เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sad birds still flyWanjai
เมื่อเดินทางมาถึงจุดที่เครียดที่สุดในชีวิตอีกครั้งนึง
  • ยอมรับว่าตลอดชีวิตการทำงาน 3-4 ปีีที่ผ่านมา 
    ไม่เคยรู้สึกว่าอยากจะหนีเท่านี้มาก่อน
    ตอนนี้เราทำงานอยู่ที่บริษัท IT แห่งนึง ที่เป็น Start up และมีเงินลงทุนที่สูงลิบลิ่วระดับหลายร้อยล้าน
    แต่สาเหตุหลักที่ทำให้รู้สึกแย่ทุกลมหายใจก็คือ
    "การดำเนินธุรกิจของบริษัท"
    เราในฐานะพนักงาน ไม่เคยอยากไปก้าวก่ายการทำงานของผู้บริหารแต่อย่างใด
    ติดตรงที่ว่าบริษัทเราไม่ใหญ่ พนักงานไม่เยอะ และการทำงานที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก
    เรียกได้ว่า ทำอะไร รู้หมด
    เราในฐานะคนที่ต้องเจอลูกค้า รับฟีดแบ็คจากลูกค้ามากที่สุด
    ยังคงไม่เห็นหนทางจะทำให้บริษัทมีรายได้แบบอู่ฟู่ขึ้นมาเพื่อคืนทุนได้เลยแม้แต่นิดเดียว
    ทุกครั้งที่เราแจ้งปัญหาของตัวสินค้าที่ได้รับมาจากลูกค้าโดยตรง
    ว่าสินค้ามีราคาสูง อยู่ในช่วงทดลองใช้งานแล้วสินค้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาต่อหน้าลูกค้า
    หรือแม้แต่คุณสมบัติของสินค้าไม่ตอบโจทย์ที่ลูกค้าต้องการซึ่งมาจากข้อจำกัดของสินค้าเอง
    ก็มักจะได้คำตอบจากฝ่ายบริหารว่า

    "ยูคุยกับใคร ยูไปศึกษา Organization chart ของบริษัทนั้นมารึยัง ใครมีอำนาจตัดสินใจ
    ยูยังศึกษาไม่พอ ของเราดีอยู่แล้ว พี่อยากได้เหตุผลจริงๆ ว่าทำไมเค้าไม่ซื้อ" 

    ก็บอกอยู่นี่ไง ว่าเค้าไม่ซื้อเพราะมันไม่ตอบโจทย์ จะเอาอะไร
    เกิดมาไม่เคยเจอคนรั้น ไร้เหตุผลเท่านี้มาก่อนเลย
    พอพูดตามตรงว่าสินค้ามีข้อจำกัด ก็ไม่เคยยอมรับความจริงสักครั้ง
    ไม่เคยแม้แต่จะคิดแก้ปัญหา เอาแต่ไล่ให้ไปหาเหตุผลที่แท้จริงมา แล้วจะมาเอาอะไร
    ไม่มีอะไรจริงเกินกว่าที่ลูกค้าบอกเหตุผลตรงๆ ออกมาแล้ว
    อยากจะถามฝ่ายบริหารกลับว่า

    "เป็นพี่ๆ ซื้อไหม ตัวละหมื่นสองหมื่นกับคุณสมบัติแค่นี้เนี่ย 
    แถมเสียบ่อยอีกต่างหาก ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหนแล้ว"

    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ถ้าในแง่ของนิสัยส่วนตัวของฝ่ายบริหารหรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน
    ดีมาก ดีมากแบบมีความสุข สนุกสนานทุกวัน 
    แม้เราไม่มีเพื่อนร่วมงานที่รุ่นๆ เดียวกันเลย เริ่มต้นก็ 30 กว่าไปจนถึงเกือบเกษียณ
    แต่ไม่เคยรู้สึกแย่ เพราะทุกคนน่ารักจริงๆ
    ติดตรงที่ความคิดในการดำเนินธุรกิจงี่เง่าๆ นี้มันกัดกินใจเรา จนเราอยากหนีไป
    เราเริ่มรู้สึกไม่ไหวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ดันทุรังแบบนี้
    รู้สึกแย่จนแทบนอนไม่หลับ ความสดใสในตัวเองหายไป
    ความเครียดเข้ามาทดแทนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
    เราขำยากขึ้นกับเรื่องเดิมๆ เพราะมีความเครียดครอบงำความคิดและจิตใจอยู่
    เรายังมองอนาคตไม่ออกว่าจะต้องทนเรื่องงี่เง่านี้ไปอีกนานแค่ไหน
    ปีหน้าบริษัทยังคงยืนยันคำเดิมคือจะทำธุรกิจแบบนี้ต่อไป
    แม้รายได้ที่เข้ามาบริษัทจะแทบไม่มีเลย 
    ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลเหลือเกินต่อความมั่นคงในชีวิต

    เราขอภาวนาให้เรื่องเหล่านี้จากเราไปสักที ทางใดก็ทางหนึ่ง วันใดก็วันหนึ่ง...

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in