ใช้เวลามาทั้งชีวิตเพื่อจะคิดได้ว่า
"ชีวิตนี้มันยากจัง"
มันยากที่เรามีรัก มีอิจฉา มีความทะเยอทะยาน มีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
เหนื่อยมากเลย เหนื่อยมานานมากแล้ว
ตั้งแต่ที่เราระลึกได้ว่าคนสำคัญในชีวิตสองคนไม่อยู่กับเราแล้ว เรายิ่งอยากไปไกลๆ
คนแรกคือ อากง ผู้ซึ่งตอนสมัยเราวัยรุ่นชอบโทรมาหาเราตอนกลางวันแบบไม่มีเหตุผล
แค่เพียงโทรมาถามว่าเป็นไงบ้างลูก แล้วเราก็รีบๆ ตอบไปแล้วรีบๆ วาง เพราะไม่มีอะไรจะพูด
พอโตขึ้น ชีวิตมันยาก เราอยากปรึกษาใครสักคน
เราเพิ่งมาคิดได้ว่าเพียงแค่คำถามง่ายๆ เช่น เป็นยังไงบ้าง?
มีสักกี่คนที่ถามเราเพราะอยากได้คำตอบจากเราจริงๆ
คนส่วนใหญ่มักจะถามเพียงเพราะรอให้ถึงตาตัวเองได้ตอบ ในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด
แต่เค้าไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ ด้วยซ้ำว่าเราเป็นยังไง
มีแต่อากงเท่านั้นแหละที่ถาม และรอคำตอบจริงๆ
กว่าเราจะคิดเรื่องแบบนี้ได้ก็ใช้เวลานานนับปี
กว่าจะสำนึกได้ว่าทั้งชีวิตนี้นอกจากเค้า ก็ไม่มีใครอยากรู้แล้วว่าเราเป็นยังไงก็สายเกินไป
คนที่สองคือ น้องโฟลโด้ หมาพันธุ์อิงลิชค็อกเกอร์ที่พ่อเอามาให้เลี้ยงตอนน้องแก่แล้ว 2
แม้น้องจะไม่ขี้อ้อนเลยสักนิด แต่เรารักน้องมากเพราะน้องอยู่กับเราในวันที่แย่ที่สุดในชีวิต
หมาเป็นสัตว์ที่ไร้เดียงสาที่สุดในโลก
ตั้งแต่ได้น้องมาดูแล
เรามีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม
เราอยากกลับบ้านมาลูบหัวน้อง
เราอยากให้น้องกินอาหารดีดี สุขภาพแข็งแรง
เพื่อให้น้องอยู่เป็นกำลังใจให้เราไปอีกสิบปี
แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น
น้องจากไปอย่างรวดเร็วภายในเวลา 4 วันด้วยโรคไต
โลกเราแตกสลาย เสียใจมากที่สุด
แต่พอเวลาผ่านมาทำให้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปแบบไม่มีน้องนั้นแย่กว่า
น้องเป็นเหมือนน้องแท้ๆ ของเรา (เพราะเราเป็นลูกคนเดียว)
ได้แต่คิดทุกวันว่าทำยังไงจะได้ไปอยู่กับน้องอีกครั้ง
สองคนนี้จากเราไปได้รวมก็ห้าหกปีแล้ว
แต่ทุกครั้งที่มองขึ้นไปบนพระจันทร์เราหวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
เมื่อไรไม่รู้แต่ต้องเจอกันแน่นอน
รอเรานะ....
-บทความนี้ขอมอบแด่ผู้เป็นที่รักทั้งสองจากนี้และตลอดไป-
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in