ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อ‘หนูนา’ ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปน‘เป่ยเป้ย’
ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า
“ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”
หนูนาตอบโดยทันทีว่า
“ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”
ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า
“โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”
กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า“โอ๊ยยพวกจืดชืด”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....
“Family is a gift that lasts forever ”
“ครอบครัวเป็นของขวัญที่คงอยู่ตลอดกาล”
ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทาง พร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียน วิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อ‘หนูนา’ ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปน‘เป่ยเป้ย’
ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า
“ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”
หนูนาตอบโดยทันทีว่า
“ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”
ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า
“โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”
กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า“โอ็ยยพวกจืดชืด”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....
เมื่อกวางกลับถึงคอนโดที่อาศัยอยู่คนเดียว เธอเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ได้รู้สึกอยากอ่านหนังสือหรือแม้แต่ดูหนังเธอจึงเลือกสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยๆและมาหยุดที่โพสของหนูนาในเฟสบุ๊คที่ลงรูปกินข้าวกับครอบครัวพร้อมรอยยิ้มสดใสตามแบบฉบับยัยหนูนา โพสนี้ทำให้กวางหยุดชะงักไปชั่วครู่ เธอไม่ได้รู้สึกอิจฉาหรืออย่างใด แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่เห็นกิจกรรมที่ผู้คนทำร่วมกับครอบครัว เพราะ ถ้าให้พูดตามตรงตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา กวางแทบไม่ได้อยู่กับที่บ้านเลย อาจจะแค่2 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ หรือบางครั้งก็ไม่ได้เจอเลยเป็นอาทิตย์ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ อาจจะเป็นเพราะเธอชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อน ออกไปสังสรรค์เที่ยวเล่นมากกว่า นานๆทีจะโทรไปหาแม่คุยเล่นสองสามนาทีก็วาง แม้แต่ตอนที่เธอไปเรียนเมืองนอกเป็นเดือนๆห่างไกลกันเรียกได้ว่าอีกซีกโลกหนึ่งเลยก็ได้ แต่โทรคุยยังน้อยพอๆกับเธออยู่ไทยหรืออาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ กวางย้อนคิดเมื่อตอนอยู่เมืองนอก รูมเมทคนนึงถามเธอด้วยความสงสัยว่า
‘ไม่เห็นเธอโทรหาที่บ้านเลยไม่คิดถึงพ่อแม่เหรอ’
กวางตอบกลับชิวๆพร้อมหัวเราะว่า
‘ก็เฉยๆนะ’
รูมเมทของเธอมองกลับด้วยความสงสัยเป็นสีหน้าที่กวางชินแล้ว สีหน้าที่แสดงถึงความคิดที่ว่าบ้านของกวางอาจจะมีปัญหาหรือเธออาจจะมีเรื่องขุ่นเคืองกับที่บ้านก็เป็นได้
แต่ความจริงแล้วกวางแค่รู้สึกสนุกกับเพื่อนฝูงมากกว่า เธอมีมุมมองโลกในแบบที่ว่าควรใช้ชีวิตให้สุดกับทุกเรื่องไม่ควรพลาดโอกาสต่างๆเพราะมันอาจมาแค่ครั้งเดียว แต่ครอบครัวกลับไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ว่ากวางมักจะตอบรับคำชวนไปเที่ยวจากเพื่อนๆตลอด ครั้งนี้ก็เช่นกัน...คืนวันศุกร์ที่เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นวันฮอตฮิตที่คนส่วนใหญ่จะนัดกันออกไปเที่ยว ก็เหมือนที่เพื่อนของเธอเพิ่งไลน์มาชวนกวางออกไปปาร์ตี้ที่ข้าวสาร แต่ครั้งนี้กวางรู้สึกลังเลเนื่องจากเธอบอกแม่ไว้แล้วว่าจะกลับบ้านวันนี้ แต่เมื่อเพื่อนของเธอคะยั้นคะยอแถมลิสรายชื่อคนไปวันนี้ในรายชื่อมีแต่เพื่อนสนุกๆตลกๆที่เธอไม่เคยเที่ยวด้วย กวางจึงตัดสินใจว่าเออไปก็ไป! เพราะก็ไม่เคยเที่ยวกับเพื่อนบางคนเลย
ลองไปดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร
ตกดึกระหว่างที่กวางและเพื่อนของเธอกำลังเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง เพื่อนคนนึงที่กลับมาจากคุยโทรศัพท์พร้อมหน้าเคร่งเครียด ด้วยความอยากรู้กวางจึงถามออกไป
“บิวเป็นไรวะเครียดเชียว”
บิวตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่ดีนักว่า
“พ่อเพื่อนกูเสียว่ะเพื่อนโทรมาร้องไห้ใหญ่เลย”
คำตอบสั้นๆของบิวเหมือนระฆังตีบางอย่างในใจกวาง อยู่ๆเธอก็คิดถึงหน้าพ่อแม่ของเธอขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุและ
เพื่อนๆต่างแปลกใจที่กวางหยิบกระเป๋าแล้วสะพายพร้อมจะออกจากร้าน
เพื่อนคนนึงเอ่ยถามว่า
“เอ้ากลับบ้านหละหรอ”
“เออใช่จะกลับบ้านแล้ว” กวางตอบ
ความหมายของคำว่า‘บ้าน’ ของเพื่อนคงจะหมายถึงคอนโดตรงราชเทวีแต่สำหรับกวางเธอกำลังคิดถึง‘บ้าน’ ที่เป็นบ้านของเธอจริง
เมื่อถึงบ้านก็เป็นเวลาตี2 กว่าๆได้แล้วกวางไขประตูเข้าบ้านและเดินขึ้นห้องนอนที่แม่เธอนอนอยู่เปิดประตูให้เบาที่สุดแต่ถึงแม้จะเบาแค่ไหนแม่ของกวางก็ยังได้ยิน แม่มีท่าทีตกใจลุกขึ้นนั่งพร้อมถาม
“พ่อเหรอ”
กวางตอบไปว่า
“เปล่าแม่หนูเอง”
และกระโดดขึ้นเตียงและกอดแม่แน่น แม่ไม่ได้พูดสิ่งใดตอบถึงแม้จะยังตกใจอยู่ก็ตาม แต่แม่ก็กอดตอบแน่นจนกวางรู้สึกได้ถึงความคิดถึงที่แม่มีให้เธอ
ช่วงเวลานี้มันทำให้กวางได้รู้ว่าตลอดเวลาที่เธอคิดว่าไม่อยากพลาดประสบการณ์กับคนต่างๆจนทำให้ในหลายครั้งเธอละเลยโอกาสที่จะได้อยู่กับครอบครัวโอกาส ที่เธอไม่เคยมองว่ามันเป็นโอกาสด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อวันหนึ่งมันผ่านไปและเธอไม่ได้ใช้โอกาสเหล่านี้มันอาจจะสายเกินไป และ สิ่งที่ทำได้ตอนนั้นอาจจะเป็นแค่การโทรไปร้องไห้ฟูมฟายก็เป็นได้
ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หญิงสาวสามคนเดินคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของทั้งสาม หญิงสาวคนแรกชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย เช่นเดียวกับหญิงสาวตรงกลางหรือรู้จักกันในชื่อ‘หนูนา’ ส่วนคนสุดท้ายนิสิตเอกสเปน‘เป่ยเป้ย’
ระหว่างเดินไปบีทีเอสกวางเอ่ยถามเพื่อนๆว่า
“ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”
หนูนาตอบโดยทันทีว่า
“ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”
ส่วนเป่ยเป้ยลังเลสักพักก่อนตอบว่า
“โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”
กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า“โอ๊ยยพวกจืดชืด”
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....
หลังจากแยกย้ายกับเพื่อน ฉันก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที อันที่จริงฉันก็เหมือนคนอื่นๆแหละ มีไปเที่ยวไปกินต่อกับเพื่อนบ้างหลังเลิกเรียน แต่ไม่บ่อยนัก เพราะ ฉันรู้ว่าที่บ้านมีกับข้าวแสนอร่อยฝีมือแม่รออยู่ อีกอย่างบ้านฉันก็อยู่ไกลด้วย ถ้าไม่มีงานหรือกิจกรรมต่อก็จะรีบกลับบ้านทันที ฉันอยู่กับพ่อแม่และน้องชาย ฉันแทบไม่เคยห่างพวกท่านเลยไม่เคยอยู่หอหรือต้องไปเรียนที่ไหนไกลๆเรียกได้ว่าใกล้ชิดกันมาก ครอบครัวของฉันมักจะทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน
“หนูนาวันนี้เรียนเป็นไงบ้างเหนื่อยไหม”
แม่เอ่ยถามขณะที่กำลังกินข้าวกันอยู่
“ก็สนุกดีค่ะแต่งานเยอะมากใกล้สอบแล้วด้วย”
ฉันตอบกลับ
“ตั้งใจอ่านหนังสือทำงานและอย่าลืมพักผ่อนด้วยนะลูก”
พ่อพูดขึ้นฉันยิ้มพร้อมพยักหน้าเป็นการตอบกลับ เรามักจะทานข้าวพร้อมกับพูดคุยถามไถ่เรื่องราวกันเป็นประจำ
เพื่อนมักมองว่าดูจืดชืดใช้เวลาอยู่แต่กับครอบครัว แต่ฉันไม่รู้สึกแบบนั้น กลับชอบด้วยซ้ำหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนการเดินทางและเรื่องราวข้างนอก
บ้าน เป็นเหมือนที่พักพิง เป็นที่ที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ฉันชอบช่วงที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว หลายครั้งที่ฉันก็อดใจไม่ได้ต้องถ่ายเก็บภาพช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ การที่ครอบครัวฉันมีการพูดคุยกันเสมอ ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นและยังได้รับรู้เรื่องราวที่แต่ละคนพบเจอในแต่ละวัน หรือช่วงที่มีปัญหาเราก็พร้อมจะผ่านมันไปด้วยกัน เราจะคอยให้กำลังใจกันและกันทำให้รู้สึกได้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวหรืออยู่ตัวคนเดียว หลังจากทานข้าวกันเสร็จเราก็จะนั่งดูโทรทัศน์กันก่อนจะแยกย้ายกันเข้านอน
ฉันมักจะไถโทรศัพท์ก่อนเข้านอน ก็เจอกวางเช็คอินที่ข้าวสารกับเพื่อนๆดูท่าทางน่าสนุก อันที่จริงการที่ฉันอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากบางครั้งก็รู้สึกเหมือนไม่มีอิสระ เมื่อก่อนฉันเคยไม่เข้าใจ ครั้งหนึ่งฉันเคยขอแม่ไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนๆตอนนั้นแม่ดุหนักมาก แต่สุดท้ายก็ยอมให้ไป หลังจบงานแม่ก็คอยโทรตามตลอด ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจทำไมแม่ไม่ยอมให้ไป เพื่อนก็เยอะแยะ แต่พอได้ลองไปก็รู้ว่ามันค่อนข้างอันตรายทั้งดึกมืดแล้วคนก็เยอะมากที่แม่บ่นหรือโทรตามทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงนั้นแหละ การกระทำบางอย่างของพ่อแม่ที่เราไม่เข้าใจที่จริงมันก็มีเหตุผลของมันอยู่หลังจากวันนั้นเวลาพ่อกับแม่ดุหรือบ่นอะไรฉันก็เข้าใจมากขึ้น บ่อยครั้งที่เพื่อนมักจะชอบมาบ่นให้ฟังว่าทะเลาะกับพ่อกับแม่เพราะไม่เข้าใจนู้นนี้บ้าง
ฉันก็มักจะบอกให้ลองมองในอีกมุมบ้าง ลองทำความเข้าใจพวกท่านบ้าง เช่นเดียวกับเพื่อนที่บอกไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวแต่ก็เห็นมีเวลาให้กับเพื่อน เข้าใจได้แหละช่วงวัยนี้เราก็มักจะติดเพื่อนมีสังคมของตัวเองฉันเองก็เป็นแต่ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็มักจะหาเวลาให้กับครอบครัวเสมออย่างน้อยวันละไม่กี่ชั่วโมง ก็ยังดีฉันชอบที่จะได้ใช้เวลารวมถึงใส่ใจกับคนใกล้ตัว ยิ่งเป็นคนติดครอบครัวด้วยแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเลยคงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
ถึง
ป๊าและหม่าม้าที่รัก
กว่าจดหมายฉบับนี้จะมาถึงมือป๊าและหม่าม้า หนูก็คงถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนูไม่เคยคิดเลยว่าระยะเวลาสองเดือนจะเป็นเวลาที่ยาวนานขนาดนี้...หนูนั่งนับวันรอที่จะได้เจอป๊ากับหม่าม้าทุกวันเลย.....
ขณะนี้เวลาที่ประเทศสเปนเป็นเวลาสองทุ่มสี่สิบห้านาที แต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกเลย ที่นี่มืดช้ามากจนหนูลืมเวลากลับบ้านทุกทีฮ่าๆ ตอนนี้ป๊ากับหม่าม้าคงนอนหลับฝันหวานกันไปแล้วซีนะ นอกเรื่องไปซะยืดยาว มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า
ที่หนูเขียนจดหมายฉบับนี้มาเพราะหนูต้องการจะเขียนคำขอโทษต่อป๊าที่หนูพูดจาไม่ดีกับป๊าก่อนขึ้นเครื่อง หม่าม้าโทรมาบอกหนูว่าป๊าเสียใจมากที่ลูกเข้าใจผิดคิดว่าป๊าไม่รักลูก...ก็นั่นแหละหนูรู้สึกผิดจริงๆที่หนูคิดมาตลอดว่าป๊าไม่รักหนู.. ก็ป๊าชอบขึ้นเสียงและพูดเสียงดังใส่อยู่ตลอดหนูเลยอารมณ์เสียและพูดจาแย่ๆใส่ป๊าในวันนั้น...แต่หม่าม้าก็โทรมาบอกว่าที่ป๊าเสียงดังป๊าไม่ได้ตั้งใจบางทีป๊าก็ขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว ป๊ายังมาปรับทุกข์กับหม่าม้าอยู่เสมอว่าทำอย่างไรดีให้ลูกไม่คิดน้อยใจคิดว่าป๊าไม่รักเขา หนูทราบจากหม่าม้าว่าป๊าเครียดมาก หนูทราบว่าป๊าเป็นห่วงหนูมากๆตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ต่างประเทศ ป๊าโทรมาหาหนูตลอดคอยส่งข้อความให้กำลังใจหนูในวันที่หนูเจอเรื่องแย่ๆ ป๊าเป็นพลังงานบวกของหนูให้หนูสู้อยู่ทุกวัน และหนูเพิ่งมาทราบความจริงว่าป๊าก็น้อยใจเหมือนกันที่หนูสนิทกับหม่าม้ามากกว่ามีอะไรก็คุยปรึกษาหม่าม้าตลอด.. นี่เราสองคนกำลังเข้าใจผิดกันไปกันมาหรือเนี่ยฮ่าๆ ที่หนูไม่คุยกับป๊าเพราะหนูกลัวว่าป๊าจะว่าจะดุหรือเปล่าต่างหาก ความจริงแล้วหนูรักป๊าไม่น้อยกว่าที่รักหม่าม้าเลย...ไว้กลับไทยเราต้องคุยกันเยอะๆแล้วนะคะป๊า และสุดท้ายนี้ ป๊ากับหม่าม้ารู้อะไรไหม ตอนที่หนูมาอยู่ที่นี่หนูได้เจอพฤติกรรมที่แย่ๆของเพื่อนหลายๆคนได้เจอคนหลายรูปแบบ เช่นคนที่ช่วยเราเพราะหวังผลตอบแทน เป็นต้น มันทำให้หนูทราบว่าคนที่จริงใจและรักหนูอย่างแท้จริงคือป๊าและหม่าม้าเท่านั้น...ป๊าและหม่าม้าคือบ้านที่หนูอยากกลับไปหาอยู่เสมอ
ปล. ขอบคุณกำลังใจจากป๊าและหม่าม้ามากๆค่ะในวันที่หนูเจอเรื่องเจอเพื่อนแย่ๆในประเทศนี้กำลังใจจากป๊าหม่าม้าเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาหนูได้เสมอเลย
ด้วยรักและคิดถึง, เป่ยเป้ย
14 กรกฎาคม2019 เวลา20.45 น. ณกรุงมาดริดประเทศสเปน
จดหมายฉบับนี้มาถึงประเทศไทยตอนที่ฉันกลับถึงประเทศไทยมาได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว....
ณ ตึกหน้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉันและเพื่อนสองคนคุยหัวเราะเสียงดังมาตามทางพร้อมรอยยิ้มแห่งความสุขหลังจากเลิกเรียนวิชาThai prose write วิชาโปรดของเราทั้งสามคน เพื่อนฉันชื่อว่า‘กวาง’ นิสิตเอกภาษาไทย เช่นเดียวกับเพื่อนอีกคนชื่อ‘หนูนา’ และ ฉัน‘เป่ยเป้ย’ นิสิตเอกสเปน
ระหว่างเดินไปบีทีเอส กวางเอ่ยถามฉันและหนูนาว่า
“ไปร้องเกะต่อกันไหมเพื่อนๆ”
หนูนาตอบกลับทันทีว่า
“ไม่ได้จ้ะเราจะรีบกลับไปทานข้าวกับที่บ้านอ่ะ”
ฉันกำลังจะตอบเพื่อนแต่แล้วข้อความในไลน์ครอบครัวก็เด้งขึ้นมา
[LINE]
ป๊า: ได้รับจดหมายแล้วนะครับ
หม่าม้า: ลูกทำเอาซึ้งเลยนะเนี่ย
ป๊า: ต่อไปป๊าต้องสนิทกับลูกให้มากๆซะแล้วล่ะฮ่าๆ
หม่าม้า: วันนี้ป๊าไม่ออกไปไหนเลยนะเป้ยสงสัยอยากจะให้ลูกเปิดNetflixให้ดู
ฉันอ่านข้อความพร้อมรอยยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า
เป่ยเป้ย: ได้ค่ะดูหนังกันเป้ยยอมไม่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนเพื่อป๊ากับม้าเลยนะเนี่ย
ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพร้อมตอบยัยกวางไปว่า
“โอ้ยยยอยากไปมากกกแต่เอาไว้คราวหน้าค่อยนัดกันเนอะ”
กวางเมื่อได้ฟังคำตอบก็กรอกตามองบนพร้อมพูดว่า
“โอ้ยยยพวกจืดชืด”
หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็ลากันเมื่อถึงสถานีรถไฟฟ้าBTS และแยกกันกลับบ้านคนละทาง.....
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in