้องในวงการไม่ใช่น้อย เลยคิดกันเองว่าอาจจะไปหาเพื่อนและได้เข้าเยี่ยมชมการถ่ายทำ

    กระทั่งภาพจากปาปาราซซี่ออกมา

    ชายหนุ่มเชื้อสายจีนเดินออกมาจากร้านอาหารในย่านลิตเติ้ลอิตาลีกลางเมืองนิวยอร์ก โดยมีปันตาลิโอเน่ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ดังเดินตามมาและโดยสารรถลิมูซีนคันเดียวกันออกไป จากนั้นก็ยังมีคนเห็นจตุรวัชรเดินเข้าไปในตึกย่านไทรแบก้าซึ่งชั้นบนสุดเป็นเพนท์เฮาส์ของชายสูงวัยผู้นั้นในตอนเช้าตรู่

    ที่โน่นอาจจะมองว่าเป็นข่าวซุบซิบทั่วไป แต่สำหรับประเทศไทย...เรื่องราวต่างๆ โหมกระพือราวไฟไหม้ฟางไปตามรอยราดเบนซินเป็นทางยาวพุ่งไปหาถังแก๊ส ไม่ว่าใครก็ต่างตัดสินไปแล้วว่าจตุรวัชรเป็น ‘เด็กใหม่’ ในสังกัดของคนดัง โดยไม่มีใครคิดไถ่ถามหาความจริงเลยสักคน มีแต่จะหาเรื่องมาใส่สีตีไข่เพิ่มเพื่อความสนุกสนาน ทว่ายิ่งนักข่าวไปส่องอินสตาแกรมของอีกฝ่ายมากเท่าไรก็พบแต่ความว่างเปล่า ภาพล่าสุดที่อัพโหลดเมื่อหนึ่งเดือนก่อนคือรูปของสุนัขพิทบุลบ้านทวิชื่อว่าบุญหมาและบรรดาคอร์กี้ทั้งห้า ที่ต่างนอนหมดแรงบนพื้นราวใครโยนก้อนมัชเมลโลอังไฟจนเหลืองทิ้งไว้บนหญ้า

    และไม่มีรูปอะไรอีก

    จตุรวัชรปรากฏตัวในรูปภาพของคนอื่นในสาขาอาชีพเกี่ยวกับแฟชั่น ทั้งนายแบบ นางแบบ และช่างภาพแฟชั่นชื่อดังอย่างเจเรมี่ ที่ภายหลังอีกฝ่ายเคยเล่าให้ภามินฟังแล้วว่าเป็นเพื่อนสนิทของตรัย แม้ว่าฝ่ายนั้นจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มไปแล้ว แต่นักข่าวไทยผู้ชำนาญการบำเพ็ญเพียรด้านนั่งเทียนเขียนข่าวก็พากันปั้นเรื่องเอาสนุกอย่างไม่ลดละ บ้างก็ว่าเป็นชู้รักของเจเรมี่ที่ส่งต่อไปให้พ่อบุญธรรมเนื่องจากคู่สมรสจับได้

    อื้อหือ...ขนาดนิยายที่เธออ่านยังไม่เจอพล็อตมั่วไร้ที่มาที่ไปขนาดนี้เลย

    หญิงสาวเลื่อนเฟซบุ๊คดูข้อความไปเรื่อยอย่างไม่เร่งร้อนนัก หลังจากกำหนดให้ช่วง ๓ - ๔ ทุ่ม เป็นเวลาสำหรับการพักผ่อนสมอง จะอ่านการ์ตูน ดูซีรีส์ฝรั่ง หรือจะเล่นอินเทอร์เน็ตก็ทำได้ทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อหมดเวลาพักเธอก็ต้องเลิกทุกอย่างและตั้งใจทำงานให้เสร็จ  แม้ตามจริงแล้วอาจจะมีบ้างที่จะมีสายจากต่างประเทศเรียกเข้ามาในโปรแกรมแชทไม่ก็วิดีโอคอล แต่นั่นก็ใช้เวลาไม่นานนัก และไม่ได้คุยกันทุกคืน เลยไม่ทำให้งานล่าช้ามากนัก 

    เหตุที่ภามินต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้นอนเร็วขึ้น พักมากขึ้น อย่างที่จตุรวัชรกำชับกำชาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาไปใช้ชีวิตที่นิวยอร์ก

    แล้วเขาก็บอกอีกเกือบสามสิบครั้ง...

    พูดง่ายๆ คือบอกทุกวันผ่านการส่งข้อความ โทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลมาหา ว่าให้พักผ่อนให้เยอะๆ ไว้ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอเป็นบ่อเกิดของสุขภาพดี พอสุขภาพดีจิตใจก็ดี มีสติปัญญาแจ่มใสสู้ปัญหาต่างๆ ได้ 

    มันก็ปกติ...แต่ที่เด็ดสุดไม่ใช่เรื่องสุขภาพดี

    ‘ด้วยวัยขนาดนี้ร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนที่ทำให้ผิวเต่งตึงน้อยลง’ จตุรวัชรกล่าวขณะวิีดิโอคอลผ่านโปรแกรมเฟซไทม์บนคอมพิวเตอร์เมื่อสองสามวันก่อน ฝั่งเธอพักเที่ยงวันส่วนทางนั้นล่วงเข้าเที่ยงคืนกว่า ‘ยิ่งพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะมีริ้วรอยไม่พึงประสงค์ง่ายกว่าตอนเป็นวัยรุ่นเยอะ’

    ‘โอ๊ยยยย สี่ เธอมีแฟนแก่แล้วเธอก็ตอกย้ำว่าแฟนเธอแก่’ คนโดนเตือนโวยวายยกใหญ่

    ‘ก็แค่เกิดก่อนไม่กี่ปีน่า เดินด้วยกันคนไม่รู้หรอก มีแต่คนชมว่าสมกัน’ อีกฝ่ายโบกไม้โบกมือ

    บางทีน่าหมั่นไส้ แต่บางเรื่องก็พูดจาน่าเอ็นดู

    ‘ใช้ชีวิตที่นั่นชินหรือยัง’ ภามินถามด้วยความเป็นห่วง

    ‘ไม่อยากจะชินแต่ก็ต้องชิน’ แฟนหนุ่มตอบ

    หญิงสาวสังเกตว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้อาบนำ้เปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้ผมด้านหน้าเขายาวเท่าๆ กับครั้งที่ไปส่งยังสนามบินแต่ดูเข้าทรงกว่า ด้านหลังซอยไล่ระดับจนหัวทุยสวย ทว่าผมหน้าที่โดยปกติจะแสกข้างใดข้างหนึ่ง ก่อนหน้านี้ท่าทางผมจะโดนเสยเรียบกริบไปด้านหลังและเพิ่งจะมายีหัวจัดทรงใหม่ 

    แถมยังสวมสูทสีแดงเบอร์กันดีโดยยังไม่ได้ถอดออกเสียอีกด้วย...สงสัยไปงานเลี้ยงมา

    ‘สี่ถึงบ้านนานยังเนี่ย’ 

    เขาหรี่ตา ดูชั่งใจอยู่ไม่ใช่น้อย ‘เพิ่งถึง...’

    ‘รีบกลับมาวิดีโอคอลใช่ไหม...’

    ‘แหม...ก็ใช่’ อีกฝ่ายยิ้มเขิน ‘หนีออกจากปาร์ตี้มา ขี้เกียจอยู่แล้ว แค่เอาหน้าไปให้เห็นตามที่ปาป้าสั่งก็พอละ เหล้ายาปลาปิ้งก็ขี้เกียจดื่มกับเขา เรามันไม่ใช่ปาร์ตี้แอนิมอล’

    ‘แต่เป็นซาฟารีแอนิมอล หนึ่งในบิ๊กไฟว์เลยนะ’ ภามินเอ่ยทันที

    ‘แหม ไม่บอกเลยล่ะว่าปาปาราซซี่ล่าสี่ไม่ใช่จะเอาข่าว จะเอานอ’ ชายหนุ่มแค่นเสียงโต้ตอบ

    ‘แล้วทีในข่าวที่พวกนักข่าวไปขุดรูปมาอะ เจอสี่ในปาร์ตี้ในคลับกับทั้งดาราทั้งนางแบบเลยนะ’

    ‘อุ๊ยต๊ายยย หล่อน หึงหราาาา’ จตุรวัชรทำเสียงได้น่าหมั่นไส้จนอยากจับหน้าจอเขย่าๆ แทนเจ้าตัว

    ‘ตัล-หลกกกก’ เธอค้านเสียงดัง

    ‘อะไรกัน แฟนหล่อคูลขนาดนี้ ไม่หึงหน่อยเหรอไง’

    ‘เพราะรู้ว่าไว้ใจได้ไง’ ภามินยิ้ม ‘สี่ไปทำงาน สี่ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาทำงานเสียหรอก จริงไหม’

    ‘อะหือ พูดงี้เครียดกว่าบอกว่าหึงอีก’ ถึงจะต่อปากต่อคำ ทว่าคนอยู่ไกลยิ้มจนตาหยี ‘คืนนี้สี่คงแวบมาคุยด้วยไม่ได้นะ คุณแพร์นอนไปเลยไม่ต้องรอ ต้องตามไปประชุมเรื่องที่จะย้ายไปออฟฟิศใหม่ สี่ก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรเขาหรอก แต่ต้องตามปาป้าไป’

    ‘ปาป้าสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำเนาะ’ เธอไม่ได้จะเยาะเย้ยหรือประชด แต่เพราะเท่าที่ฟังมาชีวิตของแฟนหนุ่มเป็นไปตามบัญชาของปันตาลิโอเน่จริงๆ ‘ทำงานกับปาป้าเหมือนเดวิล แวร์ส พราด้า* รึเปล่า’

    ‘ม่ายอะ เป็นเดวิล แวร์ส ปันต้า เสียมากกว่า’

    ภามินหัวเราะด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายล้อเลียนแบรนด์ PANTALEONE ที่ ‘ปาป้า’ เป็นเจ้าของ

    ‘ดูแลตัวเองนะสี่’

    ‘คุณแพร์ก็เหมือนกันนะ’

    นั่นละ เพราะคืนนี้ไม่ได้มีคนโทรศัพท์มาหา เลยวางใจได้ว่าจะสามารถทำงานต่อได้ยาวๆ หลังช่วงพัก แต่ก็ดันมาเจอข่าวน่ารำคาญเสียก่อน เธอถอนหายใจยาวอย่างรู้สึกเหนื่อยหน่ายแทนคนที่โดนซุบซิบนินทา แต่เมื่อนึกว่าคนๆ นั้นคือจตุรวัชรก็ไม่น่าจะมีสถานการณ์ที่ทำให้เขารู้สึก ‘ตึงมือ’ ขึ้นมาได้

    แต่อย่างไรก็ห่วงอยู่ดี

    ภามินไล่ดูไปเรื่อย เห็นแฟนหนุ่มไปกรีดร้องโหยหวนในรูปที่อนุตดาอัพขึ้นเฟซบุ๊ค เพราะมันเป็นภาพถ่ายของเวนิส ลูกสาวสามสีคน(ตัว)สวยที่ตอนนี้ดูเหมือนอวบขึ้นมากอย่างมีเหตุผล


    หมอบอกหนูท้องได้ ๕ สัปดาห์ แล้วค่ะ


    ข้อความใต้ภาพบรรยายไว้เช่นนั้น แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะให้จตุรวัชรกรีดร้อง เมื่อลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจท้องแก่ใกล้คลอดขณะที่พ่ออยู่ไกลไม่ได้ไปพะเน้าพะนอดูแล จตุรวัชรพร่ำพรรณนาความคิดถึงและห่วงใยที่มีต่อเวนิสลงไปในช่องคอมเมนต์ยาวยืด


    Chaturawachara J.

    อาซ้อแพน (เรียกด้วยความเคารพสูงสุด /ทำท่าปัดแขนเสื้อดังปั้บๆ แบบขุนนางกังฉินตอนเลียแข้งเลียขาฮองเฮา) สี่ฝากดูแลเวนิสด้วยนะ เวนิสอยู่ตัวคนเดียว ว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยว ไม่มีพ่ออยู่ใกล้ มีแต่แพนนี่แหละที่รักใคร่เอ็นดูเป็นแม่สามีที่แสนดีช่วยเหลือลูกสะใภ้ สี่ดีใจเหลือเกินที่แพนไม่ได้เป็นแม่ผัวตัวร้ายอย่างในละครไทยหลังข่าว ลูกสาวสี่โชคดีที่ได้สามีและครอบครัวสามีแสนดี ยังไงก็ขอฝากผีฝากไข้ด้วย กลับไปจะไปขลิบขนไฟให้หลาน ฝากเกาคอเกาคางเวนิสบ่อยๆ ด้วยนะ พ่อรักลูกนะคะเวนิส - พ่อสี่


    Anuttada Pan

    ดูแลให้สิ ไม่ดูแลได้ยังไง เราเป็นคนดี 

    แต่ลูกหล่อนท้องหลัง ทำไมจะคลอดก่อน บังอาจจจจจจจมากกกก

    กลับมาไทยซื้อของมาฝากทั้งหลานแมวหลานคนด้วย ถือว่าเรารีดไถค่าเลี้ยงดู


    เมื่อได้ข้อความตอบรับก็ดูเหมือนจตุรวัชรจะเบาใจ อัพโหลดรูปภาพเวนิสที่มีอยู่ในโทรศัพท์ตัวเองและพร่ำเพ้อห่วงหาอาทรลงในคอมเมนต์ต่อมาอีกหลายรูป


    Trai-Sax

    บ้า ประสาท เพ้อเจ้อ 


    ที่มีคนกดไลก์มากพอๆ กับข้อความสั่งความของจตุรวัชร คือความคิดเห็นของ Trai-Sax หรือตรัยผู้เป็นพี่ชายนั่นเอง...หนึ่งในนั้นก็คือภามินที่เห็นพ้อง

    แค่นั่งดูพี่น้องบ้านนั้นโต้ตอบกันไปมาก็ทำให้รู้สึกรื่นเริงขึ้นมาก หญิงสาวสูดหายใจลึก หยิบรีโมทเครื่องเสียงเปิดเพลงจากการ์ตูนท่วงทำนองน่ารักร่าเริงชวนให้คึกคัก ปิดเฟซบุ๊ค และเริ่มทำงานเหมือนที่เป็นมาทุกคืน




    “น้องแพร์อยู่ออฟฟิศไหมคะ เดี๋ยวพี่เข้าไปหา”

    “ฮะ” ภามินอุทานลั่นขณะรับโทรศัพท์ที่โต๊ะในตอนบ่ายหลังออกไปกินข้าวกลางวันได้ไม่นานนัก “เมายากันยุงเหรอพี่อ๊อด โทร.เข้าเบอร์ของบริษัทแพร์ ต่อสายเข้าห้องแพร์ แล้วถามว่าอยู่บริษัทไหม คิดว่าที่ตอบนี่มีคนใช้หูกระต่ายของไอ้หนูนักสืบโคนันพูดเลียนเสียงแพร์งั้นเหรอ”

    “แหม ก็กลัวว่าเดี๋ยวจะไม่อยู่ งั้นสักอีกครึ่งชั่วโมงจะไปหานะคะ”

    “จะมาก็มา” หญิงสาวตอบตัดรำคาญก่อนวางสายไป

    ครู่ใหญ่หลังจากนั้นศุภกิจก็มาถึงที่ทำงานของเธอ ยืนยิ้มเยี่ยมหน้าอยู่หน้าประตูบริษัทให้ภามินต้องเดินไปรับ ทั้งชัชวงศ์และสายมุกต่างก็ต้องเดินออกมาทักทาย เนื่องจากเป็นแฟนเก่าเพื่อนและเป็นรุ่นพี่ที่พอจะเคยคุ้นกันอยู่บ้าง แม้ว่าพอแขกเดินคล้อยหลังไป ทั้งสองจะบุ้ยใบ้ถามว่า ‘มาทำซากอะไร’ ก็ตามที

    ภามินเดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้องทำงาน ศุภกิจมองสำรวจรอบๆ ด้วยความสนอกสนใจขณะที่กำลังทรุดตัวลงนั่ง

    “ออฟฟิศดูเรียบๆ นะคะ นึกว่าจะตกแต่งมากกว่านี้อีก”

    “เอาเงินค่าตกแต่งไปใช้เป็นสวัสดิการหรือโบนัสพนักงานดีกว่าค่ะ พอดีเน้นผลงาน ไม่ใช่หน้าตาบริษัท” เธอยิ้มตอบแล้วจึงนั่งยังเก้าอี้ของตนเอง ในใจคิดว่าออฟฟิศสถาปนิกสวยอลังการนั้น ถ้าไม่ใช่บริษัทใหญ่ก็คงยากที่จะสร้างแบบนั้นได้...และบางทีมันก็สวยเฉพาะส่วนรับแขกหรือห้องประชุมเท่านั้น

    “ไม่ทราบว่าพี่อ๊อดมีธุระอะไรหรือคะ”

    “อ๋อ ก็เรื่องที่ปรึกษาแพร์คราวก่อน เรื่องลูกน่ะค่ะ ตอนนี้ทุกอย่างลงตัวแล้ว โอเคดีแล้ว เพ็ญมาอยู่กับบ้านพี่ ทุกคนแฮปปี้กันมาก พอวันหยุดก็คิดแต่ว่าจะพาหลานไปเที่ยวไหนดี”

    “ดีแล้วค่ะ เด็กที่โตมาในบ้านที่มีคนหลายๆ วัย เขาจะเรียนรู้อะไรได้หลายแง่มุม”

    “พี่ก็ต้องขอบคุณแพร์ที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าที่จะพาลูกมาเลี้ยงเองหรอกค่ะ” คนพูดยกถุงกระดาษใบใหญ่สีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาวางบนโต๊ะ “นี่ถือเป็นของขวัญขอบคุณที่แพร์ช่วยพี่ในครั้งนั้นนะคะ”

    ภามินเบิกตากว้าง ไม่ใช่เพราะชื่อแบรนด์แฟชั่นดังจากฝรั่งเศสที่พิมพ์อยู่บนถุง แต่เนื่องจากไม่เข้าใจว่าแค่คุยด้วยนิดหน่อยทำไมถึงต้องเอาของตอบแทนที่มีราคาค่างวดขนาดนี้มาให้ด้วย

    “น้องแพร์ไม่เปิดดูเหรอคะ”

    “แพร์คงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

    “โธ่ น้องแพร์ นี่พี่ตั้งใจเลือกให้เลยนะคะ ฝากพี่สาวที่สนิทกันซื้อมาจากฝรั่งเศสเลย” ศุภกิจหยิบกล่องสีน้ำตาลออกมาวางบนโต๊ะ เขารูดริบบิ้นสีดำออก เปิดกล่องกระดาษ จึงเห็นว่ามีถุงผ้าสีนวลวางบรรจุอยู่ภายใน เขาหยิบของที่อยู่ในถุงผ้าออกมา เมื่อจัดทรงให้ดีจึงพบว่าเป็นกระเป๋าถือใบใหญ่มีลายสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์

    และราคาแพงมากด้วย...

    “น้องแพร์ชอบไหมคะ”

    หญิงสาวเลิกคิ้ว เธอว่ามันสวยแต่ไม่ต้องรสนิยม...แล้วจะตอบอย่างไรดีไม่ให้เจ็บช้ำน้ำใจ

    “เอ่อ...มันก็ดีนะพี่อ๊อด”

    “ดีงั้นลองสะพายให้พี่ดูเลยสิคะ สะพายปั๊บ ดูหรูเลยค่ะ สะพายเลยค่ะ สะพายเลย ดูสวยไฮโซขึ้นมาอีก”

    “ทำไมต้องสวยไฮโซ” เธอถามเสียงแข็ง ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องคะยั้นคะยอกันขนาดนี้

    “แบบว่าสถาปนิกสวยๆ เป๊ะๆ ลูกค้าจะได้ปลื้ม ประทับใจไงคะ”

    “พี่อ๊อด” ภามินผ่อนลมหายใจออกยาว...อย่างอดกลั้น “แพร์เป็นสถาปนิก ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ที่ต้องสวยต้องเป๊ะตลอดเวลา แพร์ทำงานมากี่ปีแล้ว แพร์รู้ดีว่าเจอลูกค้าควรจะแต่งตัวแบบไหน”

    “หิ้วไปไซท์สวยๆ ก็ดีนะคะ”

    “แพร์ไม่หิ้วหลุยส์ไปไซท์งานหรอกนะคะ”

    “ไม่มีใครห้ามนี่คะว่าไปไซท์งานจะแต่งตัวสวยๆ ไม่ได้” อีกฝ่ายยืนกราน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าคู่สนทนาเลยเสียงอ่อนลง “งั้นหิ้วไปเที่ยว ไปกินข้าวกันกับพี่ก็หิ้วไปได้”

    อ้อ...จะเนียนชวนเที่ยวอย่างนั้นสิ

    “ไม่ค่ะ ไม่ไปกินข้าว” หญิงสาวลงเสียงหนัก

    อีกฝ่ายนิ่งไปครู่ ก่อนทำใจดีสู้เสือ ฉีกยิ้ม และเอ่ยต่อ “งั้นดูหนังกันก็ได้ สวยๆ เก๋ๆ เดินเที่ยว”

    “ไม่ค่ะ ไม่กินข้าว ไม่ดูหนัง ไม่เดินเที่ยว และไม่รับของ” ภามินเอ่ยอย่างชัดเจนทั้งน้ำเสียงและเจตนา “ผู้หญิงดีๆ ที่มีแฟนแล้ว เขาไม่ไปเที่ยวดูหนังกินข้าวสองต่อสองกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนหรอก”

    “ไหนคราวก่อนบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน”

    “แต่เจตนาไม่ใช่ เลิกตอแหลเถอะพี่อ๊อด” เธอสวนทันที “แพร์เบื่อว่ะ หลายหนละ ที่ให้คำปรึกษาไปในฐานะคนรู้จักกัน ถ้าจะเป็นเพื่อนกันมันก็ได้ บริสุทธิ์ใจต่อกัน เรื่องเก่าๆ จบคือจบ ชีวิตพี่ก็เดินไปข้างหน้าไม่รู้กี่ตาแล้ว ไม่ได้โดนหลุมกับดักอะไรจะได้กลับมาจุดเซฟปะวะ ก็ไปหาคนอื่นที่จะรักจะชอบสิ แพร์เองก็ใช้ชีวิตปกติสุขดี มีแฟน ทำไมพี่จะทำไม่ได้”

    ศุภกิจกัดริมฝีปาก หลุบตาต่ำราวครุ่นคิด “แต่แฟนแพร์ไม่ได้มาดูแลกันเลยนะ เหมือนไม่ใช่แฟน นี่ก็ไปอยู่ซะไกล”

    “โอ๊ย ก็อายุป่านนี้แล้ว ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาปะ ไม่ต้องมาดูแลกันตลอดเวลาก็ได้ แค่ตัวอยู่ไกลใช่ว่าต้องเอาใจออกห่าง” ภามินตอบอย่างเหนื่อยหน่าย “คือเคยเจอมาไง เป็นแฟนกัน ดูแลกัน แต่ก็ไปคุยกับคนอื่นลับหลังเราด้วยนะ แถมยังโกหกตอแหลใส่เราเรื่องแต่งงานอีกต่างหาก แต่อยู่ห่างกันแค่นี้ขำๆ เลย เคยเจอคนศีลธรรมต่ำเตี้ยกว่านี้มาแล้ว”

    ภามินย้ำคำท้ายๆ ประโยคและยิ้มหวานพลางจ้องหน้าคนนั่งตรงข้ามไปด้วย “แพร์น่ะ เคยมีแฟนเหี้ยอย่างพี่อ๊อดมาแล้ว ปัญหาเรื่องอยู่ห่างกันแค่นี้ไม่ครณามือหรอกนะ”

    ผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามได้แต่อ้าปากค้าง สิ้นปัญญาจะล้วงคำพูดให้ผ่านลำคอออกมาได้

    “เก็บของแล้วออกไปซะ” หญิงสาวผายมือ “กลับไปตอนที่แพร์ยังใช้คำสรรพนามเรียกพี่อ๊อดว่าพี่อยู่ อย่าให้ต้องใช้คำอื่นที่มันตรงใจมากกว่านี้”

    อีกฝ่ายอ้าปากหมายจะพูด แต่เมื่อเห็นสีหน้าผู้เป็นเจ้าของห้อง เขาจึงเก็บทุกอย่างลงถุงและเดินออกไปโดยไม่กล้าเอ่ยอะไร ผู้ที่นั่งอยู่ถอนหายใจยาว ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ เธอทั้งขำ หงุดหงิด โมโห เหนื่อย เบื่อ กับผู้ชายที่เป็นอดีตแฟนและยังจมปลักอยู่กับเรื่องราวเดิมๆ อันที่จริงก่อนหน้านี้เธอก็นึกสงสารอยู่นิดหน่อย ทว่าพอเห็นศุภกิจพูดจาเข้าข้างตัวเองอย่างน่ารำคาญมากเข้า อะไรดีๆ ที่เคยมีก็ระเหิดหายไปในอากาศราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เธอหวังว่าคราวนี้จะจบได้จริงๆ เสียที


    ภามินไม่อยากจะยอมรับว่าตนกลับมาตายรัง แต่ท้ายสุดแล้วเธอก็กลับมาบ้าน...มาเจอพ่อผู้เป็นครอบครัวของตนเอง แถมหญิงสาวยังรู้สึกว่าตนเองมีโชคเนื่องจากพี่ชายกลับมาในช่วงนี้พอดี เธอจึงไม่ต้องกักตัวอยู่กับหนังสือในห้องนอน แต่สามารถนั่งพูดคุยกับผู้ชายซึ่งเข้าใจตัวเธอมากที่สุด...อาจจะมากกว่าพ่อเสียด้วยซ้ำ

    “อื้อหือ จัดหนักกับแฟนเก่าไปซะขนาดนั้น ไปกินรังแตนมาจากไหน” พี่ชายทำหน้าทึ่ง ขณะหยิบมะม่วงชิ้นใหญ่จิ้มลงไปในกะปิหวาน “หรือว่าเป็นช่วงแดงเดือด”

    “โอ๊ย บ้าละพี่พลับ ไม่ใช่ แพร์ด่าได้ไม่ต้องพึ่งฮอร์โมน"

    “เรื่องนี้พี่ก็รู้มาเกือบสามสิบปีแล้วล่ะ” ภาคินหัวเราะ เคี้ยวมะม่วงดังกร้วม ก่อนส่งเสียงซี้ดเมื่อมันเปรี้ยวจนทำเขาหน้าตาเหยเก

    น้องสาวเอนหลังกับโซฟา ตวัดขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ คว้าเอาหมอนอิงลายกราฟิกสีฟ้ากับน้ำเงินมากอด ก่อนผ่อนลมหายใจยาว “แพร์ไม่รู้เหมือนกันนะว่าที่คบกับสี่จะไปรอดไหม อยู่ไกลกันขนาดนี้”

    “อ้าว ไหนบอกไอ้ลูกอ๊อดไปว่าไม่มีปัญหา”

    “ไม่มี จริงๆ ตอนนี้ไม่มี”

    “ช่างมัน ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ทำตอนนี้ให้ดีก็พอ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเจอคนที่อยากจะมีความสัมพันธ์อย่างจริงจังนี่ แล้วยิ่งเป็นผู้ชายอายุไม่ถึงสามสิบนะ บอกได้เลยว่ายาก”

    “ก็ใกล้สามสิบแล้วนา...” ภามินเบะปาก “แต่หน้าอ่อนมาก หมั่นไส้”

    ภาคินหัวเราะเสียงดัง ตบบ่าน้องสาวเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ก็ทำตัวให้สดชื่นเข้าไว้ สดใส สวยจากภายใน แล้วจะหน้าอ่อน ใสกิ๊ง แฟนเด็กไม่หายไปไหนแน่ ไว้จะถามนะว่ากินเด็กแล้วเป็นอมตะจริงมั้ย”

    คนเป็นน้องแสร้งใช้หางตาจิกมองพี่ ก่อนอมยิ้มจากใจที่ผ่อนคลายลงมาก “เอ้อ ว่าแต่ทำไมบ้านเงียบ เมื่อกี้พ่อกับคุณตุ๊กตาบอกจะออกไปไหนไม่รู้ ไม่ทันฟัง เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ”

    “อ้อ ไปรับเด็กๆ จากที่เรียนพิเศษ”

    “อะไร้” หญิงสาวร้องเสียงแหลม “ตัวแค่นี้เรียนพิเศษแล้วเรอะ ม.ปลายก็ยังไม่สายนะ”

    “เออๆ พี่ก็ว่าบ้าว่ะ นี่เห็นเพื่อนให้ลูกเรียนพิเศษวิชาการตั้งแต่ป.หนึ่ง บ้าไปแล้ว ถ้าจะเอาเงินส่งลูกเรียนพิเศษหนักขนาดนี้ เอามันไปเข้าโรงเรียนประจำเมืองนอกเลยดีกว่า ได้สังคมด้วย” คนพูดสั่นศีรษะ “เออ แต่พลัมกับพีชไม่ได้เรียนวิชาการอะไรเทือกนั้นนะ ไอ้ตัวโตเรียนภาษาญี่ปุ่น ขอเรียนเอง ส่วนยายตัวจิ๋วเรียนศิลปะ”

    “ก็ดีไป...” ภามินสบายใจที่ได้ยินเช่นนั้น 

    ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเธอกลับบ้านบ่อย เลยได้พูดคุยกับฐิตา ได้นั่งอยู่ห่างๆ ดูเด็กหญิงวาดและระบาสีภาพตามจินตนาการด้วยความสามารถอันเรียกได้ว่ามีมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน 

    แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก...เมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเธอวาดการ์ตูนได้ จึงมาวอแววนเวียนใกล้ชิด จนวันหนึ่งเธอเลยนั่งรูปเล่นเป็นเพื่อน เริ่มจากการวาดตัวการ์ตูนที่อีกฝ่ายชอบ วาดรูปสัตว์ สักพักทั้งคู่ก็ลงไปนอนคว่ำหน้าวาดรูประบายสีกับพื้น ภามินถึงกับขึ้นไปหยิบสีไม้กล่องใหญ่ที่เคยใช้สมัยเด็กลงมาและยกให้อีกฝ่าย ดวงตาของฐิตาเป็นประกายพราวขณะปากพร่ำขอบคุณ ทั้งยังสัญญากับเธอว่าจะวาดรูปบ่อยๆ และให้พ่อของหญิงสาวอัพโหลดขึ้นเฟซบุ๊คให้เจ้าของสีได้ร่วมชื่นชมผลงาน

    พอวางอคติอันแสนเบาบางที่เคยมีลง ภามินจึงพบว่ามีเด็กน่ารักสองคนซึ่งเติบโตจากการเลี้ยงดูของแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่ในบ้าน...ช่างเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

    “เออ แพร์ เดี๋ยวพอเด็กๆ กลับมาจะไปขี่จักรยานกัน แพร์ไปด้วยกันสิ เปลี่ยนบรรยากาศ ไหนๆ ก็กลับมาบ้านทั้งที”

    “แต่แพร์ไม่มีจักรยานนี่”

    “หาไม่ยากร้อก” พี่ชายตอบเสียงสูง


  • เกือบ ๒ ชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นสมาชิกชั่วคราวของแก๊งสองล้อ

    ภามินถีบจักรยานแม่บ้านสีชมพูหวานแหววทิ้งโค้งสุดท้ายก่อนที่จะถึงซอยบ้าน พลางคิดในใจว่าควรหาของขวัญปีใหม่ชิ้นใหญ่พิเศษให้ข้างบ้าน เพราะคนที่โดนภาคินเบียดเบียนคือป้านาที่รั้วติดกัน คราวก่อนป้าโดนหลานตัวโตสอยมะดัน แล้ววันนี้ยังจะมายืมจักรยานอีก ทว่าอีกฝ่ายก็ออกปากรบกวนให้พี่ชายเธอลากรถที่ลมยางอ่อนไปเติมที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย โดยกล่าวว่าจะคืนเมื่อไรก็ได้ หลังจากยานพาหนะพร้อมใช้งานแล้ว พี่ชายก็ถีบจักรยานสีหวานแหววกลับมาได้โดยไม่รู้สึกอายแต่อย่างใด 

    หญิงสาวมองหัวหน้าแก๊งตัวโตถีบจักรยานหลายเกียร์คันแพงอยู่หัวขบวน ตามมาติดๆ ด้วยฐิตา เธอ และมีฐิติปิดท้าย ทำหน้าที่ระวังหลังเช่นสุภาพบุรุษที่ดี โดยทุกคนสวมทั้งหมวกกันน็อคและสนับเข่าสนับศอกครบชุด ควรค่าแก่การมอบรางวัลผู้ใช้จักรยานดีเด่นของหมู่บ้านให้ด้วยความชื่นชม

    เดิมทีภามินคิดว่าการขี่จักรยานเป็นการออกกำลังกายที่ดีเลยยอมออกมากับทุกคน ทว่าพอทั้งหมดวนรอบหมู่บ้านลัดเลาะออกไปยังซอยใกล้ๆ แวะพักตามรายทาง เธอถึงเพิ่งรู้สึกว่านี่มันเป็นทัวร์กินชัดๆ! เพราะตะกร้าด้านหน้าของจักรยานแม่บ้านที่ตนใช้มีทั้งของคาวของหวานอัดกันอยู่ จนพี่ชายต้องแบ่งใส่ถุงผ้าคล้องข้อมือข้างซ้ายไว้บ้าง

    ลาก่อนจักรยานเพื่อสุขภาพ

    คณะทัวร์ลดมลพิษทว่าสนับสนุนการเพิ่มน้ำหนักปั่นรถผ่านประตูที่เลื่อนเปิดออกด้วยรีโมท โต๊ะสนามถูกเตรียมไว้อย่างพร้อมพรักและพร้อมพรั่งด้วยเครื่องดื่มกับของว่างที่ตติยากำลังจัดเตรียมอยู่ เธอยิ้มหวานให้กับลูกๆ ที่จอดจักรยานและวิ่งไปหาด้วยใบหน้าสีแดงเรื่อจากการออกกำลังกาย

    “ไปเก็บจักรยานในโรงรถ ล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้า เปลี่ยนรองเท้า แล้วมากินขนมกัน” ผู้เป็นแม่สั่ง

    “แม่ขา พี่พลับซื้อของกินมาเพี่ยมเลย”

    “เพียบค่ะ” มารดาแก้ให้ “งั้นช่วยพี่พลับเอาของเข้าครัวด้วยนะพีช”

    “ได้เล้ย” เด็กหญิงหันมาหาผู้ที่ยืนรอด้านหลัง “พี่แพร์อยู่นี่นะ อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวพีชมาช่วยยกของนะคะ” 

    “ยกไหวค่ะ”

    “ไม่ได้หรอก” ฐิตายืนกราน “เราเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ต้องช่วยกันซี่ เดี๋ยวพวกผู้ชายเขาว่าเราขี้เกียจ รอพีชนะคะ”

    พูดจบเธอก็พยักพเยิดชวนพี่ชายเข็นจักรยานอย่างรวดเร็วเพื่อเอาไปเก็บ

    ตติยามองข้าวของเต็มตะกร้าหน้าพาหนะสองล้อ เหตุที่ภามินจอดไว้ด้านหน้าเพราะอีกไม่นานก็คงต้องเอาไปคืนคุณป้าข้างบ้าน จึงไม่ได้รุดเอาเข้าโรงรถเช่นเด็กๆ 

    “คุณแพร์มานั่งพักก่อนไหมคะ” หญิงสาวอายุมากกว่าเอ่ยชวน

    “ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวแพร์หิ้วของเข้าครัว แล้วไปล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้า เปลี่ยนรองเท้าก่อน”

    คนฟังถึงกับหลุดหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายทวนประโยคที่ตนสั่งลูกสาวได้ครบถ้วน “ถ้าเหนื่อยก็หยวนๆ ค่ะ”

    “ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กๆ จะงอแงกันว่าทำไมพี่แพร์กินได้ตัวเองยังกินไม่ได้”

    ตติยาเบิกตากว้างเล็กน้อย รับรู้ถึงความ ‘ผิดแผก’ บางประการในประโยคเมื่อครู่

    และดูเหมือนว่าผู้พูดจะชะงักไปเช่นกัน

    “พีชมาแล้วววว พีชช่วยนะคะ” เสียงเด็กหญิงมาก่อนตัว ก่อนร่างเล็กจะถลามาฉวยถุงเล็กๆ พอกับกำลังของตนไปถือ เธอเกาะชายเสื้อพี่สาวตัวสูงกว่าพากันเดินเข้าบ้านไป ทิ้งแม่ไว้กับความประหลาดใจกับถ้อยคำที่ไม่คาดหวังว่าจะได้ยินจากปากลูกสาวของสามี...ที่แทนตัวเป็น ‘พี่’ ของเด็กๆ



    เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของครอบครัวภามินเลยกลับขึ้นห้องนอน หญิงสาวอาบน้ำสระผมใส่เสื้อยืดสีดำตัวโปรด หลังจากเป่าผมจนแห้งเธอก็คว้าการ์ตูนที่วางอยู่ในตู้กระจกมาเกือบสิบเล่มแล้วโยนลงเตียง ทิ้งตัวนอนหนุนหมอนพลางไขว่ห้างอ่านอย่างมีความสุข แม้จะเคยอ่านเรื่องนี้ซ้ำไม่รู้กี่เที่ยว ทว่าหนังสือที่ชอบไม่เคยทำให้ผิดหวัง เมื่อเปิดอ่านแทนที่จะรู้สึกเบื่อกลับกลายเป็นว่าได้เจอหน้าเพื่อนเก่า ที่เมื่อมาคุยกันอีกครั้งในตอนโตก็ได้มุมมองที่ต่างจากครั้งแรกรู้จัก

    ภามินนอนอ่านหนังสืออยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสียงเรียกจากโทรศัพท์ทำลายความเงียบของห้อง ตอนนั้นเองเธอถึงรู้ว่าตนเองลืมเปิดเพลงฟังอย่างที่เคยทำเป็นปกติ หญิงสาวกดรับสายวิดีโอคอล  ยกโทรศัพท์ยืดสุดแขนทั้งที่ยังนอนอยู่

    “ฮ้าย” เธอโบกมืออีกข้างทักทาย

    “อะไร้ ทำไมอยู่สภาพนี้” ผู้ที่อยู่อีกซีกโลกเลิกคิ้ว

    “ทำไมโทร.มาแต่วันเลย”

    “เอ๊า โทร.มาไวก็ผิดอีก กลัวดึกไง เดี๋ยวจะนอนดึก เซลล์ผิวไม่ฟื้นฟู”

    คนฟังหัวเราะคิก “วันนี้วันเสาร์นะ สี่จะไปไหนแต่เช้าน่ะ” 

    “ทำงานน่ะสิ” จตุรวัชรตอบ

    เธอมองผู้ที่นั่งอยู่ห่างจากกล้องวิดีโอบนคอมพิวเตอร์พอสมควร เขาใส่เสื้อยืดสีเทาทับด้วยเชิ้ตลายตารางสีแดงคาดดำ ผิดไปจากทุกวันที่ต้องสวมเสื้อเชิ้ตทรงเนี้ยบ เข้ากับเบลเซอร์หรือสูท

    “ทำไมวันเสาร์ต้องทำงาน”

    “เพราะปาป้าสั่งน่ะสิ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เวลา ขี้เกียจไปเร็วจัดๆ นั่งรอนอนรอ เบื่อ เดี๋ยวสักพักค่อยออก รอกินข้าวเช้าก่อน”

    “อ๋อ แม่บ้านทำหรือเฮาส์เมทเป็นคนทำ” เขาเคยเล่าว่าจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเป็นครั้งคราว

    “คราวนี้เมททำ สวิตรน่ะ คราวนี้เป็นเวรเขาพอดี เห็นว่าจะทำบิสกิตมันเทศ อาหารเช้าแบบหลุยเซียน่า” 

    “โอ๊ย อิจฉา ได้กินอะไรสมกับอยู่เมืองนอกเมืองนา ท่าทางหาอาหารไทยกินยากเนอะ โอ๋นะ”

    “ถ้าสมมุติสี่บอกว่า จากบ้านเดินทอดน่องไปห้านาทีเจอร้านอาหารไทยจะอิจฉามากขึ้นมั้ย คือไม่ลำบากเลย อร่อยด้วย”

    “มากกกกกก” ภามินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นี่ เมื่อยแล้ว เดี๋ยวไปเปิดคอมก่อน แล้วจะทักไป รอนะ”

    “รอสิรอ บิสกิตยังอบไม่เสร็จ ไม่ไปไหนหรอก”

    “แหม ย่ะ” ภามินกดตัดสาย ก่อนลุกขึ้นไปกดเปิดแล็ปท็อปที่เอาติดมาด้วย

    เขาเล่าให้เธอฟังแล้วเรื่องเฮาส์เมททั้งสองคน คนหนึ่งชื่อสวิตรเป็นลูกครึ่งไทยกับอเมริกันเชื้อสายฝรั่งเศสจากนิวออร์ลีนส์ รายนี้มาพักเป็นครั้งคราว ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มลูกครึ่งจีน-อิตาลี หน้าตาดี ที่จตุรวัชรเจอบ่อยกว่า เพราะเวลากลับมาจากทำงานในตอนดึก เขามักจะพบอีกฝ่ายซ้อมเต้นอยู่ยังชั้นล่าง ถ้าจำไม่ผิดเป็นนักแสดงละครเวทีบรอดเวย์ซึ่งกำลังรอผลออดิชั่นจากซีรีส์ทางโทรทัศน์อยู่ เหมือนจะชื่อลอเรนโซ แต่เห็นเรียกกันว่า ‘เรน’ อย่างกับชื่อญี่ปุ่น เรียกแลร์รี่ยังพอเข้าเค้ากว่า

    หญิงสาวกดเรียกวิดีโอคอลไปอีกครั้ง เมื่อสัญญาณเชื่อมต่อเสร็จสิ้น ภามินหลุดอุทานออกมาเมื่อพบว่าผู้ที่โบกมืออยู่บนหน้าจอไม่ใช่แฟนหนุ่มของตัวเอง

    ดีนะไม่สบถ...

    “โอ้ สวัสดีครับ” หนุ่มผมดำ หยักศก และยุ่งเหยิงอย่างเป็นธรรมชาติสวมเสื้อยืดสีขาวส่งยิ้มกว้างขวาง นั่นทำให้ดวงตาสีฟ้าสดเป็นประกาย “รอเดี๋ยวนะครับ พี่สี่ไปรับโทรศัพท์”

    “อ้อ ค่ะ” ภามินรับคำ 

    “พอดีผมขึ้นไปที่ห้องไปหยิบซีดีที่พี่สี่ขอยืมไว้ เลยเดินเอาลงมาให้ พอดีพี่เขาเดินไปคุยโทรศัพท์ บอกว่าให้ผมมากดรับให้ก่อน”

    “งี้นี่เอง” เธอพยักหน้ารับทราบ “ชื่อแพร์ค่ะ”

    “พี่แพร์แฟนพี่สี่นี่เอง ผมซาเวียร์ครับ เรียกสวิตรก็ได้ สวัสดีครับ” อีกฝ่ายค้อมศีรษะไหว้ได้สวยยิ่งกว่าบางคนที่มีเชื้อไทยร้อยเปอร์เซนต์ “พี่สี่เล่าให้ฟังอยู่ครับ ลำบากแย่เลยต้องอยู่ห่างกัน”

    “มีโทรศัพท์ มีเน็ท วิดีโอคอลอีก ไม่ลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ สบายกว่ารุ่นพ่อรุ่นแม่เยอะ”

    “ใช่เลยครับ ไม่มีเน็ตนี่แย่เลย ผมติดเน็ทสุดๆ ตอนนี้ทำงานบริษัทที่วางโครงข่ายด้านนี้ด้วย เรียกว่ารักอินเทอร์เน็ตจริงจัง”

    ภามินหัวเราะตามอีกฝ่าย “ยังไงฝากสี่ด้วยนะคะ ดีใจที่ได้คุยกัน เอ้อ แล้วฝากสวัสดีเฮาส์เมทอีกคนด้วยนะคะ ที่เป็นลูกครึ่งจีน อิตาลี”

    “เอ๊ะ” สวิตรอุทาน ดวงตาสีฟ้าหรี่ลงเล็กน้อย “อ๋อ ลอเรนโซ พี่สี่เจอแล้วหรือครับ เดี๋ยวผมฝากคำทักทายไปให้ครับ ไม่ต้องห่วงนะ”

    “เฮ้ย คุยอะไรยืดยาว” จตุรวัชรไม่มาเพียงแต่เสียง แต่ยังเบียดเพื่อนร่วมบ้านออกไปจากเฟรมในทันทีด้วย

    “ผมแค่แนะนำตัวกับแฟนพี่สี่เองนะ!” เจ้าของเสียงที่ห่างออกไปพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง “ไปละ ลงไปดูเตาอบดีกว่า ไปก่อนนะคร้าบ”

    เธอเห็นเจ้าของห้องทำปากคว่ำ ภามินเลยหลุดหัวเราะพรืด “สี่เป็นอะไร”

    “งอน แฟนไปจี๋จ๋ากับหนุ่มหล่อ” เขาสะบัดหน้าทำท่าค้อนควัก “ใช่ซี้ เขาหล่อนี่ ผิวแทน ขี่บิ๊กไบก์ ตาสีฟ้า แถมตาโตกว่าสี่อีก!”

    “โธ่ สี่ตาตี่ก็ดีแล้วน่า”

    “เพราะหล่อเอ็กโซติกใช่มะ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างคาดหวัง

    ภามินสั่นศีรษะ “เพราะถ้าสี่ตาสองชั้น แพร์ว่าสี่ต้องลองแต่งหน้าคัดเบ้าตาหนักๆ แบบฝรั่งแน่ๆ เลย”



    จตุรวัชรเก็บจานชามล้างตามหน้าที่ อันที่จริงก็แค่เอาใส่เครื่องล้างจานและใช้ผ้าสะอาดเช็ดก่อนเก็บเข้าตู้ มันเป็นกติกาที่ผู้อยู่อาศัยใต้ชายคาเดียวกันตกลงเอาไว้ ถ้าใครเป็นคนทำอาหารนอกเหนือไปจากมื้อที่แม่บ้านดูแล คนที่ไม่ได้ทำอะไรจะมีหน้าที่เก็บจานชามไปล้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก เพราะผู้ทำตามข้อตกลงนี้มีเพียงเขาและสวิตร ส่วนเพื่อนร่วมบ้านอีกคนค่อนข้างเก็บตัว และใช้ชีวิตในคนละช่วงเวลา เลยไม่เคยได้กินข้าวพร้อมกันเลยสักครั้ง

    หลังจากจัดการข้าวของเรียบร้อยดีแล้ว ชายหนุ่มก็เดินขึ้นบันไดไปหยิบกระเป๋าเป้ใส่ของจำเป็นขึ้นสะพายหลัง สวมถุงมือหนังเปลือยนิ้ว เขาหย่อนโทรศัพท์มือถือไว้ในช่องซิปเล็กของเป้หนังสีดำ จากนั้นจึงกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างสุดและหอบเอาพาหนะคู่ชีพสำหรับการดำรงชีวิตในเกาะแมนฮัตตันขึ้นมา

    จากรถสปอร์ตสีควันบุหรี่ ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้จักรยานสีเงินที่ได้มาจากเจเรมี่และกวีแทน

    มันคือวิธีการเดินทางที่เขาเคยใช้บ่อยสมัยเรียนอยู่อังกฤษ แต่พอกลับมาอยู่ไทย...สภาพถนนอันโหดร้ายและวินัยการขับขี่ยวดยานอันแสนจะโหดเหี้ยมทำให้ต้องโละโครงการขี่จักรยานไปโดยปริยาย เพิ่งจะได้มารื้อฟื้นเอาก็ตอนนี้

    หลังจากในหมวกและอุปกรณ์นิรภัยทุกอย่างแล้ว เขาจึงล็อกประตูบ้าน ขึ้นคร่อมจักรยานเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง เนื่องจากวันนี้ไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไรนัก จตุรวัชรเลยจะขี่จักรยานย้อนไปทางด้านหลังถนน ตัดเข้าถนนอีกเส้นซึ่งจุดหมายเป็นทางจักรยานเลียบสวนหย่อมริมแม่น้ำฮัดสัน จตุรวัชรตั้งท่าจะออกเดินทาง แต่พอล้อจักรยานเคลื่อนไปข้างหน้าได้เพียงครึ่งรอบ เขาก็ต้องยันเท้ากับพื้นเมื่อได้ยิน ‘เสียงเรียกเข้าพิเศษ’ ซึ่งตั้งเอาไว้โดยเฉพาะสำหรับหมายเลขสำคัญ

    และสายนี้มาจากโทรศัพท์ส่วนตัวของปันตาลิโอเน่

    “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทักก่อน “สี่กำลังจะไปครับ อีกสักครึ่งชั่วโมงถึง ไม่ได้นัดเช้านี่ครับวันนี้”

    เขาฟังผู้ที่อยู่ปลายสายสั่งความ ก่อนลอบหอนหายใจยาว เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าไปอีกรอบ และเปลี่ยนเส้นทางการขี่จักรยานในทันที

    จตุรวัชรใช้พาหนะสองล้อพาตัวเองเข้าต้นถนนฟิฟท์อเวนิว ก่อนขี่เลาะทางฝั่งตะวันตกของวอชิงตันสแควร์พาร์ค เข้าถนนธอมป์สัน ต่อด้วยถนนแกรนด์ หลังจากผ่านมากว่าสิบนาทีเขาก็ถึงร้านอาหารที่เป็นเป้าหมายของตนเอง 

    ฟุตพาธกว้างหน้าร้านเป้าหมายมีผู้คนเดินผ่านไปมา และมีบ้างที่เพิ่งเดินออกจากร้าน กันสาดโค้งหน้าร้านเป็นสีน้ำเงินเทาจากฝุ่นของเมืองหลวง แต่ข้อความสีขาวที่เขียนโฆษณาว่า ‘ของขึ้นชื่อทางร้านคือออมเล็ตและแพนเค้ก’ กลับไม่ซีดและจางลงไป เหนือขึ้นไปบนอาคารอิฐสีขาวสลับแดง มีป้ายโฆษณาตัวอักษรสีน้ำเงินบนพื้นขาวเขียนชื่อร้าน พร้อมยังระบุว่าเป็นทั้งคอฟฟี่ช็อปและร้านแพนเค้กชั้นนำ ที่มีบริการส่งถึงที่

    นั่นสิ ก็เคยให้ไปส่ง แล้วทำไมคราวนี้ต้องใช้ให้เขามาซื้อเองก็ไม่รู้

    ชายหนุ่มคล้องจักรยานล็อคไว้กับเสาไฟ ก่อนเปิดประตูกระจกเดินเข้าไปในร้านที่มีกลิ่นแพนเค้ก และอาหารเช้าชนิดอื่นๆ หอมอบอวล ชนิดที่ว่าหากไม่ได้กินบิสกิตมาแล้ว คงทรุดตัวนั่งสั่งอาหารเพลิดเพลินเป็นแน่

    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณโทนี่” เขาเอ่ยทักทายพนักงานชายวัยกลางคนซึ่งสวมผ้ากันเปื้อนสีขาว

    “อ้าว เจสซี่” อีกฝ่ายทักกลับด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง “เหมือนเดิมหรือเปล่า เอสเพรสโซดับเบิลช็อทกับสลัดกรีก”

    “ครับ แต่ขอเป็นสองแก้ว แล้ววันนี้เพิ่มเฟรนช์โทสต์เบคอนสอง ชีสราวิโอลี่สอง กับแซนวิชอะไรก็ได้ ตามใจคนทำอีกสองที่ เอ่อ ขออเมริกาโนร้อนด้วยที่นึงครับ ทานที่นี่”

    “ได้ได้” เขาส่งใบรายการอาหารให้ในครัวก่อนไถ่ถามต่อ “วันนี้เอารถมาหรือ สั่งเยอะเชียว” คนพูดชะโงกมองนอกร้านด้วยความเป็นห่วง

    “รถประจำตำแหน่ง” จตุรวัชรชี้นิ้วไปยังจักรยานคันเก่ง

    “หิ้วลำบากหน่อยนะ” ผู้อยู่หลังเคาน์เตอร์หินหัวเราะ 

    “เอาไปส่งที่บ้านปาป้าครับ แต่จะเอากาแฟไปก่อน เร่งด่วนมาก” 

    “แล้วปาป้าไม่มาเองหรือ เห็นปกติวันเสาร์หรืออาทิตย์จะมากินข้าวเช้าที่นี่”

    “งานยุ่งน่ะครับ เลยให้ผมมาแทน”

    “เป็นผู้ช่วยก็งี้แหละนะ เดี๋ยวรอกาแฟ” 

    “เพิ่มอเมริกาโนร้อน เอากลับด้วยอีกที่นะครับ”

    “ได้ ไม่มีปัญหา” พูดจบเขาก็หายไปหลังร้าน

    ชายหนุ่มถอดหมวกและวางเป้บนโต๊ะพื้นพลาสติกสีฟ้าอย่างที่หาได้ง่ายในห้างทั่วไป และเอนหลังกับเก้าอี้สแตนเลสราคาถูก จตุรวัชรไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดปันตาลิโอเน่ถึงไม่ดื่มกาแฟจากร้านใกล้ๆ ที่พักซึ่งอยู่ย่านไทรแบก้า หรือเพราะร้านอันมีโลโก้รูปนางเงือกสีเขียวนั้นมันเป็นที่รู้จักดีเกินไป ชายผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ดังถึงได้ดั้นด้นมาหาอาหารเช้ากินถึงร้านที่ตั้งอยู่ในย่านโซโห* ถัดมาจากย่านลิตเติ้ลอิตาลีสองบล็อก

    ถึงชายหนุ่มจะสงสัยเพียงใด แต่เขาไม่มีสิทธิ์ท้วงถาม ได้แต่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีเท่านั้น

    กาแฟถูกจัดเรียงใส่ถุงกระดาษพิมพ์โลโก้ร้านโดนนำมาวางอยู่บนโต๊ะในเวลาไม่นานนัก จตุรวัชรเดินไปที่เคาน์เตอร์ กดรหัสหักเงินจากบัญชีเดบิทแทนการควักเงินสดจากกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่าย เขาดื่มอเมริกาโนที่เหลือจนหมดด้วยลักษณะที่คล้ายเทลงคอเสียมากกว่า ชายหนุ่มสวมหมวก สะพายเป้ขึ้นหลังอีกครั้งก่อนเปิดประตูกระจก ปลดล็อกจักรยานและขี่ไปตามถนนลาฟาแยตต์ ตึกที่ถนนนี้คล้ายคลึงกับทั้งเกาะแมนฮัตตัน เขาได้เห็นบันไดหนีไฟทำจากเหล็กอยู่นอกตัวอาคาร และไม่ได้ซ่อนไว้ข้างหล้งอย่างที่ประเทศไทย หลายร้านมีบันไดสีดำนี้อยู่หน้าร้านกันเลยทีเดียว

    ชายหนุ่มถีบจักรยานไปเรื่อยตามถนนที่สองข้างทางมีรถจอดเรียงราย บางจุดที่เป็นลานจอดรถถึงกับต้องมีชั้นลอยให้รถจอดซ้อนขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นว่าคนแถวนี้ก็ใช้รถไม่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่รถยนต์ซึ่งจอดประชิดฟุพาธตลอดแนว ไม่ได้ทำให้คนใช้จักรยานเดือดร้อน นั่นเพราะทางจักรยานถูกตีห่างขอบถนนออกมาพอที่จะให้รถยนต์จอดชิดได้โดยไม่รบกวนเส้นทางสัญจร 

    เป็นเมืองไทยสิ ทางรถโดยสารมีรถยนต์ไปวิ่ง ทางจักรยานมีรถจอดเกย 

    ช่างเป็นชีวิตดีๆ เสียเหลือเกิน

    ท้ายสุดแล้ว...การขี่จักรยานสำหรับประชากรกรุงเทพฯ จะไม่ใช่คมนาคมทางเลือก แต่เป็นการจราจร ‘ทางเหลือ’ เสียมากกว่า คือเหลือเท่าไหร่ก็ปั่นๆ ไปอย่าคิดมาก

    แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจักรยานจะขี่รถย้อนศรได้อย่างรถมอเตอร์ไซค์บนไหล่ทางอย่างในกรุงเทพมหานคร ในเมื่อใช้ถนนร่วมกับคนอื่น ก็ต้องเคารพกฎจราจรเช่นกัน ช่วงที่ผ่านมาจตุรวัชรเลยต้องอาศัยแผนที่ระบุ GPS ในโทรศัพท์เป็นตัวนำทางในการถีบจักรยานผ่านถนนต่างๆ ในแมนฮัตตัน เพราะทั้งทางไปและทางกลับนั้นไม่สามารถใช้เส้นทางเดียวกันได้

    เขาเลี้ยวเข้าถนนเลโอนาร์ดที่เหมือนซอยเล็กๆ ซึ่งไม่มีทางจักรยานโดยเฉพาะเพื่อตัดผ่านไปยังถนนที่ใหญ่กว่า ก่อนเลี้ยวครั้งสุดท้ายที่ถนนเวสต์บรอดเวย์ เข้าสู่ทางจักรยานร่วมกับคนอื่นๆ โดยมีรถแท็กซี่สีเหลืองจอดติดกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอยู่เลนข้างๆ ไม่นานนักก็เป็นอันถึงที่หมาย

    ตึกสีแดงอิฐมีหน้าต่างเรียงรายดูไม่ต่างจากตึกอื่นๆ ในแมนฮัตตัน ผิดแต่ว่าบนยอดของตึกนี้มีอาคารสีขาวอยู่ราวกับมีคนยกบ้านทั้งหลังไปไว้บนหลังคา ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงก็เป็นบ้านทั้งหลัง ทว่ามันถูกเรียกเป็น ‘เพนท์เฮาส์’ และผู้เป็นเจ้าของก็คือปันตาลิโอเน่

    ‘ทำไมปาป้าไม่อยู่อพาร์ทเมนต์ หรือคอนโดมิเนียมที่ใหม่กว่านี้ครับ’ จตุรวัชรเคยถามด้วยความสงสัย เพราะด้วยฐานะทางการเงินอย่างอีกฝ่าย จะซื้อตึกทั้งหลังยังทำได้ด้วยซ้ำ

    ‘ก็ชอบตรงนี้’ ชายชราเชื้อสายอิตาเลียนตอบสั้นๆ ก่อนยืดตัวจากโต๊ะออกแบบในออฟฟิศเก่าย่านฟิฟท์อเวนิวและเดินมาหา ‘ถ้าสี่ได้เจอสถานที่ ที่สี่รู้สึกว่าเป็นที่ทางของตัวเอง สี่จะไม่อยากไปไหน’

    เขายังไม่เจอ เช่นนั้นเลยยังไม่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายมากพอ 

    จตุรวัชรเดินเข้าประตูเล็กๆ ซึ่งอยู่ด้านข้างตึก คนละทางกับทางเข้าร้านค้าชั้นล่าง เขาเข็นจักรยานเข้าไปข้างในทางเดินที่ดูเงียบสงบราวตัดขาดจากโลกภายนอก ก่อนจอดรถล็อกไว้กับเสา ทันทีที่ได้ยินเสียงลงล็อกจักรยาน ชายวัยห้าสิบในเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบสีฟ้าเทาก็เยี่ยมหน้าออกมาดู และส่งยิ้มกว้างให้ขวางให้ทั้งจากริมฝีปากและดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขา

    “เจสซี่!” เสียงทักทายอย่างร่าเริงและมีพลังงานเหลือล้นทำให้คนเพิ่งมาถึงยิ้มตาม 

    “กเลโต้!” จตุรวัชรเรียกชื่ออีกฝ่ายทำเอาผู้ที่สวมเครื่องแบบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหัวเราะ

    “สำเนียงเกือบได้แล้ว อีกนิดๆ” เขาบีบนิ้วชี้และนิ้วโป้งเข้าหากัน “ปาป้าเรียกหรือ”

    “แน่นอนสิครับ ว่าแต่วันนี้คุณไม่ได้เข้ากะดึกหรือ”

    “ควงสอง” เขาตอบทันทีด้วยภาษาอังกฤษติดสำเนียงของคนใช้ภาสเปนเป็นภาษาหลัก “เรย์มุนโดขอแลกตั้งแต่อาทิตย์ก่อน เพราะเป็นวันเกิดลูก สัญญาว่าจะพาไปเที่ยว” 

    “แล้วไหวหรือครับ”

    “โอย หนุ่มๆ เคยลำบากกว่านี้เยอะ” เขาหัวเราะเอิ้กอ้าก “ตอนที่ข้ามชายแดนมา ไม่มีอะไรเลย ภาษาก็ไม่ได้ หางานอะไรได้ก็ต้องทำ เคยทำงานสี่สิบแปดชั่วโมงติดไม่ได้นอนด้วยซ้ำ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเล่าความหลังครั้งเก่า แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้ฟัง แต่เขาก็ยังภูมิใจกับเส้นทางที่ตนบากบั่น

    “แต่ตอนนี้แก่แล้วนี่นา ไม่ไหวหรอก ไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ หรอกนะ” ชายหนุ่มแหย่

    “ไม่แก่ ยังเต้นไหว” พูดจบเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ก้าวเท้าอวดลีลาตามจังหวะซัลซ่า

    “โอ๊ย เอวพลิ้วๆ” จตุรวัชรเอ่ยชมจากใจ

    “ไว้เดี๋ยวสอนเจสซี่นะ” 

    ทั้งสองเดินไปด้วยกัน จนถึงที่ทำงานของชายร่างสันทัด ซึ่งคือโต๊ะและเก้าอี้ด้านหน้าลิฟต์ส่วนตัวที่จะพาขึ้นไปยังชั้นเพนท์เฮาส์ของตึก ชายหนุ่มพลิกถุงกระดาษจากด้านกาแฟดู ก่อนวางถุงหนึ่งลงบนโต๊ะระหว่างเจ้าของโต๊ะทำงานจะบันทึกประวัติคนเข้าออกตามหน้าที่

    “ซื้อกาแฟมาฝาก ไม่รู้หรอกว่าวันนี้ใครจะเป็นเวร ซื้อมาฝากไว้ก่อน”

    “เจสซีใจดี” กเลโต้ยิ้มกว้าง “ขอบคุณมาก”

    “ไม่เป็นไร ทำงานด้วยกันนี่นา ฝากจักรยานหน่อยนะครับ”

    “ไม่หายหรอก ไม่หายๆ” 

    พนักงานรักษาความปลอดภัยผลักลูกกรงเหล็กสีเหลืองทองแกมเขียวดูคร่ำคร่าออก และกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ให้ เบื้องหลังแผงเหล็กลวดลายอ่อนช้อยและดูเก่าแก่จากการผ่านพ้นยุคสมัยคือลิฟต์ตัวเล็กสะอาดสะอ้านทันสมัย แสงจากไฟแอลอีดีโทนเย็นและอุ่นผสมกันจนได้ความสว่างและสีสันคล้ายแสงอาทิตย์ด้านนอก กลิ่นหอมที่อวลอบอยู่ภายในจนรับรู้ได้ในทันทีที่ก้าวเข้าไปไม่ใช่กลิ่นของน้ำยาทำความสะอาดถูกๆ ทว่าเป็นน้ำหอมแบรนด์ดังรุ่นโปรดของเจ้าบ้าน ซึ่งซื้อให้แม่บ้านเอาไว้ฉีดหลังทำความสะอาด ชายหนุ่มเสียบการ์ดระบุตัวตนเพื่อสั่งให้ลิฟต์พาตัวเองขึ้นไปบนชั้นสูงสุด เขาโบกมือลาชายร่างท้วมนิดๆ ที่อำลากลับด้วยการโบกทั้งสองมือก่อนที่ประตูจะปิดลง

    การทำงานกับปันตาลิโอเน่ให้อะไรหลายอย่าง

    จตุรวัชรได้ทำงานที่พาตนเองไปรู้จักกับคนหลายเชื้อชาติคล้ายสมัยที่ยังเรียนหนังสืออยู่ อย่างกเลโต้ก็เป็นชาวคิวบาที่ข้ามชายแดนดั้นด้นจากไมอามี่มาทำงานในนิวยอร์ก ว่ากันตามตรงก็เป็นคนหลบหนีเข้าเมืองซึ่งท้ายที่สุดได้งานทำ และมีบ้านอยู่ในย่านความปลอดภัยต่ำ ทั้งนี้ก็เพื่อทำงานเก็บเงินส่งให้ลูกสาวทั้งสองได้เรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เพียงปรารถนาให้ลูกได้เห็นโลกกว้างไกลกว่าตนและมีทางเลือกในชีวิตมากกว่านี้ นอกจากนี้เขายังได้รู้จักกับเจ้าของร้านอาหารเชื้อสายอิตาลีอย่างแอนโทนี่ เพราะหลังจากโดนใช้ให้ไปซื้อกาแฟก็ได้คุยแลกเปลี่ยนสูตรอาหารกันอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็นสนิทสนมกันถึงขนาดเรียกชื่อต้นของกันและกัน ไม่ได้เรียกนามสกุลอย่างที่ควรเป็น

    ‘คนไทยทำไมนามสกุลยาว เรียกเจสซี่ได้มั้ย’ 

    เพราะทุกคนเอ่ยเช่นนั้น ก็เลยพากันเรียกชื่อกันไปเสียหมด

    จริงๆ เขาอยากเล่าต่อว่าต้องเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ถึงมีนามสกุลยาวได้ขนาดนี้ แต่เกรงว่าเพื่อนๆ จะงงไปเสียก่อนว่าการเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นคนจีนในไทย เป็นลูกครึ่งไทย-จีน นั้นต่างกันอย่างไร เลยเก็บคำอธิบายเอาไว้ รอเวลาเหมาะสมแล้วค่อยว่ากันอีกที

    นอกเหนือไปจากได้ทำงานกับคนหลายชาติหลากภาษา เขายังได้เรียนรู้งานในจุดที่ตัวเองได้ ‘ข้ามขั้น’ มาเสียหลายก้าว เพราะเป็นลูกเจ้าของบริษัท แม้เขาจะเคยฝึกงานในตำแหน่งปฏิบัติการมาแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

    เรื่องแรกคือชายหนุ่มได้เข้าใจคำว่า ‘รองมือรองเท้า’ ในฐานะผู้ช่วยอย่างถ่องแท้ ทำให้เขานึกขอบคุณอดีตเลขานุการของตนเองยิ่งกว่าแต่ก่อนเสียอีก การทำงานในจุดนี้แบกรับความเครียดและกดดันเอาไว้หลายประการ ทั้งต้องคาดการณ์หลายอย่างล่วงหน้า บางครั้งก็ต้องไล่ตามเก็บงานให้เรียบร้อย ดูว่าทุกอย่างจะไม่เกิดปัญหาอะไรตามมา ภาระนั้นไม่ใช่ของจตุรวัชรเพียงลำพัง สำหรับปันตาลิโอเน่ เขามี ‘ทีมผู้ช่วย’ ที่แต่ละคนก็มีความสามารถมาก ชนิดที่เคยได้ยินข่าวแว่วมาว่าเคยมีคู่แข่งมาทาบทามอยากจะซื้อตัว 

    และคนเหล่านั้นก็งงไม่ใช่น้อย ที่อยู่ดีๆ ก็มีไอ้ตี๋หน้าจืดจากเมืองไทยมาอยู่ในทีมผู้ช่วยด้วย

    จะว่าไปเขาก็ยังใช้เส้นสายอยู่ดีนั่นละ

    ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่เป็นเพนท์เฮาส์จึงเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือโถงทางเดินที่มีประตูตรงหน้า ประตูทางซ้ายมือ และทางโล่งให้เดินเลี้ยวไปทางขวา ชายหนุ่มก้าวไปตามทางกว้าง เพดานมีการติดตั้งไฟไลท์อัพเพื่อเน้นเฉพาะจุดเช่นการแสดงผลงานในแกลลอรี่ ผนังสีขาวสองฟากปิดด้วยวอลเปเปอร์ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่มีทางเหมือนใคร เพราะเส้นสายและสีสันที่ปรากฏคือแบบสเก็ตช์ชุดขึ้นชื่อและชุดโปรดของปันตาลิโอเน่ ซึ่งถูกขยายสเกลจนมีขนาดเท่าคนจริง และบางภาพก็เลือกเฉพาะจุดเด่นขยายใหญ่ไปกว่าภาพอื่นๆ 

    ครั้งแรกที่เขาเดินผ่านโถงนี้มันรู้สึกเหมือนได้เดินเข้าไปใกล้ตัวตนของชายผู้เป็นตำนานทั้งที่ยังคงอยู่ สิ่งที่โอบล้อมเขาตลอดเส้นทางที่ไม่ยาวนักคือลมหายใจของคนที่อุทิศทั้งชีวิตให้เสื้อผ้าและการออกแบบ ในสายตาของชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเรื่องน่ากลัวที่จะ ‘แบ’ ตัวเองออกมาให้คนอื่นได้รู้ได้เห็นขนาดนี้

    แต่เพราะนี่คือปันตาลิโอเน่ ชีวิต งาน คือความภาคภูมิใจที่แยกออกจากกันไม่ได้

    สุดทางเดินของแกลเลอรี่เป็นประตูบานใหญ่สีแดงสดกับมือจับสีทองเหลืองดูเก่าแก่ เขาทาบนิ้วสแกนกับแผงวงจรด้านข้างที่ซ่อนไว้แนบเนียนกลืนไปกับสีผนัง สัญญาณและเสียงปลดล็อกดังขึ้น เขาเลยเคาะเบาๆ สามครั้งก่อนผลักประตูเข้าไป ห้องสีขาวมีโต๊ะตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง มันเป็นโต๊ะตัวสูงหน้ากว้างเหมาะกับงานออกแบบซึ่งต้องการพื้นที่แผ่กระดาษเต็มโต๊ะ ด้วยเหตุนี้การที่ทั้งภาพสเก็ตช์และสีวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ผู้มาถึงเห็นความรกรุงรังนั้นแล้วอดไม่ได้ต้องเดินเข้าไปจัดให้เข้าที่เข้าทาง

    แต่บนโต๊ะทำงานของปันตาลิโอเน่ไม่เหมือนคนอื่น

    กระดาษบางชิ้นไม่ได้โดนแต่งแต้มจากสีแต่เพียงอย่างเดียว หลายแผ่นมีทั้งผ้าและลูกไม้ทากาวติดเอาไว้เพื่อจำลองแบบและเทกซเจอร์ของวัตถุดิบการผลิต บ้างก็มีลูกปัด ดิ้น หรือด้ายแปะอยู่บนพื้นสี บางชิ้นก็ถึงขนาดมีใบไม้ดอกไม้ประดับแต้มสี เป็นความงดงามของผู้ที่มีจิตมุ่งมาดในศิลปะจนเกือบจะก้าวสู่คำว่าหมกมุ่น

    แต่มันสวยงาม จนเขารู้สึกถึงพลังงานอันเปี่ยมล้นส่งผ่านทุกครั้งที่หยิบงานของปาป้าขึ้นมา จากจุดเล็กๆ ในภาพ บางสิ่งบางอย่างชัดเจนอยู่ภายใน เกิดเป็นระลอกริ้วแผ่วงกว้างออกไปจากที่ซึ่งมันเริ่มต้น งานออกแบบของชายผู้นี้ก่อทั้งความชื่นใจ ตื้นตันใจ จรรโลงใจ และบันดาลใจ

    จตุรวัชรเคารพและยกย่องปันตาลิโอเน่จากใจจริง

  • ชายหนุ่มเดินสำรวจภายในห้องอยู่ครู่ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ แต่จะให้เดินเข้าไปถึงห้องนอนส่วนตัวเจ้าของบ้านก็ไม่ควรและไม่สามารถทำได้ด้วย เขาจึงเดินย้อนออกมา เสียบการ์ด พาตัวเองขึ้นไปยังชั้นบนสุดของเพนท์เฮาส์สองชั้นแห่งนี้ ใช้เวลาเพียงครู่ลิฟต์โดยสารก็เปิดออกกว้าง ทิวทัศน์ของขอบฟ้าแห่งมหานครนิวยอร์กจู่โจมเขาทางสายตาอีกครั้งหนึ่ง เบื้องนอกของประตูกระจกบานยาวคือยอดตึกสีขาวบ้างดำบ้างตัดกับฟ้าสีเข้ม ทั้งงดงามและชวนให้อึดอัด บ้านหลังนี้แม้จะเป็นเพนท์เฮาส์สองชั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่บนยอดตึกสูงระฟ้า หากเรียกจริงๆ เป็นตึกระดับโลว์ไรซ์เสียด้วยซ้ำ หากต้องการสอดส่องความเป็นไปของคนที่อยู่ภายใน แค่ไปอยู่ตึกข้างๆ แล้วใช้กล้องส่องทางไกลก็รู้เห็นได้ไม่ยากนัก

    ‘ทำไมปาป้าไม่ไปอยู่คอนโดหรืออพาร์ทเมนต์ที่เป็นส่วนตัวกว่านี้ครับ’ จตุรวัชรถามเจ้าของบ้านอย่างตรงไปตรงมา

    ‘ถ้าจะมาอยู่นิวยอร์กและแยกตัวออกจากที่นี่เหมือนพวกคนดังเด็กๆ รุ่นๆ สมัยนี้ อย่ามาอยู่เลยดีกว่า’ ชายสูงวัยตอบกลั้วหัวเราะ ‘ที่นี่มีเสน่ห์มากกว่านั้น เราต้องใช้ชีวิต ต้องทุ่มเทชีวิตลงไปในทุกวัน เราจะรู้สึกถึงลมของหายใจของที่นี่กลับคืนมา ฉันชอบที่นี่ ไม่สูงจนแปลกแยกตัวเองออกมา แต่ก็ไม่ต่ำเกินไปจนมองเมืองจากมุมสูงไม่ได้ สี่ไม่รู้สึกหรือว่าอยู่ตรงนี้แล้วเหมือนเราโดนโอบกอดด้วยเมืองทั้งเมือง’

    ในตอนนั้นเขาไม่ได้บอกไปว่าสำหรับตน...แท้จริงแล้วคล้ายกำลังโดนเมืองโอบรัดเสียมากกว่า

    หลังจตุรวัชรเดินออกมาจากลิฟต์ ก็สอดส่ายสายตามองหาผู้เป็นเจ้านายของตนเอง และพบว่าชายสูงวัยเชื้อสายอิตาลีกำลังนั่งอยู่ใต้ร่มสีขาวที่ระเบียงด้านนอกบ้าน เพื่อรับแสงแดดยามสายอยู่ เขาถึงรีบเดินตรงไปยังประตูกระจกบานยาวที่ถูกเปิดอ้าไว้ในทันที

    “ปาป้า กาแฟครับ”

    “โอ้ สี่ ขอบใจ” ปันตาลิโอเน่ถอดแว่นสายตาและปิดสมุดบันทึกเพื่อหยิบแก้วกาแฟจากร้านโปรดที่คนเพิ่งมาถึงนำออกมาวางให้

    “ให้สี่ไปอุ่นก่อนไหมครับ”

    “ไม่ ไม่เป็นไร ขอบใจ”

    ชายหนุ่มพับถุงกระดาษเป็นสี่เหลี่ยม หมายใจว่าจะเก็บเอาไว้ใช้ในคราวอื่น ก่อนหันไปยิ้มให้ผู้ที่เดินกลับเข้ามาสมทบ โดยที่มีกลิ่นยาสูบหอมหวานติดตัวกลับมาด้วย

    “นี่ก็ไม่เลิกเสียทีมอยร่า” ปันตาลิโอเน่มุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด “บุหรี่ไม่ใช่ของดี ทำไมยังสูบ”

    “เพราะชอบค่ะปาป้า” หญิงสาวในช่วงวัยราวสี่สิบตอบ เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนเสยเส้นผมแดงราวเพลิงป่าทัดหู “นี่กาแฟของฉันใช่ไหม ขอบใจ”

    “ของคุณ” จตุรวัชรก้มศีรษะนิดๆ ให้ผู้ที่ย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มเดินถอยออกมาก้าวหนึ่ง

    เขาไม่รู้ว่า ‘เธอ’ อยู่ที่นี่ด้วย

    มอยร่าคือ ‘มือขวา’ ของปันตาลิโอเน่ ในวัยสี่สิบกว่าเธอยังดูสาว ร่ำเรียนจบด้านออกแบบเครื่องแต่งกายมาโดยตรง ผลงานในอดีตก่อนจะเข้ามาทำงานกับปันตาลิโอเน่คืองานที่ได้รางวัล จากทั้งนิตยสารและสถาบันต่างๆ ใครก็ว่าเธอคือหนึ่งในผู้สืบทอดงานของชายชาวอิตาลีหลังจากเขาวางมือเป็นแน่

    แต่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ปันตาลิโอเน่จะวางมือ

    “สี่มานั่งกินด้วยกันไหม” ชายสูงวัยเอ่ยหลังจิบกาแฟ

    “เรียบร้อยแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้ม “อีกครู่อาหารที่สั่งไว้คงมาส่ง เดี๋ยวสี่ลงไปรับให้นะครับ”

    “ขอบใจ” ปันตาลิโอเน่สวมแว่น และเริ่มเขียนบางสิ่งในสมุดต่อ “เอ้อ มีคนรอเจอ อยู่ในห้องนั่งเล่น”

    “ครับ?” อีกฝ่ายไม่ขยายความ แต่กวัดมือไล่ให้เขาไปดู และเริ่มคุยกับผู้ช่วยต่อ

    จตุรวัชรเดินเข้าไปในห้องกระจก ก่อนเลาะไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งมีโซฟาสีแดงตั้งอยู่ตรงกลางแวดล้อมด้วยทิวทัศน์ของเมืองในอีกมุมหนึ่ง ทันทีที่เขาเปิดประตูเสียงเห่าต่ำๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับเงาร่างอันใหญ่โตที่กระโดดผลุงลงมาจากโซฟาและปะทะเข้ากับร่างของเขาในทันที

    สุนัขสีน้ำตาลแกมเทาตัวใหญ่ หนา พยายามกระดิกหางกุดที่เหลือแต่โคนสองถึงสามข้อกระดูกอย่างสุดชีวิต ดวงตาสีเข้มของมันราวกับมีประกายทองปรากฏเมื่อเห็นหน้าของเขา มันครางพลางเห่าต่ำด้วยเสียงคล้ายรอบเครื่องยนต์อยู่ไม่กี่ครั้ง ก่อนเงียบสงบ โดยที่ก้นยังส่ายไปมาแทนการสะบัดหาง

    “แม่บ้าน นั่งลง” 

    สัตว์ลูกผสมระหว่างหมาป่าในตำนานกับสุนัขสามหัวเฝ้าประตูนรกนั่งลงบนขาหลังอย่างเรียบร้อยเมื่อชายหนุ่มทำสัญญาณมือประกอบ มันส่งสายตาหวานเชื่อม ขัดกับความน่ากลัวปนขบขันของปากดำ ทู่ ห้อยย้อย และเขี้ยวซ้ายที่เกออกมาจนเก็บในปากไม่มิด มันเป็นสุนัขที่มีเอกลักษณ์เพราะเป็นพันทาง ถ้าข้อมูลที่เรื่องเชื้อสายที่ทางเชลเตอร์ดูแลสัตว์แจ้งไว้ไม่ได้ระบุผิดพลาด มันน่าจะเป็นบอกเซอร์ผสมกับมาสทิฟฟ์ ถึงได้มีทั้งความแน่นของกล้ามเนื้อและเพรียวบางอย่างนักกีฬาอยู่ในตัวเดียว

    แต่เขาไม่ได้บอกว่าเพราะอะไรเขี้ยวมันถึงเกและหน้าตาดูงั่งได้ขนาดนี้

    ปาป้ารับมันมาเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อนตั้งแต่มันเริ่มเข้าวัยชรา โดยก่อนหน้านี้มันติดอยู่ในศูนย์พักพิงสัตว์เอกชนในนิวยอร์กมาเป็นเวลานาน ชายสูงวัยเคยเล่าว่าเขาเดินเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์ขณะเดินเล่นอยู่ในเมือง แล้วก็พบเธอผู้เป็นเพื่อนตายอยู่ในนั้น ทันทีที่สายตาประสานเขาก็รู้ในทันทีว่าจะไม่ปล่อยให้เธอจากไปไหนอีก

    ด้วยความที่สนิทชิดเชื้อกันมาก เขาเลยเรียกเธอว่า คุณแม่บ้าน มิสเมด เมด มาดาม แล้วแต่ว่าจะพอใจเรียกชื่อใด... นั่นทำให้จตุรวัชรนึกสงสัยในเซนส์การตั้งชื่อของผู้เป็นเจ้านายอย่างยิ่ง

    “คนสวย เช้ากินอะไรหรือยัง” เขาลูบหัวที่ประกอบด้วยกะโหลกหนาอย่างอ่อนโยน มันคำรามเสียงหนักๆ ในคอ ก่อนเอาหน้าถูไถมือจนพอใจ

    แล้วเสียง ‘หม่าว’ ก็ดังขึ้นจากโซฟาที่อยู่ด้านหลัง 

    วัตถุหนัก แน่น และนุ่มนิ่มอย่างยิ่งถือวิสาสะกระโดดขึ้นมายืนตระหง่านอยู่บนบ่า เจ้าตัวดีที่ร้องเสียงอ่อนเสียงหวานเอาแก้มไถหน้าเพื่อปล่อยกลิ่นแสดงความเป็นเจ้าของ และต้องการประกาศเจตนารมณ์ว่าจะแย่งชิงมนุษย์ผู้นี้เป็นของตนเอง สุนัขอย่ามายุ่ง

    “แองเจโล!” คนโดนปีนทำเสียงดุแมวลูกผสมวิเชียรมาศหน้าน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ แผงคอที่มีขนยาวระดับกลางเบียดกันแน่นนั้นเป็นสีขาวนวล ตัดกับทั้งตัวที่เข้มเท่าหน้า ลักษณะแบบนี้เรียกกันว่าซีลพอยตน์เป็นสีที่พบเจอได้มากที่สุด แต่เขาก็เพิ่งเคยเห็นตัวที่ดำได้ขนาดนี้... 

    มันเอียงหัวกลมๆ ของตนทำหน้าบ้องแบ๊ว ดวงตาโตเป็นสีฟ้าสดใสราวกับท้องฟ้าที่มีประกายวิบวับอยู่ภายใน และค่อยๆ ทรุดตัวลงนอนพาดอยู่กับบ่าราวกลายร่างเป็นผ้าพันคอ

    สำหรับเจ้าตัวนี้ เขาไม่สงสัยเรื่องการตั้งชื่อเลยแม้แต่น้อย

    แองเจโล หรือ แองเจิล บอย เป็นเทวดาตัวน้อยๆ ที่ปันตาลิโอเน่ได้มาจากเชลเตอร์เดียวกัน เขารับมันมาเมื่อปีก่อนขณะมีอายุได้ราวหกเดือน และยกให้มาดามคนสวยเป็นลูกชายของสุนัขบาสทิฟฟ์ (มาจากบอกเซอร์บวกมาสทิฟฟ์ เขาคิดเอง) แม้สัมพันธภาพของทั้งคู่จะดีแสนดี กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ใส่เชือกจูงไปเดินเล่นในสวนข้างล่างด้วยกัน แต่กับเขาพวกมันก็ยังแข่งกันแย่งความรักอยู่ดี

    “ท่าทางหิวอีกรอบ” เสียงปันตาลิโอเน่ตะโกนมาจากข้างนอก “สี่ให้ข้าวมันหน่อย วันนี้แม่บ้านจะมาช้า เธอบอกไว้ ให้ข้าวเสร็จแล้วมาที่โต๊ะนี่นะ”

    จตุรวัชรเดินผ่านห้องอาหารเข้าไปยังห้องครัว โดยมีแมวพาดคอและมีสุนัขตัวใหญ่เดินตามมาติดๆ ชนิดที่ว่าถ้าหยุดเดินหน้ามันจะปักเข้าขา เมื่อถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาจะกลิ้งหรือมันจะล้มกันแน่

    ชายหนุ่มเปิดบานกระจกขุ่นของตู้เหนือเคาน์เตอร์ครัว เขาหยิบเอาโหลพลาสติกใสฝาสีชมพูข้างในบรรจุอาหารเม็ดเกรดสุดยอดของสุดยอดพรีเมี่ยมออกมาเทลงบนชามกระเบื้อง ซึ่งวางอยู่บนขาตั้งเหล็กความสูงพอดีตัวของสุนัข โดยมีชามข้างๆ เป็นน้ำกรองสะอาด

    เขาเก็บอาหารสุนัขแล้วหยิบโหลหน้าตาเหมือนกันเพียงแต่มีฝาสีฟ้าออกมา เจ้าตัวที่นอนนิ่งอยู่บนบ่ามาพักเริ่มร้องเมี้ยวม้าวออกอาการบ้าง เขาเลยหยิบมันลงไปวางที่พื้น ก่อนเทอาหารแมวเกรดพรีเมี่ยมจนไม่รู้จะพรีเมี่ยมยังไงแล้วลงในชามกระเบื้องสะอาดบนขาตั้งเตี้ยกว่า ซึ่งวางอยู่ไม่ห่างจากมุมกินข้าวของแม่บ้านที่เป็นสุนัข

    คนให้อาหารเก็บข้าวของและล้างไม้ล้างมือเรียบร้อย เอาเอาสะโพกวางพิงเคาน์เตอร์ครัว มองสัตว์ทั้งสองกินข้าวเช้าอย่างมีความสุขโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาขอบคุณเขาเลยสักคำ

    นี่คืองานหนึ่งของจตุรวัชรในฐานะผู้ช่วยปันตาลิโอเน่

    เลี้ยงหมาและแมว


    จบบทที่ ๑๗



    SoHo ย่อมาจาก South of Houston Street และอ้างอิงถึงย่าน soho ในเขตเวสต์เอนด์ ของลอนดอน ประเทศอังกฤษ

    The Devil Wears Prada นวนิยายของ Lauren Weisberger ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี ๒๐๐๖ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอกหญิงที่ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของบรรณธิการนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in